คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 104 เลอะเลือนเหมือนภูตผีดลใจ
สั่นเถ้าธุลีในมือให้ร่วงหล่น จินเฟยเหยาพลันปรบมือ เอ่ยอย่างสำนึกเสียใจ “ข้ากำลังทำอะไรอยู่ เหตุใดจึงลืมเรื่องนี้ไปได้ น่าจะเหลือรองเท้าไว้ ข้ายังเท้าเปล่านะ” ทว่าเผาทั้งตัวคนและสิ่งของไปหมดแล้ว นางเสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำลงไปเสียแล้ว
จินเฟยเหยาทอดถอนใจเบาๆ สยงเทียนคุนยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่อาจมองดูเขาถูกกักขังได้ ยุ่งยากจริงๆ ด้วยลักษณะของเขา ไม่แน่ว่าจะถูกผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่นำไปเป็นสัตว์เลี้ยง ผู้บำเพ็ญเซียนที่ชอบบุรุษด้วยกันมีจำนวนไม่น้อย เขามีอันตรายจริงๆ เดิมทีคิดจะพักผ่อนสักหลายวัน ตอนนี้ได้แต่ออกเดินทางทันที
นางบ่นพึมพำ หยิบพรมบินออกมาขึ้นไปนั่ง บินไปยังทิศทางที่ฮูหยินสยงบินเร็วจี๋มาอย่างช่วยไม่ได้ นางฟื้นฟูพละกำลังมาตลอดทาง เพื่อเตรียมตัวช่วยเหลือสยงเทียนคุน นึกว่าระหว่างทางจะพบผู้บำเพ็ญเซียนที่ตามจับฮูหยินสยง แต่กลับไม่พบใครสักคน ไม่รู้ว่าฮูหยินสยงหลบหนีจนกระเซอะกระเซิงขนาดนั้นทำไม
ในขณะเดียวกับที่บิน จินเฟยเหยาเริ่มหยิบกระเป๋าเก็บของที่ได้รับในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งหมดออกมา จัดระเบียบสิ่งของที่สามารถใช้ได้สักหน่อย ทางนั้นมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่และขั้นหลอมรวมจำนวนมาก จะมอบชีวิตออกไปโดยไม่ทันระวังไม่ได้
นำยันต์จำนวนมากออกมาจัดระเบียบ บวกกับยันต์ที่นางวาดตอนฝึกฝน นางรวบรวมยันต์ขั้นหนึ่งขั้นสองได้สี่ห้าร้อยใบ นอกจากนี้ยังมียันต์ซ่อนกายสามสิบกว่าใบ ยันต์ซ่อนกายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการช่วยคนครั้งนี้ อีกสักครู่ต้องพึ่งพามัน
เก็บของวิเศษและอาวุธเวทไว้ในกระเป๋าใบเดียว อีกสักครู่ตอนจำเป็นก็เทสิ่งของเหล่านี้ออกมาให้หมด ถึงอัดคนไม่ตายก็ต้องทำให้พวกเขามือไม้ปั่นป่วน ยาก็เตรียมเสร็จแล้ว ศิลาวิญญาณชั้นกลางห้าก้อนก็ใส่ไว้กับยา สามารถนำออกมาเสริมพลังวิญญาณได้ทุกเมื่อ
“ข้าเลอะเลือนเหมือนภูตผีดลใจแล้วใช่หรือไม่ จึงคิดจะช่วยเขา นี่มิใช่ไปหาที่ตายหรือ?” หลังจินเฟยเหยาเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ อารมณ์ตื่นเต้นก่อนหน้านี้ก็ลดลง เริ่มนึกเสียใจนิดๆ
นางสะกดอารมณ์อยากจะสะบัดหน้าวิ่งหนีไปเอาไว้ ออกเดินทางไปยังทิศทางศิลารองรับฟ้าด้วยใบหน้าขมขื่น นางปลดปล่อยการรับรู้ออกไปตลอดทาง ค้นหาผู้บำเพ็ญเซียนที่หนีออกมาหรือคนที่ออกมาไล่ตาม ที่จริงจินเฟยเหยาไม่รู้เลยว่าศิลารองรับฟ้าอยู่ทิศทางใด เพียงแต่บินไปยังทิศทางที่ฮูหยินสยงหนีมา บินมาสองวัน นางจึงรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง
ถ้าด้านหลังมีคนไล่ตามมา นางปิศาจเฒ่าน่าจะหาโอกาสเปลี่ยนทิศทางหลบหนี ทิศทางด้านหลังนางน่าจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นทางนั้น ฮูหยินสยงบินไปมิพาตัวเข้าติดร่างแหหรือ ครั้งนี้ตนเองต้องมาผิดทางแน่ ไม่เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะมีแต่ทรายกับทรายมาตลอดทาง ไม่พบเห็นผู้บำเพ็ญเซียนสักคน คิดถึงตรงนี้ จินเฟยเหยาก็รู้สึกปวดศีรษะ ทำอย่างไรดี จะไปทางใดดีนะ?
นางนั่งครุ่นคิดบนพรมบินอยู่นาน หวนนึกถึงตอนเข้าสู่ทะเลทราย ศิลารองรับฟ้าอยู่ทางไหนนะ นางยุ่งอยู่กับการกินดื่มมาตลอดทาง ไม่ได้สังเกตเลยว่าพระอาทิตย์ตกดินทางใด สุดท้ายก็นึกความประทับใจเล็กน้อยได้เลือนราง ดูเหมือนศิลารองรับฟ้าจะอยู่ทางเหนือ ทว่าตอนนี้ตนเองกำลังบินไปทางตะวันออก ไม่ตรงทิศทางเลยสักนิด ถึงจะไม่มั่นใจมากนักว่าเป็นทางเหนือ ทว่าดีกว่าไปหาทางทิศตะวันออกนิดหน่อย
เลี้ยวพรมบิน นางบึ่งไปทางเหนืออย่างสุดกำลัง หวังเพียงตอนนางรุดไปถึงสยงเทียนคุนจะยังรักษาความบริสุทธิ์ได้ ต่อให้รักษาความบริสุทธิ์ไว้ไม่ได้ ก็รักษาชีวิตไว้ได้ ไม่อาจมาเสียเที่ยว
เพิ่งเปลี่ยนทิศทางบินมาห้าวัน การรับรู้ของจินเฟยเหยาก็พบผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมาก คนเหล่านั้นไม่รีบไม่ร้อน เฝ้าระวังอยู่กลางอากาศ ดูท่าทางสบายๆ นั่นต้องเป็นผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่แน่ ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซาน ตอนนี้กำลังยุ่งอยู่กับการเอาชีวิตรอด ไม่อารมณ์ดีแบบนี้แน่ ดูท่าจะหาทิศทางได้ถูกต้อง
จินเฟยเหยารีบแปะยันต์ซ่อนกายบนพรมบินและร่างกายและบินสูงขึ้น หยิบศิลาวิญญาณชั้นล่างออกมาเสริมพลังวิญญาณพลางถ่ายเทพลังวิญญาณลงในพรมบิน บินผ่านเหนือศีรษะของผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นไปอย่างรวดเร็ว ความเคลื่อนไหวของนางว่องไว ยันต์ซ่อนกายมีฤทธิ์อยู่ได้เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ถ้าหมดฤทธิ์ตอนอยู่ในสถานที่ซึ่งมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากพอดี ก็จะแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว
ตลอดทางจินเฟยเหยาถือยันต์ซ่อนกายอย่างตึงเครียด ถ้ารอบด้านไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนก็เผยร่างจริงออกมาบินเป็นระยะทางสั้นๆ ขอเพียงพบเห็นผู้บำเพ็ญเซียน ก็จะใช้ยันต์ซ่อนกายทันที ถึงแม้ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้จะใช้การรับรู้ตรวจสอบรอบด้าน แต่ระดับการปกปิดของนางรวดเร็วถึงขีดสุด ขณะการรับรู้กวาดผ่านนางแค่ทำให้คนเข้าใจผิดนึกว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนบินออกจากในขอบเขตการรับรู้ แต่ไม่นึกว่ามีคนบินพุ่งมาหาพวกเขา
หลายครั้ง ขณะที่ยันต์ซ่อนกายหมดฤทธิ์ จินเฟยเหยากำลังบินผ่านเหนือศีรษะผู้บำเพ็ญเซียน ทำให้จินเฟยเหยาตกใจจนใช้มือแปะยันต์ซ่อนกายราวกับสายฟ้า ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นก็เงยหน้าขึ้นมองข้างบนพอดี อีกนิดเดียวก็จะพบเห็นนางแล้ว แต่ละครั้งทำให้นางตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบโซมกาย
ยันต์ซ่อนกายแต่ละใบใช้ได้เพียงหนึ่งชั่วยาม ใช้แบบนี้ไม่ถึงสองวันก็จะใช้ยันต์ซ่อนกายหมดเกลี้ยง จินเฟยเหยาเริ่มปวดศีรษะขึ้นมา แต่นางพบว่าผู้บำเพ็ญเซียนก่อนหน้านี้ที่มีจำนวนน้อยหน่อยทั้งหมดเตร็ดเตร่ไปทั่ว ต่อมาผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่เพิ่มมากขึ้น บางครั้งบางคราวยังมีผู้บำเพ็ญเซียนบินกลับมา จินเฟยเหยาพินิจดูพวกเขาอย่างละเอียด บนร่างของผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ไม่มีสัญลักษณ์เหมือนกัน ชุดที่สวมใส่ก็หลากหลาย ไม่มีสัญลักษณ์แสดงศักดิ์ฐานะเป็นหนึ่งเดียวกัน
นางคาดเดาอย่างใจกล้า คนเหล่านี้เกรงว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนแต่ละสำนักของโลกเซียวไท่ แค่รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันชั่วคราว ดังนั้นจึงไม่ได้แบ่งแยกศักดิ์ฐานะโดยเฉพาะ คาดว่าพวกเขาก็เชื่อว่าไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานคนใดจะวิ่งเข้าไปยังใจกลางอย่างเขื่องโข จินเฟยเหยาตัดสินใจหาโอกาสเผยร่างจริงออกมา จากนั้นก็บินไปแบบนี้
จินเฟยเหยาจึงหาโอกาสที่ยันต์ซ่อนกายเพิ่งหมดฤทธิ์ ลดความเร็วลงและลดระดับการบินลงมาเช่นนี้ จากนั้นนางก็ใช้เวทแปลงโฉมเปลี่ยนเป็นคนอื่น นั่งอยู่บนพรมบินแสร้งทำท่าทางเหน็ดเหนื่อย หยิบร่มดอกไม้มากันแดด บินอย่างไม่เร็วไม่ช้า
ระหว่างทางนางพบผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่หลายคน อีกฝ่ายแค่เพิ่งสังเกตเห็นนาง จินเฟยเหยาก็กางร่มดอกไม้พลางพยักหน้ายิ้มให้คนเหล่านั้นด้วยท่าทางคุ้นเคย เห็นนางสงบเยือกเย็น สีหน้าเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย คนเหล่านี้ล้วนนึกว่านางเป็นคนที่เพิ่งกลับมาหลังจากออกไปไล่โจมตีผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซาน จึงไม่ได้ถามมากความ
บินไปได้ไม่เท่าไร การรับรู้ที่กวาดมองบนร่างจินเฟยเหยายิ่งมากขึ้นทุกที ราวกับใกล้จะถึงศิลารองรับฟ้าแล้ว ส่วนจินเฟยเหยาก็รู้สึกว่าแรงกดดันมากเกินไป อยากจะหยิบยันต์ซ่อนกายมาปกปิดร่างอย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้รอบด้านล้วนมีผู้บำเพ็ญเซียนเข้าออก ถ้าหยิบยันต์ซ่อนกายจะยิ่งสะดุดตามากขึ้น
ในขณะนี้เอง ด้านหลังมีคนผู้หนึ่งเหยียบอาวุธเวทบินมา บนร่างยังมีบาดแผล หน้าตามอมแมมคิดจะแซงนาง จินเฟยเหยาเห็นดังนั้นจึงรีบเรียกเขาไว้ “ศิษย์พี่ท่านนี้ ท่าทางท่านได้รับบาดเจ็บไม่เบา ของวิเศษบินได้ของข้ากว้างขวาง ถ้าอย่างไรให้ข้าบรรทุกท่านไปเถอะ ท่านจะได้พักผ่อนสักครู่”
คนผู้นั้นหยุดลง พินิจมองจินเฟยเหยาอย่างละเอียด เห็นใบหน้านางมีรอยยิ้ม สีหน้าสงบนิ่งไม่เหมือนคนเลวเลยสักนิด อีกทั้งพลังการบำเพ็ญเพียรของนางก็แค่ขั้นสร้างฐานช่วงต้น เป็นอันตรายน้อยมาก ใคร่ครวญว่าตนเองเพิ่งไล่โจมตีคนผู้หนึ่งเสร็จ สูญเสียพลังวิญญาณไปมาก มีเรื่องสะดวกราบรื่นเช่นนี้ก็ขอเอาเปรียบหน่อย ครุ่นคิด เขาเอ่ยอย่างเกรงใจ “ขอบคุณศิษย์น้องท่านนี้ ข้ากำลังจะกลับไปส่งมอบภารกิจ รบกวนเจ้านำทางด้วย”
“ศิษย์พี่ไม่ต้องเกรงใจ พวกเราทำเพื่อโลกเซียวไท่เช่นเดียวกันก็สมควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เชิญศิษย์พี่ขึ้นมา” จินเฟยเหยาลุกขึ้นขยับที่ให้ ต้อนรับเขาอย่างกระตือรือร้น
ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้นั่งบนพรมบิน เอ่ยกับจินเฟยเหยาอย่างสุภาพ “ข้าเจ้าอันแห่งสำนักอู๋คง ไม่ทราบว่าศิษย์น้องอยู่สำนักใด”
จินเฟยเหยายิ้มขัดเขิน “ข้าจินเฟยเหยาแห่งสำนักมู่เซียน สำนักอยู่บนภูเขามู่เซียน ดังนั้นจึงตั้งชื่อตามภูเขานี้”
“สำนักมู่เซียน?” เจ้าอันก้มหน้าครุ่นคิด ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสำนักนี้เลย อีกทั้งภูเขามู่เซียนอยู่ที่ใดเล่า?
“ศิษย์พี่ไม่รู้ก็ไม่แปลก สำนักข้ามีจำนวนคนน้อย มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานแค่สองคน ศิษย์พี่ของข้าเป็นเจ้าสำนัก ต้องอยู่ดูแลสำนัก ดังนั้นครั้งนี้จึงมีข้ามาเพียงคนเดียว” จินเฟยเหยาอธิบายอย่างขัดเขิน
“อ้อ เจ้าสำนักก็เป็นขั้นสร้างฐาน ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ” เจ้าอันเกิดพุทธิปัญญาทันที แม้แต่เจ้าสำนักก็เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน สำนักนี้เล็กจนน่าสงสาร ครั้งนี้ได้ยินว่า สำนักเล็กๆ จำนวนมากถึงกับส่งผู้บำเพ็ญเซียนก้นหีบออกมาเพื่อให้ได้แบ่งผลประโยชน์เพิ่มขึ้นอีกนิดหลังปฏิบัติการครั้งนี้ต่อไปจะทำให้สำนักแข็งแกร่ง คาดว่าคนผู้นี้คงจะเป็นประเภทนี้
“ข้าออกมาจากสถานที่เล็กๆ หวังว่าศิษย์พี่เจ้าจะช่วยดูแลด้วย” จินเฟยเหยาใบหน้าแดงก่ำเอ่ยเสียงเบาหวิว
ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเล็กๆ ก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงพบผู้ที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงกว่า ก็คิดจะผูกสัมพันธ์ทันที เจ้าอันพบเห็นจนเคยชิน พยักหน้ารับ “มิกล้า มิกล้า”
พอได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ จินเฟยเหยาก็โล่งอก มองเขาด้วยสีหน้ายินดี เห็นท่าทางนางยังอยากมาตีสนิท เจ้าอันก็รีบเอ่ยว่า “สหายเซียนจิน ข้าคิดจะฟื้นฟูพลังวิญญาณสักหน่อย รบกวนเจ้าดูรอบๆ ด้วย ถ้าพบผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซาน ก็รีบส่งสัญญาณทันที”
“ได้ ศิษย์พี่เจ้าโปรดวางใจ ข้าจะระวังให้ดี” จินเฟยเหยาพยักหน้าอย่างแรง รับคำ
เอ่ยจบ เจ้าอันก็หยิบยาเสริมพลังเม็ดหนึ่งออกมากิน เริ่มฟื้นฟูพลังวิญญาณบนพรมบิน ส่วนจินเฟยเหยานั่งอยู่หน้าพรมบินหันหลังให้เขา ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ อันเจิดจรัส
สำนักอู๋คงดูเหมือนจะมีชื่อเสียงในโลกเซียวไท่อย่างยิ่ง เจ้าอันนั่งสมาธิอยู่บนพรมบิน ปล่อยให้จินเฟยเหยาพาเขาบินไปข้างหน้า ระหว่างทางพบเจอผู้บำเพ็ญเซียน ขอเพียงเห็นเจ้าอัน ก็ไม่เข้ามารบกวนและซักถามอีก ให้พวกเขาบินผ่านไปได้ทันที ไม่มองดูเลยสักนิด นางแอบมองเขา คาดว่าสำนักอู๋คงคงเหมือนกับหอซวีชิง เครื่องแต่งกายบนร่างทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่สามารถแยกแยะสำนักได้
โชคดีจริงๆ เก็บได้ยันต์คุ้มกันตัวได้ จินเฟยเหยายิ้มตาหยี พาเขาบินไปข้างหน้าอย่างวางใจ ทั้งยังเพิ่มความเร็วขึ้นนิดหน่อย ไม่นานนัก นางก็เห็นศิลารองรับฟ้าท่ามกลางผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานนับร้อย ไกลๆ
การต่อสู้จบลงแล้ว รอบด้านเต็มไปด้วยของวิเศษบินได้ที่เสียหาย ส่วนบนศิลารองรับฟ้า จินเฟยเหยาเห็นผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากนั่งขัดสมาธิอยู่ในการป้องกัน รอบด้านยังมีผู้บำเพ็ญเซียนคอยเฝ้าระวัง คาดว่าคนเหล่านี้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานที่ถูกกักขัง