คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 112 ทางน้ำใต้ดิน
“นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดจึงไม่ขยับ?” จินเฟยเหยามองรอบด้านอย่างแปลกใจ ภายใต้การสาดส่องของหินแสงราตรี เห็นเพียงในน้ำมีฝูโหยวอู้[1] ที่เหมือนฝุ่นธุลีลอยอยู่ในน้ำอย่างช้าๆ ในน้ำเงียบสงบราวกับน้ำนิ่ง นอกจากสิ่งที่เหมือนฝุ่นธุลีเหล่านั้น แม้แต่ปลาเล็กปลาน้อยสักตัวก็ไม่มี
น่าแปลกเกินไปแล้ว ต่อให้ตักน้ำมาอ่างหนึ่งวางนิ่งๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่ในน้ำจะมีบรรยากาศอึมครึมแบบนี้ จินเฟยเหยาไม่ระวังยื่นนิ้วออกไปนอกฟองแสงนรก น้ำข้างนอกที่นิ่งสนิท ทำให้นางรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นเสียดกระดูก นางเก็บนิ้วกลับมาอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย ถูบนนิ้ว ดมอย่างระมัดระวัง ไม่พบความผิดปกติ
ไม่มีกระแสน้ำ ก็ต้องอาศัยตนเอง นั่งขัดสมาธิอยู่ในฟองแสงนรก จินเฟยเหยาตบพั่งจื่อที่ปรากฏร่างขึ้นด้านหลังนานแล้ว “พั่งจื่อ ตอนนี้ต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว เจ้าออกไปว่ายน้ำผลักฟองแสงนรก”
“อ๊บ!” พั่งจื่อมองนางอย่างตกตะลึง มีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“ทำไม มีปัญหาหรือ?” จินเฟยเหยาเลิกคิ้ว “เจ้าไม่ไปหรือว่าจะให้ข้าไป? เจ้าเป็นกบ เรี่ยวแรงก็เยอะ เจ้าไม่ผลักใครจะผลัก”
“อ๊บๆ” พั่งจื่อชี้ทางน้ำมืดสนิทมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด เบิกตาโต น่าเสียดายที่ดวงตาของมันโตอยู่แล้ว ต่อให้เบิกกว้างอีก ก็มีท่าทางโง่งมใกล้เคียงกับตอนปกติ
ได้ยินมันปฏิเสธ จินเฟยเหยามองมันด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าบอกว่ามืดเกินไปเลยหวาดกลัว ข้าคงไม่ได้หูฝาดนะ มีอะไรน่ากลัวกัน ทางที่มาก็ไม่มีสัตว์ปิศาจอะไรสักหน่อย อีกทั้งเจ้าผลักอยู่ด้านหลัง ต่อให้ด้านหน้ามีสัตว์ปิศาจ ก็ยังมีข้าต้านทานอยู่ด้านหน้า จะกลัวอะไร เจ้าไม่ต้องเปลี่ยนอากาศ ร่างกายอยู่นอกฟองแสงนรก มุดหัวเข้ามาก็พอ สามารถหายใจและว่ายน้ำได้ทั้งสองอย่าง” เอ่ยจบ จินเฟยเหยาก็ตบหลังมันเป็นการให้กำลังใจ จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือผลักพั่งจื่อออกจากฟองแสงนรก
พั่งจื่อไม่ทันระวัง ถูกนางใช้ฝ่ามือผลักออกไป มันมีโทสะจนเต้นแร้งเต้นกาแสดงความไม่พอใจใส่จินเฟยเหยาอยู่ข้างนอก จินเฟยเหยาขมวดคิ้ว ยิ้มอย่างไม่นำพา
สุดท้าย พั่งจื่อก็หมดหนทาง ได้แต่ใช้ความเคลื่อนไหวประหลาด มุดหัวเข้ามาในฟองแสงนรก จากนั้นร่างอยู่ข้างนอกว่ายผลักฟองแสงนรกไปข้างหน้า ไม่ว่าจะมองจากทิศทางใด ก็เห็นเหมือนฟองอากาศอันใหญ่มีขางอกออกมาจากด้านหลัง
มีพั่งจื่อผลักอยู่ด้านหลัง ฟองแสงนรกเริ่มไปข้างหน้าถึงแม้จะไม่เร็ว ทว่าดีกว่าหยุดนิ่งมากนัก มองพั่งจื่อออกแรง จินเฟยเหยาก็ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เจ้าออกแรงว่ายหน่อย ข้าให้ต้านิวไปทำของอร่อยไว้แล้ว ย่างเนื้อสัตว์ปิศาจให้เจ้ากิน ว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าดึงดันไม่ยอมอยู่ในอ่างมายาจิ่งเทียน ที่จริงคือวางแผนนี้ไว้สินะ ช่างซื่อสัตย์ภักดีจริงๆ”
พั่งจื่อมีความทุกข์ก็ปริปากไม่ได้ จิตใจรักสนุกช่างทำร้ายกบยิ่งนัก มันจ้องมองจินเฟยเหยาอย่างดุร้าย ปิดปากสนิท ว่ายน้ำผลักฟองแสงนรกไปด้านหน้าอย่างเงียบๆ ใช้ความเงียบงันแสดงความไม่พอใจของตนเอง
จินเฟยเหยานั่งว่างอยู่ในฟองแสงนรก รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง หลังจากหาวก็พิงฟองแสงนรกอย่างเกียจคร้าน พูดคุยกับพั่งจื่อ “ข้าว่านะพั่งจื่อ ช่วงหลายปีมานี้ดูเหมือนเจ้าจะมีปัญหากับการทำงานนะ นึกถึงตอนนั้นนอกจากกินเจ้าก็ตั้งใจทำงานแต่โดยดี ไม่ว่าข้าสั่งอะไร เจ้าก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบไปทำทันที ถึงจะเหน็บแนมข้าประจำ ทว่าก็ยังทำงานได้รวดเร็ว เหตุใดตอนนี้จึงเกียจคร้านขึ้นทุกที?”
“เจ้าพูดสิ อธิบายข้าหน่อย สาเหตุที่เจ้าเปลี่ยนเป็นเกียจคร้าน หรือว่า…” จินเฟยเหยาพลันลุกขึ้นนั่ง แย้มยิ้มชั่วร้าย
เห็นรอยยิ้มชั่วร้ายของนาง พั่งจื่อหมดแรงว่ายน้ำ ยายนี่ต้องคิดเรื่องผิดมโนธรรมอะไรอยู่แน่
จินเฟยเหยาหรี่ตา ยิ้มคลุมเครืออย่างยิ่ง “พั่งจื่อ เจ้าอยากแต่งต้านิวเป็นภรรยาใช่หรือไม่ ดังนั้นจึงไม่ตั้งใจทำงาน ถ้าอย่างไรข้าจะหาฤกษ์จัดงานแต่งงานให้พวกเจ้าสองตัว ต่อไปเจ้าต้องจำไว้ อย่ามีลูกมากนัก ข้าจะเลี้ยงไม่ไหว”
“เอ๋? ทำไมถึงหยุดล่ะ พั่งจื่อ ยินดีก็ยินดี แต่จะหยุดว่ายน้ำไม่ได้นะ” จินเฟยเหยาพลันพบว่าฟองแสงนรกหยุดลง ส่วนพั่งจื่อลอยอยู่ในน้ำเงียบๆ ไม่ยอมว่ายน้ำอีกแม้แต่น้อย ความดุร้ายค่อยๆ แผ่ไปรอบด้าน
เห็นขนาดเส้นเลือดของพั่งจื่อปูดโปน จินเฟยเหยาอดร้องแย่แล้วในใจไม่ได้ หรือว่าล้อเล่นมากไป เจ้านี่ไม่สนใจต้านิวเลยสักนิด แต่นางรู้สึกไม่พอใจทันที ต้านิวมีอะไรไม่ดี ต่างเป็นกบตัวโตเหมือนกัน หน้าตาก็…ก็คล้ายกบ ทั้งทำกับข้าวเป็น ทั้งดูแลคนอื่นเป็น จะเป็นภรรยาและแม่ที่ดีถึงเพียงไหน อีกทั้งสะโพกก็ใหญ่ อยากมีลูกเท่าไรก็มีได้ จะรังเกียจไปทำไม
เนื่องจากเป็นเพศเดียวกัน ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงอดรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนต้านิวไม่ได้
นางเพิ่งคิดจะสั่งสอนพั่งจื่อสักหน่อย ก็เห็นพั่งจื่อตวาดลั่น สองขารวดเร็วดุจสายฟ้า เบื้องหน้าเห็นเพียงเงาตกค้าง จากนั้นฟองแสงนรกพลันเร่งความเร็ว ถูกมันผลักให้พุ่งไปข้างหน้าราวกับเหินบิน
“มีอะไรน่าโกรธเคืองกัน คิดไม่ถึงว่าจะโกรธจนเป็นแบบนี้ อีกสักครู่ใช้แรงหมดดูสิว่าเจ้าจะทำอย่างไร” มองสายตาเดือดดาลของพั่งจื่อ จินเฟยเหยาขยับไปด้านข้าง อดตำหนิในใจไม่ได้ “เจ้าไม่แต่งกับกบ หรือคิดจะแต่งกับหงส์”
ไม่สนใจพั่งจื่อ ความเร็วระดับนี้จินเฟยเหยาพอใจอย่างยิ่ง เมื่อครู่รู้สึกมาตลอดว่าพั่งจื่อว่ายน้ำช้าเกินไป กว่าจะถึงเมืองนั่นคงต้องใช้เวลาหลายปี ตอนนี้ดียิ่งนัก ความเร็วเช่นในตอนนี้ เร็วเกือบเท่าพรมบิน คาดว่าใช้เวลาไม่กี่เดือนก็ถึงจุดหมาย
ในขณะที่จินเฟยเหยากำลังรื่นรมย์กับการไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พั่งจื่อพลันหดหัวและสองมือสองขาแล้วเตะฟองแสงนรก จินเฟยเหยาพุ่งออกไป จากนั้นเบื้องหน้านางก็มืดมิด พั่งจื่อหายไปจากในทางน้ำ
พั่งจื่อผลักฟองแสงนรกออกไป ก็ลอยอยู่ในทางน้ำ พลันตกใจขึ้นมา เดินทางในทางน้ำสายนี้ครึ่งวันกว่าแล้ว ตนเองสูดอากาศครั้งเดียวไม่อาจยืนหยัดว่ายกลับไปได้ ผลักจินเฟยเหยาไปด้วยความโกรธแล้วจะไปหาอากาศจากที่ใด หนีไม่พ้นหายนะที่ตนเองก่อขึ้นจริงๆ พั่งจื่อมีโทสะอย่างยิ่งได้แต่มองเจ้าหัวขโมยจินเฟยเหยาเบื้องหน้าด้วยสีหน้าว่างเปล่า ไม่รู้ว่าสมควรทำอย่างไรดี
ตรงสถานที่ซึ่งไม่ไกลจากมันนัก ทางน้ำถูกพืชน้ำสีเขียวเหมือนก้อนหินที่งอกขึ้นเต็มไปหมดอุดทางไว้อย่างแน่นหนา ก่อนหน้านี้มันมองเห็นได้แต่ไกล ยังนึกว่าทางน้ำถูกก้อนหินอุดไว้ จึงคิดจะสั่งสอนจินเฟยเหยาสักหน่อย ให้นางชนก้อนหิน ทำให้ฟองแสงนรกแตกสำลักน้ำหลายคำ
ไหนเลยจะรู้ หลังจากมันเตะฟองแสงนรกออกไปอย่างแรง ในขณะที่กำลังจะกระแทกก้อนหิน ก้อนหินพลันอ้าปาก กลืนฟองแสงนรกเข้าไปทั้งอัน จากนั้นสองข้างของหินก้อนนี้ก็ลืมตาขนาดเท่าอ่างทองแดงคู่หนึ่งจับจ้องพั่งจื่อแน่วนิ่ง
พั่งจื่อรู้สึกเวียนศีรษะ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสัตว์ปิศาจ จินเฟยเหยาถูกมันผลักไปป้อนสัตว์ปิศาจแล้ว มันเลียนแบบวิธีคิดของจินเฟยเหยา เริ่มหาคำอธิบายให้ตนเอง จินเฟยเหยาเป็นคนพูดเองว่าถ้าเบื้องหน้ามีสัตว์ปิศาจ ต้องให้นางต้านรับเป็นธรรมดา ตอนนี้นางไปต้านทานแล้ว ดังนั้นแค่ทำตามที่นางสั่ง ตนเองไม่ได้ผิด
แต่พอคิดอีกที ถ้าไม่มีฟองแสงนรก ตนเองก็ไม่มีความสามารถกลับไปได้ มันได้แต่ตะโกนใส่สัตว์ปิศาจแปลกๆ ตัวนั้นเสียงดัง “อ๊บๆๆ”
ระหว่างสัตว์ปิศาจล้วนมีภาษา ตัวที่สติปัญญาสูงหน่อยสามารถสื่อสารกันได้ ส่วนสัตว์ปิศาจที่เหมือนก้อนหินในทางน้ำตัวนี้ กลับทำให้พั่งจื่อหมดหวัง เห็นได้ชัดว่ามันมีสติปัญญาไม่สูง ภายใต้การข่มขู่ของพั่งจื่อที่ขอให้คายเจ้านายออกมา แม้แต่ดวงตาของมันก็ไม่ขยับ เห็นว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ พั่งจื่อได้แต่เริ่มใช้ไม้อ่อน แสร้งทำท่าน่าสงสารขอร้อง
พั่งจื่อทั้งด่าทอทั้งขอร้องอยู่ข้างนอก ส่วนจินเฟยเหยากลับยังไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด พั่งจื่อหายไปจากเบื้องหน้าอย่างกะทันหัน จินเฟยเหยารู้สึกเพียงพั่งจื่อถูกสัตว์ปิศาจบางอย่างกินแล้ว ไม่ตระหนักว่าตนเองต่างหากที่ถูกสัตว์ปิศาจกลืน นางถือหินแสงราตรี ใช้พลังวิญญาณกระตุ้นฟองแสงนรกให้ว่ายไปตรงสถานที่ซึ่งพั่งจื่อหายไป
เพิ่งว่ายออกไปได้ไม่ไกลนักก็ถูกกำแพงสกัดกั้นไว้ จินเฟยเหยามองกำแพงแห่งนี้อย่างไม่เข้าใจ หรือว่าที่เบื้องหน้ามืดมิดเมื่อครู่เป็นเพราะทางน้ำพังถล่ม ทว่าทำไมจึงพังถล่มอย่างเรียบร้อยขนาดนี้ พอมองดูก้อนศิลาเหล่านั้นก็คือพืชน้ำและสาหร่ายสีเขียวที่งอกอยู่เต็มที่นี่มานานหลายปี
จริงสิ กลไก นี่น่าจะเป็นกลไก ร่วงลงมาจากด้านบนทางน้ำแยกพวกเราออกจากกันอย่างกะทันหัน ท่าทางที่นี่จะนำไปสู่เมืองใต้ดินจริงๆ ไม่เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะมีกลไก ในเมื่อมีกลไกก็ต้องมีวิธีเปิดกำแพงหิน จินเฟยเหยาถือหินแสงราตรี เริ่มค้นหาสถานที่ที่น่าสงสัย พาพั่งจื่อเข้ามาก่อนค่อยว่ากัน
นางถือหินแสงราตรีส่องค้นหาด้านบนและด้านล่างของกำแพงหิน ตอนหาพื้นพบ นางพลันรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง
ตามหลักการ นี่คืออุโมงค์ใต้น้ำ ต่อให้พื้นไม่ใช่หินเรียบลื่น ก็น่าจะเป็นพื้นที่เต็มไปด้วยโคลน ทว่าภายใต้การสาดส่องของหินแสงราตรี พื้นกำลังยืดหดขึ้นลงเหมือนเนื้ออย่างไรอย่างนั้น จินเฟยเหยามองพื้นอย่างตะลึงงัน ล้วงมีดสั้นออกมาเล่มหนึ่งขว้างออกไป เสียงดังฉึก มีดสั้นปักเข้าไปในพื้นน่าสงสัยด้านล่างเบาๆ ของเหลวสีเทาดำก็พุ่งออกมา ปะปนอยู่ในน้ำ
“สัตว์ปิศาจ? ในท้องสัตว์ปิศาจ?” จินเฟยเหยาพึมพำหลายประโยคจึงได้สติคืนมา ตนเองถูกสัตว์ปิศาจกิน ในขณะนี้เอง พื้นที่เป็นเนื้อด้านล่างเริ่มมีของเหลวสีเหลืองลอยกระจายอยู่ในน้ำราวกับหมอกควันย้อมน้ำรอบๆ จนขุ่นมัว
“นี่คืออะไร น้ำลาย?” มองเห็นน้ำค่อยๆ ขุ่นมัว จินเฟยเหยาก็กระโดด ถ้าไม่คิดหาทางออกไปอีก ต้องถูกกินแน่
นางใช้การรับรู้กวาดมองสัตว์ปิศาจตัวนี้ก่อน เจ้านี่ยาวเกินไป ความยาวด้านหลังลำตัวเกินรัศมีการรับรู้ของนาง เห็นได้ว่าสัตว์ปิศาจตัวนี้ยาวเพียงใด อีกทั้งบนลำตัวของสัตว์ปิศาจตัวนี้มีพลังปิศาจเพียงเล็กน้อย มิน่าเล่าก่อนหน้านี้จินเฟยเหยาจึงไม่พบเห็นว่าที่นี่มีสัตว์ปิศาจขนาดใหญ่
ข้างหน้าน่าจะเป็นปากของมัน จินเฟยเหยาจำทิศทางได้ว่าตรงนี้คือสถานที่ซึ่งนางเข้ามา ถ้านี่เป็นสัตว์ปิศาจ เช่นนั้นตรงนี้ก็คือปากของมัน ขอเพียงเปิดตรงนี้ออกก็จะสามารถออกไปได้
จินเฟยเหยายืนอยู่ในฟองแสงนรก โยนฟองแสงนรออกมาในน้ำกองหนึ่ง จากนั้นให้ฟองแสงนรกรวมกันเป็นฟองขนาดใหญ่ แนบทั้งฟองลงไปบนปากที่เหมือนกำแพงหินของสัตว์ปิศาจ จากนั้นดีดนิ้ว ไฟนรกขุมหนึ่งลุกไหม้ขึ้นในฟองแสงนรกเผาปากสัตว์ปิศาจ
[1] ฝูโหยวอู้ คือ แพลงก์ตอน (สิ่งมีชีวิต ทั้งพืชและสัตว์ที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ)