คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 139 ทงเทียนหรูอี้
เตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพแล้ว จินเฟยเหยาก็อ้าปากคายเพลิงแท้ออกมาให้มันลอยอยู่กลางห้องหลอมอาวุธ ในห้าปีนี้จินเฟยเหยาเข้าใจคุณสมบัติพิเศษของเพลิงแท้อย่างทะลุปรุโปร่ง จำนวนครั้งที่ทำลายวัสดุน้อยลงมากแล้ว จินเฟยเหยายังกระหยิ่มยินดีกับจุดนี้ ตนเองทำได้ทุกอย่างแล้ว ขนาดไฟนรกที่จัดการยากนางยังควบคุมได้
นางขับไฟนรกสีดำมาอยู่ด้านล่างสุดของเพลิงแท้ก่อน รอจนเพลิงแท้ที่แทรกสีฟ้าในสีแดงสงบลง จึงนำศิลาน้ำแข็งสองก้อนโยนเข้าไปในเพลิงแท้
จากนั้นจินเฟยเหยาก็หลับตา ค่อยๆ ใช้การรับรู้ควบคุมเพลิงแท้หลอมศิลาน้ำแข็งอย่างระมัดระวัง
นางนั่งอยู่อย่างนี้สี่สิบหกชั่วยาม ในที่สุดศิลาน้ำแข็งก็เริ่มหลอมละลาย กลายเป็นของเหลวที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ดังใจปรารถนา ยามนี้เป็นช่วงสำคัญที่ของวิเศษกำลังขึ้นรูปพอดี ต่อไปลักษณะของวิเศษจะเป็นอย่างไร ก็ต้องดูประสิทธิผลการขึ้นรูปในตอนนี้
จินเฟยเหยากลับไม่ขึ้นรูปศิลาน้ำแข็ง ทว่าหยิบมีดสั้นออกมาเล่มหนึ่ง กรีดบนฝ่ามือแรงๆ หนึ่งครั้ง จากนั้นนางก็สะบัดโลหิตสดบนฝ่ามือใส่ศิลาน้ำแข็งที่หลอมละลายในเพลิงแท้ ผู้อื่นใส่โลหิตสดตอนหลอมสร้างอาวุธเวทแก่นชีวิต อย่างมากสุดคือไม่กี่หยด ไม่มีใครทำร้ายตนเองสาดไปทั้งกองเหมือนนาง
ปริมาณโลหิตสดดูเหมือนจะมากไปหน่อย ในของเหลวศิลาน้ำแข็งที่โปร่งใสปรากฏเส้นสีแดงจางๆ จินเฟยเหยาห้ามเลือดบาดแผลในมือ แล้วแบ่งศิลาน้ำแข็งที่หลอมรวมกับโลหิตสดแล้วเป็นสองส่วนอีกครั้ง
สิ่งที่นางฝึกบำเพ็ญไม่ได้ใช้ของวิเศษเช่นกระบี่หรือวงเวท ดังนั้นจึงไม่อาจหลอมสร้างที่ละอันเดี่ยวๆ ได้แต่หลอมวัสดุทั้งหมดเข้าด้วยกัน จากนั้นแยกออกเป็นปริมาณที่ต้องการ ใกล้เคียงกับวิธีหลอมสร้างของวิเศษแม่ลูกทั้งชุด เพียงความกดดันในจิตใจแตกต่างกัน อย่างไรเสียสิ่งที่หลอมสร้างในขณะนี้คืออาวุธเวทแก่นชีวิต ถ้าล้มเหลวแล้วคิดจะหาวัสดุอย่างศิลาน้ำแข็งพบอีกครั้งก็ยากเย็นแสนเข็ญ
หลังจากแบ่งศิลาน้ำแข็งเป็นสองส่วน ก็ไม่ได้ขึ้นรูปต่อ ทว่าปล่อยให้พวกมันลอยอยู่ในเพลิงแท้โดยไม่แข็งตัว
จากนั้น จินเฟยเหยาก็ย้ายไฟนรกสีดำที่สะกดอยู่ด้านล่างเพลิงแท้มาตลอดขึ้นมา ใช้ไฟนรกสีดำห่อหุ้มศิลาน้ำแข็งโดยตรง นางกินยาเสริมปราณลงไปเม็ดหนึ่ง แล้วหลับตาลง เริ่มหลอมระยะยาว
ระหว่างนั้นจินเฟยเหยาเสริมพลังวิญญาณไปสามครั้ง และใช้เวลาไปอีกเจ็ดสิบสองชั่วยาม ในที่สุดนางก็ลืมตา เก็บไฟนรกทั้งหมดกลับเข้าร่าง เพลิงแท้ล่าถอย มีศิลาโปร่งใสแฝงสีโลหิตสองก้อนลอยอยู่อย่างไร้กฎเกณฑ์กลางอากาศในห้องหลอมอาวุธ
ของวิเศษที่จินเฟยเหยาหลอมสร้างออกมาชิ้นนี้ ลักษณะใกล้เคียงกับตอนยังไม่ได้หลอม ยังสู้ศิลาน้ำแข็งที่ยังไม่หลอมไม่ได้ ศิลาน้ำแข็งซึ่งเดิมทีโปร่งใส เรียบลื่น และกลมเกลี้ยงทั้งก้อน หลังจากผ่านการหลอมสร้าง รูปลักษณ์กลับขรุขระ ทั้งยังเพิ่มเส้นโลหิตผสม ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าหลอมสร้างสำเร็จหรือล้มเหลว
จินเฟยเหยากลับยินดียิ่ง นี่เป็นของวิเศษในใจของนางพอดี อาวุธเวทแก่นชีวิตที่ใช้โลหิตสดหลอมสร้าง ไม่ใช้การรับรู้ก็สามารถสื่อจิตถึงกันได้ พอในสมองนางมีความคิดวาบขึ้น ของวิเศษที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันขยับ กลายเป็นดอกบัวโปร่งใสแฝงสีโลหิตสองดอก
เหมือนที่นางคิดไว้จริงๆ ศิลาน้ำแข็งมีความสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ ไม่ทำให้มันคงรูป ก็สามารถเปลี่ยนมันให้เป็นรูปร่างต่างๆ ได้มากที่สุด
ของวิเศษสองชิ้นกลายเป็นดาบและกระบี่ตามจินตนาการในใจจินเฟยเหยา แม้แต่ของวิเศษรูปร่างพิเศษประเภทเจดีย์ และพัดก็สามารถเปลี่ยนได้ตามใจปรารถนา ขนาดเปลี่ยนเป็นสัตว์ปิศาจยังสามารถทำได้ ครู่หนึ่งกลางอากาศก็มีกบสองตัวปรากฏขึ้น อีกครู่หนึ่งก็เป็นงูภูติและสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ขอเพียงจินเฟยเหยาอยากให้พวกมันเปลี่ยนเป็นสิ่งใด พวกมันก็สามารถเปลี่ยนเป็นสิ่งนั้น สุดท้ายหลังจากเปลี่ยนเป็นซาลาเปาโปร่งใสสองใบ จินเฟยเหยาจึงเก็บพวกมันไว้ในห้วงการรับรู้
อาวุธเวทแก่นชีวิตจำเป็นต้องใช้การรับรู้และพลังวิญญาณของตนเองเลี้ยงดู ขอเพียงไม่นำออกมา ก็ต้องวางไว้ในห้วงการรับรู้บ่อยๆ
หลังจากเก็บของวิเศษไว้ในห้วงการรับรู้ จินเฟยเหยาก็ส่ายศีรษะ มวยผมสองข้างบนศีรษะก็ปรากฏดอกไม้เล็กๆ โปร่งใสข้างละหนึ่งดอก ในกลีบดอกไม้ยังมีเส้นโลหิตจางๆ เป็นภาพมายาของอาวุธเวทแก่นชีวิตที่โผล่ออกมาจากในร่างพอดี
“อาวุธเวทแก่นชีวิตทั้งหมดต้องตั้งชื่อ ข้าก็ต้องตั้งชื่อที่น่าเกรงขามจึงจะใช้ได้ ชื่อว่าอะไรดีนะ…” จากที่นั่งขัดสมาธิตัวแข็งทื่อจินเฟยเหยาก็ลุกขึ้นยืนนวดเอวที่ปวดเมื่อยพลางพึมพำกับตนเอง
“สามารถเปลี่ยนแปลงตามใจปรารถนาของข้าได้ ใจคิดถึงสิ่งใดวัตถุก็สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งนั้น เช่นนั้นเรียกทงเทียนหรูอี้[1]แล้วกัน ใช่ เรียกว่าทงเทียนหรูอี้ ทั้งมีอำนาจทั้งเป็นมงคล” จินเฟยเหยาพยักหน้าพึงพอใจอย่างที่สุด ชื่อนี้ดีจริงๆ ธรรมดาและเข้าใจง่าย
หลอมสร้างอาวุธเวทแก่นชีวิตเสร็จสิ้น จินเฟยเหยาก็ไม่หลอมอาวุธอีก เดิมทีนางก็ทำเรื่องเสียเงินแบบนี้เพียงเพื่อหลอมสร้างอาวุธเวทแก่นชีวิต ตอนนี้มีอาวุธเวทแก่นชีวิตแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่เสียเวลาและไม่ประสบผลสำเร็จแบบนี้อีก ตอนนี้ต้องบรรลุขั้นสร้างฐานช่วงกลางให้ได้ก่อน นางถึงขั้นสร้างฐานช่วงต้นอย่างสมบูรณ์นานแล้ว ขาดเพียงทะลวงอุปสรรคหนึ่งชั้นก็จะสามารถบรรลุขั้นสร้างฐานช่วงกลาง
จินเฟยเหยาเดินออกจากห้องหลอมอาวุธ ไม่มีเรื่องพิเศษอะไรบนเกาะเสี่ยวสือ กลับมีนกถ่ายทอดเสียงตัวหนึ่งพักอยู่บนเกาะรอคอยนางอยู่นานแล้ว เห็นนกถ่ายทอดเสียงกินจนพุงกลมดิกบนเกาะของตนเอง จินเฟยเหยาพลันรู้สึกว่ายันต์ถ่ายทอดเสียงน่ารักกว่า อย่างน้อยรออยู่หลายสิบปีก็ไม่มีปัญหา
ถ้านกถ่ายทอดเสียงเหล่านี้ถ่ายทอดเสียงเสร็จแล้วจึงกลับไปได้ แล้วพบว่าคนที่มาหาไม่อยู่บ้านเป็นเวลานาน มิรอจนแก่ตายหรือ
“นี่ เจ้าจะกินไปถึงเมื่อไร เจ้านายของเจ้าทารุณเจ้ามาตลอดหรือ?” นกถ่ายทอดเสียงธรรมดา พอเห็นคนที่มาหาก็จะถ่ายทอดเสียงทันที แล้วรีบบินกลับไปหาเจ้านาย
ทว่านกถ่ายทอดเสียงตัวนี้กลับแย่งนกถ่ายทอดเสียงของจินเฟยเหยากินตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าโตจนเรียกว่าล่ำแล้ว ยังมีท่าทางราวกับผีหิวโหยกลับชาติมาเกิด
นกถ่ายทอดเสียงตัวนี้กินจนพอแล้วจึงหยุด เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “คุณชายรองของเราบอกว่า ถ้าเจ้าไม่ยอมขายสาวงามคนนั้น พวกเราแต่งนางเป็นอนุภรรยาก็ได้ เจ้าต้องรู้ว่า ตระกูลเรามีอิทธิพลอย่างยิ่งในเมืองวั่นเซียนสุ่ย ตีสนิทกับพวกเรามีแต่ประโยชน์กับเจ้า เจ้าร่ายรายการสินสอดส่งมา พวกเราจะไม่รับสินเดิมเจ้าสาวของเจ้า สามารถแต่งงานได้ทุกเมื่อ”
จินเฟยเหยาฟังคำพูดของนกถ่ายทอดเสียงจบ ก็รู้สึกงุนงงไปหมด นี่ถ่ายทอดเสียงของใครกัน ฟังแล้วเหมือนบ่าวสุนัขแอบอ้างบารมีนายยืนอยู่ต่อหน้าราวกับมีชีวิต
อีกทั้ง คุณชายรองเป็นใคร? แม้แต่ชื่อก็ไม่บอก ต่อให้ข้าอยากให้เนี่ยนซีแต่งงาน ก็ต้องรู้ก่อนว่านี่เป็นตระกูลใคร จินเฟยเหยาลืมเยวี่ยปู้ชิงไปนานแล้ว นึกไม่ออกว่ามีใครเคยเอ่ยว่าจะซื้อเนี่ยนซี
จินเฟยเหยามองนกถ่ายทอดเสียงที่ถ่ายทอดเสียงสุนัขตัวนี้ แล้วหยิบก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งขึ้นจากพื้น ดีดตามสบาย เสียงดังเพี๊ยะ นกถ่ายทอดเสียงร้องแล้วร่วงหล่น
จากนั้นนางหยิบนกถ่ายทอดเสียงขึ้น ตะโกนบอกต้านิวเสียงดัง “ต้านิว ข้าขว้างนกอ้วนได้ตัวหนึ่ง เจ้าถือไปจัดการแล้วล้างย่าง วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี อีกสักครู่ทำกับแกล้มสุรา”
ต้านิววิ่งออกมาจากในครัว ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็หิ้วนกถ่ายทอดเสียงที่หมดลมหายใจเข้าไปในครัว
ครู่หนึ่งก็ยกนกที่ย่างจนหอมกรุ่นขึ้นโต๊ะ จินเฟยเหยานั่งอยู่หน้าโต๊ะนอกบ้าน กินนกพลางศึกษากองไม้ผุๆ เบื้องหน้า บางครั้งยังดื่มสุราหนึ่งจอก ถือว่านางโชคดี พั่งจื่อดำน้ำเล่นอีกแล้ว ไม่เช่นนั้นนางอาจจะไม่มีลาภปากได้กินนกย่าง
สิ่งที่นางกำลังศึกษาอยู่คือวิธีสร้างหุ่นเชิดที่ได้มาจากพานหยวน จินเฟยเหยาศึกษามาหลายปีแล้ว ความคิดของนางคือ ทำหุ่นเชิดหลายตัว สามารถช่วยปลูกพืชวิญญาณ จัดการงานจิปาถะ แบบนี้นางจะได้แอบเกียจคร้าน อีกทั้งหุ่นเชิดมีกำลังมาก สามารถช่วยต้านิวทำงานแทนพั่งจื่อจอมขี้เกียจได้
ศึกษามาหลายปี นางสร้างหุ่นออกมาจำนวนมาก ทว่าหุ่นแต่ละตัวล้วนมีขนาดเล็ก หุ่นเชิดเบื้องต้นที่สอนในตำราก็คือสัตว์ไม้สี่ขาเหมือนจิ้งจกประเภทหนึ่ง จินเฟยเหยาไม่รู้เลยสักนิดว่ามันมีประโยชน์อะไร ใช้อาคมไม่ได้ ไม่มีพลังโจมตี ได้แต่อ้าปากงับสิ่งของ
ทว่าปากทำจากไม้ ได้แต่ตัดหญ้าบนทุ่งหญ้า ทั้งยังต้องใช้การรับรู้ควบคุมจึงเคลื่อนไหวได้ ต่อมาจินเฟยเหยาหาเขี้ยวสัตว์หลายซี่มาฝังในปากที่ทำจากไม้ของมัน จึงทำให้พลังทำลายล้างของเจ้าสัตว์สี่ขาเหล่านี้เพิ่มขึ้นหน่อย แต่ก็ยังต่อกรกับผู้บำเพ็ญเซียนไม่ได้
ตอนนี้นางกำลังศึกษาหุ่นเชิดรูปร่างคน แต่ยังจับจุดสำคัญไม่ได้ หุ่นไม้ที่ทำออกมาใช้การรับรู้ควบคุมไม่ได้ กลายเป็นของตกแต่งทั้งหมด หุ่นเชิดรูปร่างคนห้าหกตัวตั้งอยู่บนเกาะถูกลมพัดฝนสาดมีตะไคร่ขึ้น มีตัวหนึ่งงอกกิ่งอ่อนราวกับต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวได้พบกับฤดูใบไม้ผลิ ทำให้คนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ช่างเถอะ จินเฟยเหยาแทะเนื้อสะโพกของนกถ่ายทอดเสียงจนเกลี้ยง แล้วโยนกระดูกที่เกลี้ยงเกลาลงในพุ่มไม้ สัตว์ไม้สี่ขาตัวหนึ่งพลันกระโดดออกมางับกระดูกไปราวกับสุนัข ทำให้นางมองอย่างตกตะลึงไม่ได้สติคืนมาอยู่นาน
“ต่อให้งับกระดูกได้ พวกเจ้าก็ยังไม่มีประโยชน์ใดๆ ไม่ถูกสิ ถ้าเป็นแบบนี้สิ่งไร้ประโยชน์ที่ข้าเลี้ยงก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น หรือว่าข้ามีสเน่ห์ดึงดูดสิ่งไร้ประโยชน์? ต้องเป็นเพราะพลังการบำเพ็ญเพียรของข้าเพิ่มช้าเกินไป ดังนั้นสิ่งที่เรียกมาทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ การรีบยกระดับพลังการบำเพ็ญเพียรสำคัญที่สุด” จินเฟยเหยารีบแทะนกย่างจนเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว กรอกสุราที่เหลือทั้งหมดเข้าปาก ทิ้งโต๊ะที่เละเทะไว้แล้วพุ่งกลับเข้าไปในห้องฝึกบำเพ็ญ
จินเฟยเหยาฝึกบำเพ็ญอย่างโหดร้าย ตอนนางเลื่อนเป็นขั้นสร้างฐานช่วงกลางสำเร็จ ทั้งยังทำให้พลังการบำเพ็ญเพียรเสถียรและออกจากการปิดด่านกักตนแล้ว เวลาก็ผ่านไปอีกห้าปี เสี่ยวหมางกลายเป็นท่านอาหมางแล้ว คนขับเรือปลาทองกลายเป็นเสี่ยวกั่วบุตรสาวของนาง ส่วนลูกคนสุดท้องของนางสามารถลงน้ำหาปลาได้แล้ว
“ต้านิว เจ้าเก็บของบนเกาะหน่อย พวกเราจะออกทะเลกัน” จินเฟยเหยายืนอยู่บนท่าเรือ สั่งกำชับต้านิวให้เก็บของ จากนั้นก็นั่งเรือปลาทองของเสี่ยวกั่วไปยังเกาะซ่างเซียน
ถ้าคิดจะอาศัยตานสัตว์ปิศาจหาศิลาวิญญาณชั้นกลาง ก็จำเป็นต้องออกไปล่าสัตว์ปิศาจในทะเลเปิด เกาะแก่งในทะเลเปิดมีน้อยมาก ผู้บำเพ็ญเซียนที่ออกไปต้องใช้เรือในการพักเท้า ใช้เรือลำเล็กไม่ได้ สัตว์ปิศาจในทะเลเปิดล้วนดุร้ายอันตราย ต้องใช้เรือผานกู่
เรือผานกู่มีเพียงยี่สิบลำบนเกาะซ่างเซียน จะมีเรือลำหนึ่งออกไปทุกครึ่งปี สามารถบรรทุกผู้บำเพ็ญเซียนนับพันคนในเวลาเดียวกัน การเดินทางไปกลับใช้เวลาอย่างน้อยที่สุดครึ่งปี ถ้าพบเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็อาจใช้เวลาหลายปีจึงกลับมา
เรือผานกู่ที่แล่นไปน่านน้ำอันตรายล้วนมีผู้บำเพ็ญเซียนกำเนิดใหม่นั่งบัญชาการ น่านน้ำที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเช่นจินเฟยเหยาสามารถไปได้ ปกติจะส่งผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเพียงหนึ่งถึงสองคนนั่งบัญชาการเรือผานกู่
จินเฟยเหยาไปเกาะซ่างเซียนก็เพื่อซื้อตั๋วเรือล่วงหน้า คิดจะออกทะเลเปิดล่าสัตว์เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่นั่งเรือผานกู่ นางต้องหาศิลาวิญญาณชั้นกลาง พืชวิญญาณในยาปราณฟ้าดินห้าธาตุต้องใช้ศิลาวิญญาณชั้นกลางซื้อ ตานสัตว์ปิศาจที่ใช้สำหรับเพิ่มความแข็งแกร่งของทงเทียนหรูอี้ก็จำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณชั้นกลาง แม้แต่ยาวิญญาณที่กินประจำทุกวันเพื่อบรรลุขั้นสร้างฐานช่วงปลายก็ต้องใช้ศิลาวิญญาณชั้นกลางจึงซื้อได้ จินเฟยเหยาในตอนนี้คือยาจกอย่างแท้จริง
……………………………………………….
[1] ทงเทียนหรูอี้ หมายถึง ไร้เทียมทานตามปรารถนา