คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 140 เรือศิลาทะเลผานกู่
เรือผานกู่ที่จะออกทะเลในครั้งนี้จอดอยู่ตรงปากอ่าว อีกสามวันเรือจะออก จินเฟยเหยารีบพาทุกคนมาที่นี่
ตึกซ่างเซียนยังถือว่ามีเมตตา รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่จะออกทะเลเหล่านี้ส่วนมากเป็นยาจก ถ้าเก็บค่าขึ้นเรือแพงเกินไป คนเหล่านี้ต้องจ่ายไม่ไหวแน่ ดังนั้นจึงเก็บคนละสองหมื่นศิลาวิญญาณชั้นล่างอย่างมีนัยยะ
ราคานี้ในเมืองวั่นเซียนสุ่ย โดยพื้นฐานแล้วใกล้เคียงกับการให้เปล่าๆ ผู้บำเพ็ญเซียนที่ออกทะเลเป็นประจำล้วนรู้ดี ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาเปล่าๆ พอเรือผานกู่ของตึกซ่างเซียนออกทะเลเปิด ก็จะหาข้ออ้างต่างๆ นานามาขูดรีดผู้บำเพ็ญเซียน
ในเรือมีห้องให้พักอาศัย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ห้องที่ชอบถูกคนแย่งชิงไปอีก จินเฟยเหยาจึงมาที่อ่าวก่อนสามวัน
ตรงปากอ่าวมีท่าเรือขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง จอดเรือผานกู่ขนาดมหึมาสองลำ เรือแต่ละลำยาวร้อยจั้ง กว้างสามสิบกว่าจั้ง บนเรือมีตึกเจ็ดชั้น หน้าต่างห้องพักทั้งหมดตกแต่งด้วยกระจกสี ในตอนที่ทะเลมีคลื่นลมแรงสามารถป้องกันน้ำทะเลซัดเข้าห้องได้
บนตัวเรือวาดวงเวทลวดลายซับซ้อนมากมาย ตอนเผชิญกับการโจมตีของสัตว์ปิศาจขนาดมหึมา สามารถเปิดม่านแสงป้องกันที่แข็งแกร่ง ปกป้องเรือผานกู่ให้ปลอดภัยได้
เรือในเมืองวั่นเซียนสุ่ยปกติไม่มีใบเรือ นอกจากใช้ปลาทองลากก็คือพายเอง เรือผานกู่เหล่านี้ก็เช่นเดียวกัน บนเรือไม่มีใบเรือ แขวนเชือกที่ทำขึ้นพิเศษอยู่เต็มตามลำเรือ มองดูก็รู้ว่าอาศัยสัตว์ภูติลาก
จินเฟยเหยามองพินิจเชือกเส้นหยาบหนาเท่าแขนเหล่านั้น ไม่รู้ว่าใช้ตัวอะไรลากเรือ คงไม่ใช่ปลาทองกระมัง นั่นต้องใช้ปลาทองจำนวนเท่าไรจึงลากเรือให้ขยับได้ ถึงตอนนั้นยืนอยู่บนเรือไม่ได้มองทะเลแต่มองปลาทองเต็มทะเลแทน
เรือที่นางจะโดยสารมีชื่อไม่น่าฟังว่าศิลาทะเล ฟังแล้วทำให้คนรู้สึกว่าเรือหนักมาก แบบลงน้ำก็จม
ส่วนเรือผานกู่ลำที่จอดอยู่ข้างๆ ยังมีชื่อไม่น่าฟังยิ่งกว่า ชื่อหญ้าทะเล หญ้าทะเลสามารถลอยอยู่ในทะเลได้ แต่ไม่มีความสง่างามเอาเสียเลย ชื่อศิลาทะเลยังมั่นคงปลอดภัยมากกว่า
นางนึกว่าขึ้นเรือเป็นครั้งแรก อย่างไรเสียก็มาล่วงหน้าถึงสามวัน แต่ตอนจินเฟยเหยายื่นตั๋วเรือให้ผู้บำเพ็ญเซียนตึกซ่างเซียนที่ท่าเรือแล้วกระโดดเหินร่างขึ้นดาดฟ้าเรือที่สูงหลายสิบจั้ง นางจึงพบว่าบนเรือไม่เหมือนอย่างที่นางคิดไว้เลยสักนิด
คนบนดาดฟ้าเรือเบียดเสียด คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยแล้ว สถานที่ตรงด้านหลังดาดฟ้าเรือ มีโต๊ะเตี้ยสูงเพียงฝ่ามือตั้งเป็นแถวๆ ทั้งหมดถูกยึดไว้บนดาดฟ้าเรือ มีผู้บำเพ็ญเซียนนั่งที่โต๊ะอยู่ห้าหกโต๊ะพูดคุยกันอย่างคึกคัก
จินเฟยเหยาเดินเข้าไปใกล้คิดจะฟังว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน
“พี่หลี่ ครั้งนี้ท่านเก็บเกี่ยวได้ไม่เลว”
“พอถูไถ ไหนเลยจะยอดเยี่ยมเท่าสหายเซียนทั้งสองร่วมมือกันกำจัดสัตว์ปิศาจขั้นห้าตัวหนึ่ง”
“ออกทะเลครั้งนี้ ทุกคนเก็บเกี่ยวได้ไม่เลว”
“ข้าว่านะเหล่าหวง เจ้าอยู่บนเรือมาห้าปีแล้ว เหตุใดยังไม่ยอมลงเรือ”
“ลงเรือมีอะไรดี อาศัยอยู่ที่นี่ได้ราคาถูกขนาดนี้ ออกทะเลหาศิลาวิญญาณ ก็ฝึกบำเพ็ญได้อย่างเพียงพอ อาศัยอยู่ที่นี่สะดวกกว่า”
ฟังเนื้อหาในคำสนทนาของพวกเขา ที่แท้ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้หลังจากออกเรือครั้งที่แล้วก็ไม่ได้ลงจากเรือ ทว่าอาศัยอยู่บนเรือต่อ รอออกเดินทางครั้งถัดไป
คิดไม่ถึงว่าจะมีคนอยู่บนเรือถืงห้าปี แต่ละครั้งที่เรือผานกู่จอดเทียบท่า อย่างน้อยต้องจอดพักสามเดือนขึ้นไป ไม่ได้ไล่พวกเขาลงจากเรือ ช่างใจดีจริงๆ
บนดาดฟ้าเรือนอกจากโต๊ะเล็กนับร้อยชุดก็ไม่มีอะไรน่าดู เพื่อให้ผู้บำเพ็ญเซียนเคลื่อนไหวได้สะดวก สถานที่ส่วนมากล้วนเป็นพื้นที่ว่างเปล่า จินเฟยเหยามองดูรู้สึกว่าไม่น่าสนใจ จึงเดินเข้าไปในห้องโดยสาร พั่งจื่อตีสีหน้าเย็นชาติดตามอยู่ด้านหลัง เดินวางมาดไม่เหลียวซ้ายแลขวา
ยืนมองห้องโดยสารภายในเรือศิลาทะเลอยู่ด้านล่างเรือรู้สึกน่าประทับใจ หลังจากเดินเข้าไปใกล้ ปริมาณห้องพักน่าประทับใจกว่ารูปร่างเรือมากนัก ลักษณะภายนอกของตึกเล็กๆ มองเห็นหน้าต่างกระจกแน่นขนัด นับไม่ถ้วนว่ามีมากเพียงใดกันแน่
ชั้นหนึ่งของเรือ มีประตูทางเข้าขนาดใหญ่เป็นเกล็ดสีสันสดใส ถูกลงการป้องกันไว้ จินเฟยเหยาเดินเข้าไป พบว่าการป้องกันปล่อยให้เข้ามาได้ตามใจปรารถนา คาดว่าใช้สำหรับเป็นประตู
ด้านในประตูเป็นห้องที่ไม่ถือว่าเล็ก ตรงกลางว่างเปล่า เงยหน้าขึ้นก็จะเห็นชั้นทั้งสี่ด้านบน ส่วนบันไดขึ้นด้านบนสองสายเวียนขึ้นไปจากในห้องนี้ ตึกชั้นเจ็ด สองชั้นบนสุดไม่เปิด มีเพียงห้าชั้นตรงกลางเป็นที่พักอาศัยของพวกเขา ส่วนบันไดอยู่ฟากซ้ายฟากขวาของห้อง ตรงกลางและข้างบันได ต่างมีประตูข้างละบาน
จินเฟยเหยาเดินเข้าไปในประตูทั้งสามบานตามลำดับอย่างสงสัย ประตูตรงกลางเป็นร้านอาหาร ด้านในมีโต๊ะและเก้าอี้พร้อมสรรพ บนกำแพงแขวนป้ายที่เขียนชื่ออาหารไว้เต็มไปหมด ตรงมุมมีไหสุราขนาดใหญ่เรียงเป็นแถวอยู่ด้านในถูกชั้นที่มีรูปร่างประหลาดยึดเอาไว้อย่างแน่นหนา
ไม่รู้ว่าเพราะเรือจอดเทียบท่าหรือไม่ ในร้านอาหารจึงว่างเปล่าไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนกำลังกินอาหารและไม่มีผู้รับใช้สักคน
ประตูอีกสองบาน ทางด้านซ้ายเป็นห้องขนาดใหญ่ที่มีเบาะกลมวางบนพื้นเต็มไปหมด กระจกหน้าต่างทั้งหมดมีขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกจากภายในได้ เบาะกลมแต่ละอันจัดวางอย่างเป็นระเบียบ แต่ละอันห่างกันสองจั้ง ทำเป็นห้องฝึกบำเพ็ญให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนใช้โดยเฉพาะ
จินเฟยเหยาทดลองนั่งลงบนเบาะกลมอันหนึ่ง ม่านแสงสายหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้าตกลงรอบกายนาง แบบนี้สามารถรักษาความสงบขณะฝึกบำเพ็ญได้ และกั้นสายตาค้นหาของผู้อื่นได้
แบบนี้ไม่เลวทีเดียว เดิมทีนางคิดจะฝึกบำเพ็ญในห้อง ในเมื่อบนเรือสร้างห้องฝึกบำเพ็ญโดยเฉพาะ ก็แสดงว่าห้องที่อยู่อาศัยภายในเรือต้องไม่เหมาะสมจะฝึกบำเพ็ญแน่
ห้องสุดท้ายอยู่ด้านขวา ขนาดเดียวกับห้องฝึกบำเพ็ญ ทว่ากลับใช้ไม้กระดานกั้นเป็นห้องเล็กๆ เป็นแถวหันหลังชนกัน ด้านหน้าห้องวางไม้กระดานแผ่นหนึ่ง ไม่รู้ว่าใช้ทำอะไร ภายในห้องนี้ สถานที่ซึ่งเห็นได้ชัดที่สุดคือห้องเล็กๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าห้องอื่นๆ สี่แห่ง บนไม้กระดานด้านหน้าห้องคลุมด้วยผ้ากันลื่น ด้านหลังมีผู้รับใช้ขั้นฝึกปราณช่วงต้นสองคน กำลังหยิบขวดยาออกจากกถุงเฉียนคุนวางบนชั้นบนกำแพงในพื้นที่ บนชั้นยึดไว้ด้วยวงเหล็กจำนวนไม่น้อย เสียบขวดยาไว้ด้านใน ตอนเจอคลื่นก็จะไม่ร่วงมา
นอกจากยา บนชั้นยังวางอาวุธเวทและของวิเศษ ยังมีสิ่งของจิปาถะบางอย่างสำหรับสวมใส่หรือใช้สอย สิ่งของจำพวกยันต์อาคมและวงเวท เห็นได้ชัดว่าเป็นร้านขายของชำย่อส่วน ส่วนพื้นที่กั้นเล็กๆ เหล่านั้น ท่าทางจะเป็นพื้นที่ซึ่งจัดให้ผู้บำเพ็ญเซียนใช้ตั้งแผงค้าขาย
จินเฟยเหยาประหลาดใจอยู่บ้าง ต้องออกทะเลนานเพียงใดกันแน่ ปกติก่อนออกทะเล ผู้บำเพ็ญเซียนจะซื้อสิ่งของจำเป็นจนเต็ม เห็นการกระทำของผู้รับใช้สองคนนี้น่าจะชำนาญดี ดูท่าการค้าขายในทะเลจะไม่เลว
จินเฟยเหยาเดินออกมาจากสามห้องนี้ ก็อยากจะเห็นห้องของตนเองจนอดใจรอไม่ไหว ห้องของนางคือห้องอักษรตี้หมายเลขเก้าที่ชั้นสาม เดินขึ้นบันไดมาถึงชั้นสาม นางมองตามป้ายที่แขวนไว้นอกประตูก็หาห้องพบอย่างง่ายดาย
ผลักประตูห้องเปิด เบื้องหน้าจินเฟยเหยาก็ปรากฏห้องแคบยาว ห้องนี้แคบอย่างยิ่ง แคบแบบมีพื้นที่กว้างเพียงหกฉื่อกว่า ทว่ากลับมีความยาวถึงสองจั้ง
ห้องแคบๆ นี้ถูกกั้นเป็นสองส่วน ส่วนนอกที่ติดประตูคือห้องโถง จัดวางโต๊ะน้ำชาหนึ่งตัวและเก้าอี้นั่งสองตัว มีปะการังชิ้นหนึ่งวางตกแต่งบนโต๊ะน้ำชา ด้านตรงข้ามเก้าอี้นั่งคือโต๊ะยาวตัวหนึ่ง บนโต๊ะวางที่ทับกระดาษและที่แขวนพู่กัน ยังมีตะเกียงศิลาหินแสงจันทร์ดวงเล็กๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นโต๊ะที่ให้ผู้บำเพ็ญเซียนนั่งวาดยันต์
ห้องโถงด้านหน้าจัดวางสิ่งของเหล่านี้ ส่วนด้านในกั้นเป็นห้องติดหน้าต่าง มีเตียงไม้ขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ตรงข้ามเตียงไม้มีตู้หนึ่งใบ ตามที่จินเฟยเหยาคิด ตู้ใบนั่นก็วางไปอย่างนั้นเอง ผู้ใดจะใส่สิ่งของ ภายในถุงเฉียนคุนยังว่างอยู่เลย
คิดไม่ถึงว่าข้างตู้มีอ่างอาบน้ำทำจากไม้วางอยู่ บนกำแพงยังมีไม้กระดานชิ้นหนึ่งให้ผู้บำเพ็ญเซียนวางสิ่งของด้วย สิ่งของเหล่านี้แออัดเต็มห้องไปหมด ไปห้องฝึกบำเพ็ญดีกว่านั่งฝึกบำเพ็ญในสถานที่เช่นนี้จริงๆ ด้วย
จินเฟยเหยามองผ่านกระจกภายในห้องไปเห็นท่าเรือพอดี ถ้าไม่มีหน้าต่างเล็กๆ บานนี้ ห้องนี้ก็คือโลงศพที่กว้างหน่อย
ออกทะเลไม่ใช่ไปรื่นรมย์จริงๆ ด้วย สภาพแวดล้อมเป็นเช่นนี้ มิน่าเล่าจึงราคาเพียงสองหมื่นศิลาวิญญาณ เพียงแต่ไม่รู้ว่า ออกทะเลแล้วตึกซ่างเซียนจะหาข้ออ้างอะไรมาขูดรีดเงินหรือไม่
จินเฟยเหยาครุ่นคิด ตัดสินใจไปซื้อของที่ตลาดอีกรอบ นางนำอาหารเพียงพอสำหรับครึ่งปีไป ไม่อยากให้เกิดเรื่องที่เนี่ยนซีกับต้านิวเกือบจะอดตายขึ้นอีก
ที่จริงไม่ต้องให้นางวิ่งกลับไปเมืองวั่นเซียนสุ่ยอีกรอบ คนที่ขายสิ่งของบนท่าเรือก็มีมากกว่าคนซื้อมากนัก ไม่รู้ว้เป็นแผงที่ตึกซ่างเซียนตั้งขึ้นหรือไม่ มีตั้งแต่ของกิน ของใช้ ยา ยันต์ สิ่งที่ควรจะมีล้วนมีหมด
นึกถึงยันต์ที่ตนเองวาดครั้งที่แล้วใช้ไปจนเกลี้ยงเพื่อช่วยเหลือสยงเทียนคุน นางเหลือยันต์ซ่อนกายไว้ให้ตนเองสามแผ่น ส่วนที่เหลือทั้งหมดให้เขาไป ตอนไปขโมยศิลาน้ำแข็งที่ตระกูลพานก็ใช้ไปอีกสองใบ ตอนนี้เหลือเพียงใบเดียว ภายหลังดูเหมือนจะมีเรื่องราวมากมายบนเกาะเสี่ยวสือ จึงไม่ได้วาดยันต์ซ่อนกายมาตลอด ซื้อวัตถุดิบหน่อยดีกว่า ตอนอยู่ในทะเลเบื่อๆ จะได้วาดไว้ป้องกันตัวสักหลายใบ
หลังจากเลือกหมึกวิญญาณและกระดาษยันต์จำนวนมาก จินเฟยเหยาก็ซื้อของกินของใช้อีกจำนวนไม่น้อย ผู้บำเพ็ญเซียนหลังสร้างฐานสามารถงดอาหารได้ ไม่ต้องกินอาหาร ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานในโลกหนานซานในจำนวนหนึ่งร้อยคนมีเพียงคนเดียวที่กินอาหาร สิ่งที่กินคือพวกสุรา น้ำชา หรือผลไม้ล้ำค่าซึ่งเป็นสิ่งของเลิศรส น้อยมากที่มีคนประเภทจินเฟยเหยา กินทั้งวันมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป
ในโลกระดับวิญญาณกลับไม่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าความคิดแตกต่างกันหรือไม่ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่นี่กินอาหารด้วย มีอาหารเลิศรสนานาชนิดมากมาย ให้จินเฟยเหยาซื้อจนเพียงพอ
บรรจุถุงเฉียนคุนจนเต็มอีกครั้ง จินเฟยเหยาก็นั่งแทะผลไม้ตรงโต๊ะเตี้ยที่ดาดฟ้าเรือ กางหูฟังผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นพูดคุยกัน สิ่งที่พวกเขาสนทนาล้วนเป็นเรื่องซุบซิบนินทา ไม่มีคนกางสิ่งของประเภทม่านแสงกั้นเสียง ราวกับกลัวว่าผู้อื่นจะไม่ได้ยิน ส่งเสียงดังจนทำให้คนตกใจ จากคำสนทนาของพวกเขา จินเฟยเหยามีความเข้าใจทะเลเปิดเบื้องต้นขึ้นนิดหน่อย
ผู้บำเพ็ญเซียนในสองวันให้หลังมานี้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะวันสุดท้าย ผู้บำเพ็ญเซียนที่จะออกทะเลทั้งหมดต่างขึ้นเรือ มีจำนวนไม่น้อยออกทะเลเป็นครั้งแรก เนื่องจากห้องเล็กเกินไป ทุกคนจึงนั่งบนดาดฟ้าเรือที่กว้างขวาง จำนวนโต๊ะเตี้ยยิ่งมายิ่งน้อยลง
จินเฟยเหยาไม่รู้จักใครสักคน ตนเองครองโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งเด่นสะดุดตายิ่ง ครู่หนึ่งนางก็ถูกเบียดออกมาจากโต๊ะเตี้ย จนต้องไปนั่งบนดาดฟ้าข้างลำเรือ
ตั้งแต่วันแรก ขอเพียงนางปรากฏตัวขึ้นบนดาดฟ้าเรือ จินเฟยเหยาจะรู้สึกได้ว่ามีการรับรู้กวาดมองตนเองไม่หยุด ทั้งยังไม่ได้กวาดมองแบบผ่านๆ ราวกับมีคนกำลังจับตาดูนาง ทำให้นางมีโทสะอย่างยิ่ง
………………………………………..