คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 152 สถานการณ์ที่วุ่นวายยากจัดการ
“ข้าไม่เคยเห็นคนเผ่ามาร ถ้าพวกเจ้าไม่มีอะไรก็ไปได้แล้ว” สตรีผู้นี้เชิดคางขึ้น เอ่ยวาจาไล่แขกด้วยท่าทางเลวร้าย
“สหายเซียนท่านนี้โปรดรอสักครู่ พวกเรายังต้องตรวจค้นในห้องรอบหนึ่ง” เห็นนางเป็นผู้ฝึกกระบี่ ท่าทีของผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้จึงดีขึ้นนิดหน่อย
ผู้ฝึกกระบี่ที่พันกายด้วยผ้าสีขาวคนนี้เอ่ยอย่างเดือดดาล “มีอะไรต้องตรวจค้น ห้องเล็กแค่นี้ ยืนอยู่ตรงประตูก็มองเห็นชัดเจนแล้ว ยังต้องเข้าไปอีก!”
“สหายเซียนท่านนี้อย่าถือโทษเลย ครู่เดียวก็เสร็จๆ” ผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนแย้มยิ้มประจบเอาใจไม่หยุด
ยามนี้ ผู้รับใช้คนนั้นรีบวิ่งมาจ้องมองใบหน้าของสตรีผู้นี้แล้วส่ายศีรษะให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่ถือรายชื่อ ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนที่ตรวจค้นห้องก็เดินออกมาบอกว่า “ไม่พบอะไร”
ในเมื่อหาคนไม่พบ เช่นนั้นต้องเอ่ยวาจาดีๆ สักหน่อย หลายคนเค้นรอยยิ้มให้สตรีผู้นี้พลางเอ่ย “ขอบคุณสหายเซียนที่ให้ความร่วมมือกับพวกเรา ตอนนี้เชิญสหายเซียนกลับเข้าห้องได้แล้ว ขอบคุณๆ”
ผู้ฝึกกระบี่สตรีถลึงตามองพวกเขาอย่างเดือดดาล จากนั้นส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา แล้วปิดประตูอย่างแรง
“ไป ยังมีห้องถัดไปที่ยังไม่ได้ตรวจค้น เร็วหน่อย” ผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนเคยชินกับใบหน้าเย็นชาแบบนี้แล้ว จึงร้องเรียกให้ไปยังห้องถัดไป จากนั้นก็มีเสียงตะโกนว่าถ้ายังไม่เปิดประตูจะพังเข้าไปดังมาอีก
“ทำให้ข้าตกใจแทบตาย โชคดีที่ไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเป็นผู้นำมา ไม่เช่นนั้นเวทแปลงโฉมคงตบตาพวกเขาไม่ได้” จินเฟยเหยาเข้าไปใกล้ข้างหน้าต่างอย่างหวาดกลัวไม่หาย มองออกไปข้างนอก ถ้าไปจากเรือศิลาทะเลตอนนี้จะยิ่งอันตรายกว่านี้
จินเฟยเหยาอาศัยเวทแปลงโฉมเสี่ยงอันตรายเปลี่ยนรูปโฉม แล้วเปลี่ยนทงเทียนหรูอี้ให้กลายเป็นกระบี่ยาวสองเล่มไขว้ไว้ด้านหลัง บวกกับท่าทางดุร้าย นับว่าหลอกคนของตึกซ่างเซียนได้
รีบร้อนไปจากเรือศิลาทะเลตอนนี้อาจจะเปิดเผยตัวตนออกมา ให้ผ่านไปอีกหลายวันเถอะ ขอเพียงไม่เจอผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมในระยะใกล้ ก็ใช้เวทแปลงโฉมได้ไม่มีปัญหา
จินเฟยเหยาผลัดเปลี่ยนเป็นชุดที่ไม่เคยสวมใส่อีกชุด ตัดสินใจรออยู่บนเรือศิลาทะเลก่อน
หลินอวี่หาจินเฟยเหยาบนเรือไม่พบ และเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจสอบแบบนี้ไปตลอด จึงหาผู้บำเพ็ญเซียนที่มีฝีมือวาดภาพยอดเยี่ยมมา ให้ผู้รับใช้บรรยาย แล้ววาดภาพเหมือนของจินเฟยเหยาออกมา ภาพเหมือนนี้เหมือนถึงแปดส่วน จากนั้นก็ให้ผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนพกคนละใบ ตรวจค้นบนเรือและน่านน้ำโดยรอบอย่างเข้มงวดอยู่หลายวันก็ไม่พบแม้เงา
วุ่นวายอยู่เช่นนี้หลายวัน ผู้บำเพ็ญเซียนบนเรือก็อยู่ไม่ไหว วันหนึ่งบุกเข้าค้นห้องอย่างกะทันหันหลายครั้ง ยังอยากให้คนอยู่หรือไม่ ทุกคนทยอยกันเตรียมตัวออกทะเลล่าสัตว์ กลับถูกขัดขวางไว้ห้ามพวกเขาจากไป
ยามนี้มีผู้บำเพ็ญเซียนที่ออกทะเลจำนวนมากกลับมาและด่าทออย่างเดือดดาล ที่แท้คนของหอฉีเทียนร่อนไปทั่วน่านน้ำ พบผู้บำเพ็ญเซียนก็ทำการไต่สวน พบคนที่อยู่ว่างๆ นั้นยังดี พบผู้บำเพ็ญเซียนที่กำลังสังหารสัตว์ปิศาจ ยังไม่ทันเอ่ยปาก ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นก็ขับไล่ผู้บำเพ็ญเซียนของหอฉีเทียนไปอย่างดุร้ายราวกับแย่งอาหารจากปากพยัคฆ์
นี่ย่อมหลีกเลี่ยงการต่อสู้กันไม่ได้เป็นธรรมดา ทำให้บนทะเลเสียบรรยากาศ เทียนกงเจินเหรินได้แต่คลายวงล้อมให้ศิษย์ในสำนักไปทั่ว ทำงานหนักเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน เขาพลันรู้สึกว่าตนเองรับงานนี้มาลงแรงเยอะแต่ไม่ได้ดีจริงๆ ถึงแม้โลหิตตานมารจะสำคัญ แต่มิใช่ว่าขาดวัตถุดิบชิ้นนี้ไม่ได้
เขาครุ่นคิด คิดจะหาประโยชน์จากตึกซ่างเซียน ใช้พลังกดดันขับไล่ให้ผู้บำเพ็ญเซียนบนทะเลทั้งหมดกลับขี้นเรือศิลาทะเล
เผชิญหน้ากับการคุ้มครองส่งด้วยตนเองของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้จึงกลับเรือศิลาทะเลอย่างเคียดแค้น บนเรือพลันคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อออกทะเลไม่ได้ คนเหล่านี้ล้วนมาเสียเที่ยว ทั้งหมดจึงรวมตัวกันอยู่บนดาดฟ้าเรือหรือในร้านอาหาร ดื่มสุราสนทนาด่าทอคนบางคนที่ใช้อำนาจกดดันคนไม่หยุด
แผงเล็กๆ บนเรือก็มีคนเดินไปมา คงนั่งอยู่ว่างๆ ในเรือไม่ได้ ต้องหาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำฆ่าเวลา
เทียนกงเจินเหรินมีเจตนาสองอย่าง หนึ่งคือให้ผู้บำเพ็ญเซียนในทะเลมีน้อยลง แบบนี้จะได้ลดเรื่องยุ่งยากให้คนของตนเอง และค้นหาได้สะดวกขึ้น ข้อสองคือคิดว่าสตรีที่ใช้ไฟนรกผู้นี้จะปะปนอยู่ในหมู่ผู้บำเพ็ญญ้็ญเซียนบนเรือศิลาทะเลดังเดิมหรือไม่ ขอเพียงจับมาตรวจสอบทีละคนก็รู้แล้ว
วิธีตรวจสอบที่ให้ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหมดต่อแถวกันแล้วให้เดินผ่านเบื้องหน้าไปทีละคนแบบนี้ เขากับหลินอวี่ล้วนไม่ยินดีใช้ ผู้บำเพ็ญเซียนมีความหยิ่งยโสในตนเอง ทำเช่นนี้คือเหยียดหยามพวกเขา ถึงจะสามารถใช้ความแข็งแกร่งกดดันคนได้ ทว่าในผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้มีคนจากทุกสำนัก ถ้าทำให้เรื่องใหญ่โตต้องก่อขัดแย้งระหว่างสำนักแน่
ผู้ใดจะรู้ว่าในจำนวนนั้นจะมีคุณหนูคุณชายของสำนักใหญ่ปะปนอยู่ด้วยหรือไม่ การถือหางเข้าข้างล้วนเป็นเรื่องที่ทุกคนชอบทำที่สุด ทว่าบนเรือมีคนอาศัยอยู่ไม่เต็ม ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนล้มตายไปมากมายเพียงใด มีสิบกว่าห้องที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ดังนั้นเรื่องนี้จึงลากถ่วงมาหลายวัน
เรื่องที่พวกเขาไม่คิดล่วงเกินคนและกระทำการลังเลแบบนี้ทำให้จินเฟยเหยามีโอกาสหลบหนีได้สำเร็จ บนเรือตรวจสอบอย่างเข้มงวดเช่นนั้นก็ซ่อนอยู่ใต้เรือ ฉวยโอกาสที่วันหนึ่งมีข่าวออกมาว่าพบผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายคลึงอยู่บ้างในทะเล ทว่าเนื่องจากอีกฝ่ายมีพวกมาก ดังนั้นหลินอวี่และเทียนกงเจินเหรินจึงไปช่วยกัน ไม่รู้ว่าเป็นคนที่น่าสงสารคนใดที่ต้องแบกหม้อดำ[1]เช่นนี้
รู้ว่ายังมีผู้บำเพ็ญเซียนบัญชาการเรืออีกคนหนึ่งที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยว ฉวยโอกาสที่สองคนนี้ไม่อยู่ จินเฟยเหยาแปะยันต์ซ่อนกายให้ตนเอง ไถลลงในทะเลตามข้างตัวเรือ
นางใช้ฟองแสงนรกอันหนึ่ง แนบติดและซ่อนอยู่ใต้ท้องเรือ ทั้งยังใช้พวกพืชน้ำจำนวนมากมาแปะไว้บนฟองแสงนรก จากนั้นก็ซ่อนกายอยู่ในฟองแสงนรกมาตลอด
หลายวันนี้จินเฟยเหยายุ่งอยู่ตลอดเวลา พยายามวาดยันต์ซ่อนกายให้ตนเองอย่างสุดชีวิต บวกกับยันต์ที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้มีนับร้อยใบแล้ว นางซื้อสิ่งของที่จำเป็นทั้งหมดและวางแผนว่าจะอยู่ที่ก้นเรือแบบนี้ เวลาล่าสัตว์ครึ่งปีที่ตกลงกันไว้ ที่จริงเพิ่งผ่านไปสองเดือนกว่า แต่จินเฟยเหยาคาดเดาว่าตึกซ่างเซียนอาจจะกลับไปก่อนล่วงหน้า
ต่อให้ไม่กลับไป จินเฟยเหยาก็ไม่กลัว ถ้าใช้ยันต์ซ่อนกายทั้งหมดจนเกลี้ยง นางยังสามารถใช้เวลาครึ่งชั่วยามเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียนทำยันต์ซ่อนกายเพิ่มเติมได้ ขอเพียงไปมารวดเร็ว ระดับความอันตรายก็จะลดลงไม่น้อย
ขณะที่จินเฟยเหยาซ่อนตัวได้ไม่ถึงสองวัน หลินอวี่และเทียนกงเจินเหรินก็เดือดดาลกลับมา ในกลุ่มศิษย์ที่อยู่ด้านหลังยังมีคนถูกมัดตัวคนไว้ห้าหกคน ในจำนวนนั้นมีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีท่าทางกระเซอะกระเซิงคนหนึ่ง ร้องห่มร้องไห้มาตลอดทาง
ในคนที่ถูกมัดไว้ ยังมีคนที่ใช้เสียงแหบแห้งด่าทอ พอได้ยินก็รู้ว่าคงด่าทอมาตลอดทาง ขนาดเสียงยังแหบแห้ง
“ปล่อยข้านะ เจ้าพวกสารเลว หอฉีเทียนของพวกเจ้าไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตามากไปแล้ว วังเฟิ่งเฉาต้องมาทวงความยุติธรรมแน่นอน คิดไม่ถึงว่าจะกล้าทำร้ายองค์หญิงน้อยของพวกเรา ทั้งยังกล้าจับมัดพวกเรา เจ้าพวกสารเลว”
ยามนี้หลินอวี่และเทียนกงเจินเหรินหงุดหงิดแทบตาย ตอนพวกเขาเร่งรุดไปถึง ก็เห็นศิษย์ของตนเองห้าหกคนถูกฟันบาดเจ็บ บนศีรษะของสตรีในกลุ่มนั้นเสียบดอกบัวน้ำแข็งสองดอก ท่วงท่าเย่อหยิ่ง ทั้งสองคนเพื่อแย่งชิงโลหิตตานมาร จึงเข้าต่อสู้ด้วยทันทีโดยไม่เอ่ยอะไร
หากมิใช่เพื่อละเว้นชีวิตไว้สอบถาม สตรีผู้นี้คงถูกคนทั้งสองใช้ฝ่ามือฟาดจนกลายเป็นเศษเนื้อแล้ว
ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากตรวจสอบพวกที่ถูกมัดทั้งหมดแล้ว สตรีผู้นี้ถึงกับเป็นองค์หญิงน้อยแห่งวังเฟิ่งเฉาที่ออกมาหาประสบการณ์พอดี นึกถึงยายเฒ่าวังเฟิ่งเฉาที่ให้กำเนิดบุตรธิดานับร้อย คนทั้งสองก็รู้สึกหนังศีรษะชา ตอนนี้จะฆ่าก็ไม่กล้า จะปล่อยก็ไม่ปล่อย สุดท้ายได้แต่มัดพากลับมาที่เรือศิลาทะเล รอแจ้งเบื้องบนให้พวกเขาจัดการ
ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือไม่ให้พวกเขาหลบหนีและปล่อยข่าวออกไป ขอเพียงไม่สังหาร ที่วังเฟิ่งเฉาคงไม่มีสัญญาณเตือน เพียงแต่ต่อไปจะให้พวกเขาสองคนรับผิดชอบเรื่องนี้หรือไม่ ก็ไม่รู้แน่ชัด
หลังจากกลับมา คนทั้งสองก็ให้ผู้บำเพ็ญเซียนต่อแถวดูหน้าตา ในเมื่อล่วงเกินคนใหญ่คนโตแล้ว ก็ล่วงเกินพวกตัวเล็กๆ อย่างไม่ใส่ใจ
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่เดือดดาลถูกพาออกมายืนบนดาดฟ้าเรือ เทียนกงเจินเหรินใช้การรับรู้ตรวจสอบดูทีละคน ด้านข้างยังพาผู้รับใช้คนนั้นมาดูหน้าตา ตรวจสอบเสร็จก็ไปยืนอยู่อีกข้าง
ผู้บำเพ็ญเซียนนับพันคน มีคนจำนวนไม่น้อยเป็นศิษย์ของสำนักใหญ่จริงๆ แต่ละคนหยิ่งผยอง ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม ก็ยังพูดจาโอหังบังอาจ พวกเขายกทั้งบิดาและท่านย่า เอ่ยชื่อบุคคลสำคัญแต่ละคนออกมา เทียนกงเจินเหรินถือว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงแค่ลมพัดผ่านหู แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยังคงตรวจสอบทุกคนอย่างสงบนิ่งดังเดิม
เผชิญหน้ากับพลังกดดันเหล่านี้ ในใจของเทียนกงเจินเหรินแค้นหลินอวี่จนกัดฟันกรอดๆ เจ้าหมอนี่บอกตรงๆ ว่าไม่อยากตรวจสอบ เรื่องนี้พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรเป็นเรื่องที่ถึงตายก็ไม่ยอมกระทำ ถ้าเทียนกงเจินเหรินไม่ยินยอมด้วย เช่นนั้นเรื่องนี้ก็แล้วกันไป อย่างมากตึกซ่างเซียนก็กลับไปก่อนล่วงหน้าไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
เทียนกงเจินเหรินถูกบีบจนหมดหนทาง ได้แต่กระทำเรื่องนี้เอง เขาคาดเดาได้ ถ้าทำแบบนี้แล้วยังหาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ใช้ไฟนรกคนนั้นไม่พบ ตนเองล่วงเกินคนนอกมากมายปานนี้ กลับไปไม่ต้องเอ่ยถึงว่าไม่ได้ความชอบ ยังต้องถูกอาจารย์ลงโทษอีก
นึกถึงการลงโทษ เขาพลันนึกขึ้นได้ ถ้าเขาหันหน้าเข้าฝาผนังสำนึกตน ก็ทำให้คนเหล่านี้มาหาเรื่องเขาไม่ได้ พอมีความคิดเช่นนี้ ดูเหมือนเขาจะหวังให้สตรีผู้นี้อย่าปรากฏตัวขึ้นในฝูงชนอยู่นิดๆ
ท่ามกลางเสียงสาปแช่งของทุกคน ในที่สุดเทียนกงเจินเหรินก็ตรวจสอบทุกคนเสร็จสิ้น ในนั้นไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนที่ปลอมแปลงตัวเหมือนอย่างที่หวังไว้ ดังนั้นผู้รับใช้จึงไม่พบจินเฟยเหยาในนั้น
หลังจากความทุกข์ทรมานผ่านพ้น เขาก็โยนสถานการณ์วุ่นวายของวังเฟิ่งเฉาให้หลินอวี่ แล้วสะบัดก้นกลับไปรับโทษอย่างเริงร่า
คนของวังเฟิ่งเฉาจัดการยาก หลินอวี่ยอมมอบชั้นเจ็ดครึ่งชั้นของตนเองให้ ทำให้สภาพแวดล้อมที่พักอาศัยขององค์หญิงดีขึ้น จากนั้นก็มอบของล้ำค่าให้นาง จึงทำให้ในจดหมายฟ้องที่องค์หญิงน้อยผู้นี้ส่งไปให้วังเฟิ่งเฉาไม่ได้เอ่ยถึงความเลวร้ายของหลินอวี่มากเท่าไร
เรื่องเหล่านี้จินเฟยเหยาที่ซ่อนอยู่ใต้ท้องเรือมาตลอดไม่ล่วงรู้ นางไม่กล้าลอยขึ้นมา และไม่กล้าใช้การรับรู้ตรวจสอบ นางตั้งอกตั้งใจคำนวณเวลาออกฤทธิ์ของยันต์ซ่อนกายอยู่ตลอดเวลา ตอนยันต์ซ่อนกายหมดฤทธิ์ต้องรีบแปะยันต์ซ่อนกายใบใหม่ทันที จึงทำให้กลิ่นอายของตนเองไม่รั่วไหลออกไปภายนอก จินเฟยเหยาไม่กล้าดูเบาความสามารถของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม ถ้าทำให้พวกเขารู้สึกได้ว่าใต้ท้องเรือมีคนอยู่ นางคงจบสิ้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่วัน พลันมีสัตว์ปิศาจสองตัวปรากฏขึ้นรอบเรือศิลาทะเล จินเฟยเหยามองดูผ่านฟองแสงนรกที่แปะพืชน้ำสีเขียวเต็มไปหมด ที่แท้เป็นปลาทองขนาดยักษ์สองตัวที่ลากเรือ
หรือว่าจะเดินทางกลับแล้ว? ในใจจินเฟยแอบรู้สึกยินดี
……………………………………
[1] แบกหม้อดำ หมายถึง แบกรับความผิดที่ตนเองไม่ได้ทำหรือมีคนใส่ความ