คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 153 คนละครึ่ง
จริงเสียด้วย ปลาทองสองตัวว่ายไปด้านหน้าเรืออย่างรวดเร็ว เชือกหยาบใหญ่เหล่านั้นพันลงบนร่างของปลาทองอีกครั้ง ตัวเรือเริ่มเคลื่อนที่อย่างช้าๆ เตรียมตัวกลับเมืองวั่นเซียนสุ่ย
หลังจากวนเป็นวงใหญ่ ปลาทองก็เร่งความเร็ว ลากเรือศิลาทะเลกลับอย่างรวดเร็ว
เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน จินเฟยเหยายังคงใช้ยันต์ซ่อนกายดังเดิม โดยสารเรือแบบนี้ก็สนุกไปอีกแบบ นางสามารถมองเห็นดงปะการังใต้ทะเลอันงดงามถอยหลังไปอย่างรวดเร็วได้ชัดเจน ปลาสวยงามจำนวนนับไม่ถ้วนแหวกว่ายอยู่ในน้ำทะเลที่ใสกระจ่าง
หลังจากเรือเดินทางกลับได้สามวัน ปะการังใต้ท้องเรือก็ค่อยๆ หายไป ก้นทะเลสีดำสนิทปรากฏขึ้นใต้ท้องเรือ เรือศิลาทะเลแล่นออกจากหมู่เกาะปะการังแล้ว
น้ำทะเลที่มืดมิดมองไม่เห็นก้นบึ้งรอบด้าน บางครั้งบางคราวจะมีปลาหลายตัวว่ายออกไปอย่างเร่งรีบเนื่องจากเรือศิลาทะเลทำให้ตื่นตกใจ ขนาดเงาร่างก็มองเห็นไม่ชัด
ขณะที่จินเฟยเหยารู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง วาล์วอันหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากฟองแสงนรกนักพลันค่อยๆ เปิดออก จากนั้นก็เห็นถุงขนาดใหญ่ยักษ์ใบหนึ่งร่วงออกมาจากด้านใน พอสัมผัสน้ำทะเล ก็มีของเหลวสีขุ่นรั่วไหลออกมา
มองถุงขนาดใหญ่ใบนี้ จินเฟยเหยาก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง ด้านในบรรจุสิ่งใดไว้ นี่คือจะทำอะไร
ถุงขนาดใหญ่ใบนี้เพิ่งปรากฏขึ้นไม่นาน ในทะเลลึกด้านล่างก็มีสัตว์ปิศาจตัวหนึ่งพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จินเฟยเหยาหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับ ก็เห็นปลาไหลซาเฟิงยาวห้าหกจั้งตัวนี้พันโอบเรือศิลาทะเล
จากนั้นเห็นแสงสีสันสดใสกระพริบบนผิวทะเล ตัวเรือสั่นสะเทือน ผู้บำเพ็ญเซียนบนเรือคุ้มกันเรืออีกครั้ง ตลอดทางพบการโจมตีของสัตว์ปิศาจ นี่เป็นสิ่งที่จินเฟยเหยาคาดได้นานแล้ว ดังนั้นนางจึงรอคอยอย่างสงบนิ่ง ไม่คิดจะให้ปลาไหลซาเฟิงตัวนี้พบตนเอง
ประมาณครึ่งชั่วยาม ปลาไหลซาเฟิงตัวนี้ก็ถูกผู้บำเพ็ญเซียนบนเรือสังหาร เห็นร่างอันยาวเหยียดของมันถูกหลินอวี่ลากขึ้นเรือ แล้วโยนเข้าไปในห้องเก็บ จินเฟยเหยาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง เมื่อครู่ยังฉวยโอกาสตอนวุ่นวายได้ ไม่กลัวว่าพลังวิญญาณจะถูกหลินอวี่พบเห็น ตอนนี้หลินอวี่มาเก็บสินสงคราม จะถูกพบได้ง่ายขึ้น
หลินอวี่ไม่พบจินเฟยเหยาที่ซ่อนตัวอยู่ตรงหางเรือ เพียงแต่โยนปลาไหลเฟิงซาเข้าไปในตัวเรือ แล้วกลับไปห้องฝึกบำเพ็ญบนเรืออีกครั้ง ห้องของเขาถูกองค์หญิงน้อยแห่งวังเฟิ่งเฉายึดครอง ได้แต่แล่นไปยังห้องฝึกบำเพ็ญ ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่บ่นไม่หยุด ไม่มีกระทั่งสถานที่นั่งเข้าฌาณ
จินเฟยเหยาที่ไม่รู้สภาพการณ์ในเรือ ไม่กล้าแล่นกลับขึ้นเรือสุ่มสี่สุ่มห้า ได้แต่รออยู่ใต้เรือ กลับพบว่าสัตว์ปิศาจพุ่งเข้าใส่เรือทีละตัวไม่หยุด เหมือนกับตอนขามาไม่มีผิด หลายครั้งเกือบจะถูกสัตว์ปิศาจสังหาร จินเฟยเหยาไม่มีทางเลือก ได้แต่แทรกเข้าไปในวาล์วที่โยนถุงขนาดใหญ่ออกมา
นางฉวยโอกาสตอนที่สิ่งของในถุงผ้าหมดแล้วเตรียมเก็บกลับคืน ยืนอยู่บนถุงผ้าที่ถูกลากเข้าไปในเรือ ตรงประตูวาล์วมีการป้องกันน้ำ ดังนั้นนางจึงไม่กล้าพุ่งเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า เกรงว่าจะทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนบัญชาการเรือแตกตื่น
หลังตามถุงผ้าที่เข้าวาล์วได้อย่างราบรื่น จินเฟยเหยาเกรงว่าจะมีคนของตึกซ่างเซียน จึงให้ทงเทียนหรูอี้เบิกทางเป็นพิเศษ กลับพบว่าด้านในไม่มีใครสักคน มืดสนิท
จินเฟยเหยานำหินแสงราตรีออกมา พบว่าที่นี่เป็นห้องซึ่งเต็มไปด้วยกลไกทำจากไม้ กว้างห้าหกจั้งเต็มๆ กลางห้องมีกลไกขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง กำลังหมุนอย่างช้าๆ ถุงผ้าที่เก็บกลับมาจากในน้ำทะเลถูกลากไปโยนไว้ยังที่แห่งหนึ่งโดยอัตโนมัติ จากนั้นถุงผ้าใบใหญ่อันใหม่ที่แขวนไว้อีกข้าง ก็ถูกหย่อนลงไปตามวาล์วอีก หลังจากหย่อนลงไป ประตูวาล์วก็ถูกปิดโดยอัตโนมัติ เหลือเพียงเชือกที่แขวนถุงผ้าผ่านรอยแยก ส่วนกลไกภายในห้อง ก็หยุดส่งเสียงกึกๆ
ภายในห้องนอกจากลไกไม้หลังนี้ สถานที่ที่เหลือทั้งหมดล้วนเป็นพวกถุงผ้าขนาดใหญ่ เห็นรอบด้านไร้ผู้คน จินเฟยเหยาจึงปล่อยการรับรู้ออกไปสำรวจ การรับรู้ไปถึงแค่หน้ากำแพงห้องก็ถูกการป้องกันภายในห้องสกัดกลับมา ที่นี่ถึงกับมีการป้องกันไม่ให้การรับรู้สำรวจ แปลกประหลาดจริงๆ
ถึงจะประหลาดอยู่บ้าง ทว่าในเมื่อที่นี่สกัดการรับรู้ด้านในไว้ ก็สามารถสกัดการรับรู้ภายนอกเข้ามาได้ด้วย สำหรับจินเฟยเหยาแล้ว ที่นี่เป็นสถานที่ซ่อนตัวที่ยอดเยี่ยมที่สุด นางจึงอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยถุงผ้านี้
เดิมทีจินเฟยเหยานึกว่า กลไกเหล่านี้ขยับได้เอง หลังจากอยู่นานๆ ไป นางจึงพบว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย ถุงผ้าเหล่านี้อยู่ในน้ำ ใช้เพียงสามสี่วันก็หมด หลังจากใช้หมดแล้วเวลาที่เปลี่ยนกลับไม่แน่นอน บางครั้งเว้นไปสองสามวัน บางครั้งเปลี่ยนทันที
สร้างกลไกขึ้นมาก็แค่เคลื่อนไหวได้อย่างแข็งทื่อ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความแตกต่างกันมากนัก อีกทั้งจินเฟยเหยายังพบปรากฏการณ์หนึ่ง ขอเพียงในน้ำไม่มีถุงผ้าหรือถุงผ้าใช้จนหมดแล้ว หลายวันนั้นจะพบสัตว์ปิศาจน้อยมาก ขอเพียงในน้ำเพิ่งโยนถุงผ้าลงไป ยามสิ่งของที่ลอยออกมาจากด้านในมีความเข้มข้นที่สุด สัตว์ปิศาจก็จะมามากที่สุด
บางครั้งบรรดาสัตว์ปิศาจก็มาเป็นฝูง พุ่งเข้าใส่อย่างไม่คิดชีวิต ทำให้นางไม่เข้าใจอย่างยิ่ง อาศัยสมองอันย่ำแย่ของจินเฟยเหยา นางคาดเดาอย่างใจกล้าว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นไปได้ว่าใช้ล่อสัตว์ปิศาจมา ไม่เช่นนั้นถ้าไม่ใช่เหตุผลข้อนี้จะมีสัตว์ปิศาจจำนวนมากมายพุ่งมาหาได้อย่างไร
“ต่ำช้าจริงๆ ใช้แรงงานผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนเปล่าๆ ตนเองเพียงแค่นั่งชุบมือเปิบ” จินเฟยเหยาด่าทออย่างเดือดดาล
จากนั้นนางก็นำกระเป๋าเก็บของว่างๆ ใบหนึ่งออกมา ด่าทอพลางจิ้มถุงผ้าที่ยังไม่ได้ใช้ให้เป็นรู บรรจุผงด้านในลงในกระเป๋าเก็บของ
ถุงผ้าเหล่านี้ล้วนติดตั้งบนกลไก จินเฟยเหยาไม่กล้าฟันแล้วยกไปโดยตรง ถ้าถูกผู้บำเพ็ญเซียนบัญชาการเรือด้านบนพบว่าเหตุใดจึงมีเพียงเชือกไม่มีถุงผ้าโยนออกไป ลงมาตรวจสอบดูก็ยุ่งแล้ว ดังนั้นนางจึงเทแต่ละถุงออกมาหนึ่งในสาม จากนั้นใช้วิธีเย็บซ่อมอันย่ำแย่ปะชุน
นางใส่ตรงนี้นิด เทตรงนั้นหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะบรรจุเต็มกระเป๋าเก็บของ ส่วนถุงผ้าทั้งห้อง แต่ละใบล้วนมีรอยปะชุนยาวเหมือนตะขาบ ตอนบรรจุผงกระตุ้นกำหนัดครั้งหน้า ต้องถูกคนพบเห็นแน่
แต่ตอนนั้น จินเฟยเหยาคงหายไปโดยไร้ร่องรอยนานแล้ว
รอเรือกลับถึงเมืองวั่นเซียนสุ่ยอยู่ที่นี่อย่างน่าเบื่อ จินเฟยเหยาเริ่มอบรมพั่งจื่อ
จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าจอมมารหลงแค่ปล่อยพลังกดดันเบาๆ พั่งจื่อถึงกับไปซ่อนตัวอยู่ในกระเป๋าสัตว์ภูติ ทำให้ความขลาดกลัวตามธรรมชาติเมื่อสัตว์ปิศาจได้พบผู้แข็งแกร่งเปิดเผยออกมาอย่างเต็มที่
พั่งจื่อที่ปกติชอบแสร้งเป็นผู้ใหญ่และโอ้อวดความแข็งแกร่ง ยามนี้กลับหดเล็กโดยสิ้นเชิง ไม่มีความหยิ่งผยองในยามปกติเหลืออยู่เลยสักนิด จินเฟยเหยามีโทสะจนหิ้วมันออกมา ด่าทออย่างสาดเสียเทเสีย
พั่งจื่อหดเล็กราวกับเป็นมะเขือยาวที่โดนน้ำค้างแข็ง ปล่อยให้จินเฟยเหยาด่าทอ นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ บางครั้งบางคราวยังตกใจ หวาดกลัวจนมองไปรอบด้าน
ไม่ว่าเป็นสัตว์ปิศาจหรือสัตว์ภูติ ตอนได้พบกับผู้แข็งแกร่งที่มีกำลังเหนือกว่าตนเองมาก ความขลาดกลัวในใจจะมากกว่าเผ่ามนุษย์มากนัก เดิมทีพวกมันก็ใช้พละกำลังเพื่อเป็นผู้แข็งแกร่ง ไม่ได้อ้อมค้อมเหมือนเผ่ามนุษย์ ดังนั้นความกดดันที่ได้รับในวันนั้นจึงมหาศาลอย่างยิ่ง
เห็นพั่งจื่อหวาดกลัวจนมีท่าทางอกสั่นขวัญแขวน จินเฟยเหยาก็หมดวาจา ได้แต่โยนมันกลับเข้าถุงสัตว์ภูติ แม้แต่ในอ่างมายาจิ่งเทียนก็ไม่ให้มันอยู่ ถุงสัตว์ภูติมีพื้นที่เล็ก ไม่มีใครรบกวนมัน สามารถให้พั่งจื่อค่อยๆ ฟื้นฟูเป็นปกติได้
ตามเวลาที่ผ่านไปทีละวัน ใกล้จะหนึ่งเดือนแล้ว เห็นถุงผ้าภายในห้องยิ่งมายิ่งน้อยลง จินเฟยเหยาก็คำนวณวัน ใกล้จะถึงเมืองวั่นเซียนสุ่ยแล้ว เนื่องจากถุงผ้าถูกจินเฟยเหยาขโมยผงไปไม่น้อย ถุงผ้าส่วนมากจึงแช่ได้ไม่ถึงสี่วันก็หมดฤทธิ์ยา ชักนำสัตว์ปิศาจมาไม่ได้
การเดินทางกลับครั้งนี้ สัตว์ปิศาจที่เรือศิลาทะเลพบน้อยลงเกือบครึ่งเมื่อเทียบกับตอนขามา ครึ่งหนึ่งนี้พอดีเป็นปริมาณผงที่จินเฟยเหยาขโมยไป
จำนวนสัตว์ปิศาจที่ลดลงอย่างมากไม่ได้ทำให้หลินอวี่แปลกใจ ไม่ใช่ทุกครั้งที่ออกทะเลจะได้พบสัตว์ปิศาจจำนวนมาก อีกทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาออกทะเลด้วย เพียงคิดว่าสัตว์ปิศาจหนีไปที่อื่นแล้ว จึงล่อมาได้ไม่มาก ถึงจะเสียใจ ทว่าผลเก็บเกี่ยวยังทำให้เขารู้สึกพอใจอย่างยิ่ง
ผ่านไปอีกห้าวันก็จะถึงเมืองวั่นเซียนสุ่ย เขาคำนวณดู ผงกระตุ้นกำหนัดเหลือเพียงสองถุง โยนลงไปพร้อมกันเลยแล้วกัน ดังนั้นจึงแอบขับเคลื่อนป้ายหยกกลไก สิ่งของเช่นผงกระตุ้นกำหนัด แม้แต่ศิษย์ตึกซ่างเซียนที่มาด้วยกันก็ไม่รู้ มีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนออกทะเลขั้นหลอมรวมขึ้นไป จึงสามารถรู้เรื่องนี้ได้
อีกทั้งแต่ละครั้งที่ออกทะเลล้วนมีการคำนวณปริมาณแล้ว ห้องที่ใส่ผงกระตุ้นกำหนัด ถูกเบื้องบนของตึกซ่างเซียนลงการป้องกันไว้ ผู้บำเพ็ญเซียนบัญชาการเรืออย่าคิดได้ขโมยผงกระตุ้นกำหนัดจากด้านในไปใช้เอง
ทุกคนล้วนรู้ดีว่าห้องนั้นลงการป้องกันอันแข็งแกร่งเอาไว้ ถึงใช้การรับรู้ก็หาไม่พบว่าห้องนี้อยู่ที่ใด รู้เพียงถุงผ้าถูกโยนลงมาจากวาล์วอันหนึ่งด้านท้ายเรือ กลับทำให้เรื่องซับซ้อนขึ้นอีก นึกว่าเป็นห้องบรรจุผงกระตุ้นกำหนัดที่เข้าไปทางวาล์วนั่นไม่ได้ ส่วนผงกระตุ้นกำหนัดพอเปียกน้ำจะละลายทันที นำออกมาก็เก็บไว้ได้ไม่นาน
ความคิดที่คาดว่าต้องเป็นเช่นนี้แน่ๆ พอดีทำให้จินเฟยเหยาได้เปรียบ
ส่วนจินเฟยเหยาที่อยู่ในห้อง ก็มองกลไกหมุนดังกึกๆ ถุงผ้าใบหนึ่งถูกโยนลงไป กลไกที่เดิมทีเคยหยุด ครั้งนี้กลับไม่หยุด ทว่าลากถุงผ้าใบสุดท้ายมาโยนลงไปต่อ
นางตระหนักได้ทันที นี่คือจะโยนถุงออกไปทั้งหมด ถ้าตอนนี้ไม่ตามถุงผ้าออกไป อาศัยกำลังตนเองเกรงว่าต่อไปคงออกไปไม่ได้
นางไม่พูดพร่ำทำเพลง แปะยันต์ซ่อนกายใบหนึ่ง แล้วรีบกระโดดขึ้นถุงผ้าใบสุดท้ายร่วงลงน้ำทะเลไปด้วยกันทันที
หลังจากลงน้ำ นางก็ไม่ได้หยุดชะงัก ว่ายน้ำไปไกลๆ อย่างรวดเร็ว
ตามที่นางประมาณการณ์ไว้ ที่นี่เข้าสู่ทะเลในแล้ว ต่อให้มีผู้บำเพ็ญเซียนบินผ่านท้องฟ้าก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง ดังนั้นต่อให้ถูกพบเห็น ขอเพียงใช้เวทแปลโฉม ก็จะไม่ถูกจำได้ทันทีว่าเป็นคนปล่อยจอมมารหลงไป
นางว่ายออกไปไกลในทะเลจึงลอยไปถึงชายหาด ยามนี้มองไม่เห็นเงาเรือศิลาทะเลแล้ว จินเฟยเหยานำพรมบินออกมานั่ง ระบายลมหายใจโล่งอก ในที่สุดก็สามารถปรากฏตัวได้อย่างสง่าผ่าเผย
“ดี ตอนนี้ไปเมืองวั่นเซียนสุ่ย เยวี่ยปู้ชิง เจ้าคอยดูเถอะ ถ้าข้าไม่อัดเจ้าจนกลายเป็นเศษซาก จะไม่ขอเป็นคน” จินเฟยเหยากำหมัดและขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เอ่ยอย่างดุร้าย นางหาทิศทางแล้วบินไปเมืองวั่นเซียนสุ่ยด้วยความเคียดแค้น
…………………………………………….