คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 162 เจ้าอิสระหรือไม่
จินเฟยเหยาตะลึงงัน ดูเหมือนจะไม่รู้จักกันจริงๆ นั่นแหละ แม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยพบ จะรู้จักกันได้อย่างไร พอคิดถึงตรงนี้ จินเฟยเหยาก็เอ่ยอย่างขัดเขิน “ช่างเถอะ ต่างคนต่างไปก็แล้วกัน”
เงียบไปครู่หนึ่ง ทั้งสองคนก็ต่างแยกย้าย เข้ากลุ่มสะกดรอยตามอีกครั้ง
เดินไปได้ครู่หนึ่ง เบื้องหน้าปรากฏหลุมขนาดใหญ่ จินเฟยเหยากระโดดขึ้น คิดจะเหินร่างข้ามไป คิดไม่ถึงว่า เพิ่งลอยกลางอากาศได้ครึ่งทาง ด้านหลังพลันมีอะไรมาชนอย่างกะทันหัน กระแทกนางเข้าไปในหลุม
“โอ๊ย…” จินเฟยเหยารู้สึกว่าบนร่างถูกอะไรบางอย่างทับอย่างหนักหน่วง จากนั้นก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้น
จินเฟยเหยาเดือดดาลสุดขีด หากมิใช่เพื่อสะกดรอยตามจินเฟยหยาง นางคงลุกขึ้นมาด่าทอคนแล้ว สูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง จินเฟยเหยาลดเสียงเบาลงเอ่ยว่า “เจ้ามีความแค้นกับข้าหรือ ร่องยาวถึงปานนั้น เจ้ากระโดดตามหลังข้ามาทำไม!”
“สถานที่อื่นไม่เหมาะจะหยั่งเท้าเท่าที่นี่ ข้าไม่กระโดดจากตรงนี้ จะให้กระโดดจากตรงไหน เจ้าต่างหาก เผยร่างออกมาแล้วเดินไปทางอื่นได้หรือไม่ ข้าดูรอบด้านแล้วมีแต่พวกเราสองคนที่ซ่อนกาย” คนบนร่างเอ่ยอย่างไม่พอใจ
จินเฟยเหยาพลิกตัวให้เขาร่วงพื้น ด่าทออย่างเดือดดาล “บุรุษอย่างเจ้า คิดไม่ถึงว่าจะให้ข้ายอมถอยให้ คนที่ปรากฏตัวน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า ข้ามีพลังการบำเพ็ญเพียรแค่ขั้นฝึกปราณ ถ้าเผยร่างออกมาแล้วเกิดอันตราย เจ้าจะชดใช้ชีวิตให้ข้าหรือ”
“เจ้าเพิ่งขั้นฝึกปราณ? อย่าหลอกข้าเลย เมื่อครู่ต้านทานปิศาจราตรีของข้าได้ ไม่ใช่เรื่องที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณทำได้โดยสิ้นเชิง” เสียงบุรุษเอ่ยอย่างสงสัยยิ่งและไม่เชื่อถือเลยสักนิด
ทั้งสองคนลดเสียงเบาลงทะเลาะกันอยู่ในหลุม
“ช่างเถอะ ถ้าเจ้าไม่เชื่อ เจ้ารอเดี๋ยว ข้าจะเผยร่างให้เจ้าดู ถ้าข้ามีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณจริง เจ้าต้องให้ข้าซ่อนกาย ส่วนเจ้าเผยร่างของตนเองออกมา อย่ามากระทบถึงการเดินทางของข้าอีก” เห็นคนอื่นๆ ไปกันหมดแล้ว ถ้ายังไม่รีบตามไปอาจจะหลงทางได้ จินเฟยเหยาไม่มีทางเลือก สุดท้ายก็ได้แต่พูดกับเขาแบบนี้
“อ้อ? ก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ข้าจะยอมให้เจ้า” คนผู้นั้นก็ไม่คิดจะพัวพันกับจินเฟยเหยามากเกินไปจึงตอบรับ
“ได้ เจ้ารอเดี๋ยว วิธีคลายการซ่อนกายของข้าต้องมีขั้นตอน”
“ได้”
ในหลุมกลับคืนสู่ความเงียบงันอีกครั้ง ส่วนจินเฟยเหยาแอบหนีออกจากหลุม ทิ้งเจ้าคนที่ไม่รู้จักหน้าตาและชื่อแซ่เอาไว้ หนีออกมาอย่างเบิกบานใจ
ครู่หนึ่ง นางก็ตามคนด้านหน้าทัน มาถึงที่ราบซึ่งมีต้นหญ้าขึ้นรก ทุกคนล้วนซ่อนกายอยู่ในดงไม้ สายตาจับจ้องพวกจินเฟยหยางสามคนที่อยู่บนทุ่งหญ้าแน่วนิ่ง
จินเฟยเหยาก็หาสถานที่แห่งหนึ่งซ่อนตัว นั่งยองๆ หลังต้นไม้มองไปยังทุ่งหญ้าอันห่างไกล พอถึงเวลายันต์ซ่อนกายหมดฤทธิ์ ที่นี่มีคนมากทั้งยังไม่ต้องเคลื่อนไหว นางจึงไม่ได้ใช้ยันต์ซ่อนกายอีก นี่เป็นสิ่งของที่ใช้รักษาชีวิต ทางที่ดีอย่าให้คนเห็นว่าตนเองใช้มัน
ไม่รู้ว่าเจ้าพวกนี้คิดจะทำอะไร…เห็นพวกจินเฟยหยางสามคนเดินไปเดินมาบนทุ่งราบ บางครั้งยังคว้าดินจากพื้นขึ้นมากินเล็กน้อย ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง พวกเขาสามคนดูเหมือนจะระบุตำแหน่งได้ คนหนึ่งในนั้นปล่อยสัตว์เกราะเหล็กทะลวงภูผาขั้นสามสูงสองจั้งตัวหนึ่งออกมาจากถุงสัตว์ภูติ มันมีหัวแหลม ดวงตาเล็กนิดเดียว ตลอดร่างราวกับปกคลุมด้วยเกราะเหล็ก ขาหน้าสองข้างมีกรงเล็บแหลมคมยาวหนึ่งฉื่อกว่า
“สัตว์เกราะเหล็กทะลวงภูผาชนิดนี้ไม่มีผู้ใดเลี้ยง ฝืนใจใช้เจ้านี่เถอะ” คนผู้นั้นตบสัตว์เกราะเหล็กทะลวงภูผา ไม่รู้ว่าป้อนสิ่งใดใส่ปากมัน
“เคลื่อนไหวเร็วหน่อย ที่นี่อยู่ใกล้เมืองปาทง ถ้าให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ พบเห็นเข้าก็ยุ่งแล้ว” ยังมีคนหนึ่งเหลียวซ้ายแลขวา เอ่ยเตือนพวกเขาอีกสองคน
คำพูดนี้ลอยมาตามลม จินเฟยเหยาครุ่นคิดอย่างหมดวาจา ถูกคนสามสิบกว่าคนสะกดรอยตามมายังไม่รู้สึกตัวสักนิด ไม่รู้จริงๆ ว่าอยู่มาได้อย่างไร
คนชุดดำที่เรียกสัตว์เกราะเหล็กทะลวงภูผาออกมา ชี้ไปยังที่แห่งหนึ่งแล้วออกคำสั่ง สัตว์เกราะเหล็กทะลวงภูผาตัวนั้นก็เงื้อกรงเล็บแหลมคมขุดตรงนั้น
เห็นสัตว์เกราะเหล็กทะลวงภูผาขุดดินราวกับขุดเต้าหู้ ภายใต้การร่ายรำอย่างรวดเร็วของกรงเล็บอันคมกริบ ดินปริมาณมหาศาลกองอยู่ด้านหลังมัน ชั่วไม่กี่อึดใจ สัตว์เกราะเหล็กทะลวงภูผายาวสองจั้งกว่าก็มุดลงไปในดิน
มันมุดเข้าไปขุดหลุม ผลักดินที่ขุดออกมาไปกองไว้ด้านหลังแล้วขุดต่อ ทว่าเพื่อทำให้ทันเวลา คนชุดดำผู้นี้ก็สั่งให้สัตว์เกราะเหล็กทะลวงภูผาไม่ต้องผลักดินออกมา ตรงกันข้ามเขากลับนำสิ่งที่ดูเหมือนถุงผ้าธรรมดาออกมา ยืนอยู่ตรงปากหลุมแล้วเปิดออก แรงดูดอันทรงพลังขุมหนึ่งดูดดินในหลุมเข้ามาในถุง
ดูดแบบนี้จะดูดสัตว์เกราะเหล็กทะลวงภูผาออกมาด้วยหรือไม่? จินเฟยเหยายื่นหน้าออกไปดู เป็นห่วงแทนสัตว์เกราะเหล็กทะลวงภูผาอยู่บ้าง ถ้าดูดออกมาแล้วปล่อยกลับไป มิกระทบถึงความเร็วในการขุดหลุมหรือ แต่ว่า นี่น่าจะเป็นโจรปล้นสุสานในตำนาน ไม่รู้ว่าเป็นสุสานของยอดฝีมือท่านใด ด้านในต้องมีสิ่งของดีๆ ไม่น้อยแน่ ให้ตนเองได้พบเรื่องดีงามเช่นนี้
แต่สุดท้ายก็ให้นางกังวลอย่างเสียเปล่า แรงดูดที่ถุงใบนั้นใช้ดูดเพียงดินออกมา ไม่รู้ว่าหลีกเลี่ยงสัตว์เกราะเหล็กทะลวงภูผาโดยเฉพาะ หรือมันดูดไม่เร็วเท่าสัตว์เกราะเหล็กทะลวงภูผาขุดดิน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ถุงผ้าก็ดูดดินออกมาไม่ได้อีก ท่าทางจะขุดถึงห้องสุสานแล้ว
คนทั้งสามสบตากัน เก็บถุงผ้า หยิบธงอาคมออกมาเตรียมกางวงเวทปลอมแปลงตรงปากหลุม
ทันใดนั้น มีกระบี่เล่มหนึ่งลอยมาจากต้นไม้ฟันคนทั้งสามอย่างเหนือความคาดหมาย
“แย่แล้ว รีบไป!” พอคนทั้งสามเห็น แม้แต่วงเวทก็ไม่กาง กระโดดเข้าไปในหลุมดิน
กระบี่บินฟันความว่างเปล่า หมุนวนหนึ่งรอบแล้วพุ่งเข้าไปในต้นไม้ จากนั้นมีเงาร่างคนส่ายไหว ผู้บำเพ็ญเซียนห้าคนปรากฏขึ้นตรงปากหลุม คนหนึ่งในนั้นหัวเราะเสียงดังฮ่าๆ “กากเดนที่ฝึกวิชามารเหล่านี้ เพียงกล้าเป็นเต่าหดหัว ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด”
“พี่หลี่ว์ ฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน[1] รีบไล่ตามไปโจมตี” ผู้บำเพ็ญเซียนที่สวมชุดราวกับบัณฑิตคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ผู้บำเพ็ญเซียนแซ่หลี่ว์มองในพุ่มไม้อย่างไม่พอใจ “มีคนมากมายขนาดนี้ขัดมือขวางเท้า สหายเซียนซุนเชี่ยวชาญวงเวทมิใช่หรือ มิสู้ผนึกปากหลุมเอาไว้ ให้เจ้าพวกนี้ลงไปไม่ได้”
“นี่ไม่มีปัญหา เพียงแต่เกรงว่าพวกเขาจะไม่ให้พวกเราทำเช่นนั้น” สหายเซียนซุนที่เหมือนบัณฑิตคนนั้นก็มองไปในดงไม้
ผู้บำเพ็ญเซียนแซ่หลี่ว์ก้าวมาข้างหน้า ตะโกนใส่ดงไม้ดังลั่น “ผู้ใดกล้าออกมา ข้าจะให้มันได้ลิ้มรสความร้ายกาจของกระบี่ป้าเทียนของข้า!”
“คนผู้นี้เป็นใคร เหตุใดจึงโอหังนัก!” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างสงสัย
“คนผู้นี้ชื่อหลี่ว์ป้า เป็นผู้บำเพ็ญเซียนอันดับที่หนึ่งร้อยสามสิบสี่ในผังสงครามวิญญาณ ปกติมีนิสัยเย่อหยิ่งถือดี กระบี่บินเมื่อครู่ก็คือกระบี่ป้าเทียน ของวิเศษที่สร้างชื่อให้เขา” ด้านข้างพลันมีเสียงดังมา อธิบายให้นางฟังอย่างสนิทสนม
จินเฟยเหยาพยักหน้า “หน้าไม่อายจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะใช้ชื่อของตนเองตั้งชื่อของวิเศษ อีกทั้งเพิ่งอยู่อันดับที่หนึ่งร้อยสามสิบสี่ นี่ต้องพลิกเปิดไปถึงหน้าไหน มีอะไรน่าอวดดีกัน” นางเอ่ยกับคนที่อยู่ด้านข้างอีก “มีคนตั้งมากมาย เหตุใดเจ้าจึงมาหาข้าคนเดียว?”
ข้างกายของนางไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนนั่งยองๆ อยู่ในพงหญ้าเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อใด แต่งกายมีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง เส้นผมถักเปียเล็กๆ หลายสิบเส้น หางเปียยังห้อยมุกหลายสีประดับตกแต่ง บนร่างสวมเสื้อตัวสั้นเพื่อสะดวกในการเคลื่อนไหว หลายแห่งยังมีหนังสัตว์ บนหลังตั้งแต่ด้านบนจนถึงด้านล่างสะพายกล่องลูกศรไว้เฉียงๆ แบ่งเป็นกระบอกเหล็กลึกลับสีเงิน กล่องกระดูกสีขาว และกล่องไม้วิญญาณสลักลวดลาย ผิวสีแทนนิดๆ ดูแล้วสุขภาพแข็งแรง ยามนี้กำลังยิ้มอย่างเจิดจรัสให้จินเฟยเหยา “มีคนปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเจ้าอย่างกะทันหัน เหตุใดเจ้าจึงไม่ระแวดระวังเลยสักนิด”
“เพราะว่าเจ้าไม่มีไอสังหาร ดังนั้นจึงไม่ใช่คนเลว” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างจริงจัง
บุรุษผู้นั้นยิ้มขึ้นอีก “อย่าพูดเหลวไหล พูดมาก็ไม่ตายหรอกน่า”
คนผู้นี้กลับรู้กระจ่างยิ่ง จินเฟยเหยาได้แต่เอ่ยว่า “เสียง พอฟังเสียงก็รู้ว่าเจ้าคือคนซุ่มซ่ามที่ซ่อนกายแล้วชนข้าสองครั้ง เจ้าหาข้าพบได้อย่างไร อาศัยคำพูดที่ข้าพูดกับตนเองเมื่อครู่หรือ?”
“ไม่ใช่ หน้าตาของคนที่สะกดรอยตามพวกนั้นข้าจำได้หมด ส่วนเจ้าตลอดทางข้าไม่เคยพบเห็น ย่อมต้องเป็นคนที่ทิ้งข้าไว้ก้นหลุมคนนั้นแน่นอน ข้ารอเจ้าอยู่ครู่หนึ่ง จึงพบว่าถูกหลอก เจ้านี่เจ้าเล่ห์จริงๆ ฉวยโอกาสหนีไปคนเดียว” ราวกับบุรุษผู้นั้นรู้สึกว่าเรื่องที่ตนเองถูกทิ้งไว้ก้นหลุมน่าขำ น้ำเสียงและสีหน้าท่าทางไม่มีวี่แววไม่พอใจ
“เจ้ามองโลกในแง่ดีจริงๆ…” จินเฟยเหยามองเขา พลันรู้สึกว่าคนผู้นี้ใสซื่อใช่หรือไม่
“พวกเราสองคนร่วมมือกันเถอะ ข้าครุ่นคิดแล้ว พวกเราสองคนซ่อนกายได้ อีกสักครู่ถึงด้านล่างก็ต้องระวังป้องกันอีกฝ่าย ร่วมมือกันดีกว่าจะได้ลดเรื่องยุ่งยาก” บุรุษผู้นั้นเสนอแนะด้วยรอยยิ้มปริ่ม
จินเฟยเหยารู้สึกกลัวอยู่บ้าง ว่ากันตามจริง ปกติตัวนางเองเคลื่อนไหวคนเดียว ต่อให้ออกไปทำธุระกับคนอื่น ก็เป็นเรื่องเมื่อนานมากแล้ว อีกทั้งออกไปคราหนึ่ง โดยพื้นฐานแล้วบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ บวกกับนางไม่มีสหายเลย ส่วนพวกสยงเทียนคุนและหวาซีนางก็ไม่รู้ว่าจะนับเป็นความสัมพันธ์แบบใด
“เมื่อครู่ข้ายังหลอกเจ้าอยู่เลย เพราะเหตุใดจึงตัดสินใจร่วมมือกับข้าเร็วปานนี้? เจ้าเกิดความเชื่อใจข้าตรงไหน หรือเจ้าชอบทรมานตนเอง?”
“นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้พวกเราสองคนล้วนซ่อนกาย มองไม่เห็นโฉมหน้า ดังนั้นเจ้าจึงหลอกข้า ตอนนี้เห็นหน้าตาของข้าแล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องหลงเสน่ห์นิสัยของข้าแน่ ต่อไปคงไม่คิดจะหลอกข้าอีก มาเถอะ พวกเราร่วมมือกัน ถึงอย่างไรเจ้าก็ตัวคนเดียว ข้าเห็นว่าหน้าตาของเจ้าอ่อนโยนใจดี อีกทั้งมีคู่หูที่หัวไวดีกว่ามีคู่หูที่โง่งมมากนัก” เขายิ้มอย่างเชื่อมั่น ทำให้จินเฟยเหยาไม่รู้ว่าจะปฏิเสธคำพูดของเขาอย่างไรดี
“ข้าชื่อปู้จื้อโหยว[2] เป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่อิสรเสรี เจ้าล่ะ? ตอนนี้พวกเราเป็นสหายบวกกับคู่หูแล้วนะ ต้องรู้จักชื่อสิ” เขาตบไหล่จินเฟยเหยาแล้วเอ่ยอย่างสนิทสนม
ชื่อของเขาทำให้จินเฟยเหยาหมดวาจา สุดท้ายอดยิ้มไม่ได้ “ข้าชื่อจินเฟยเหยา เป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระเช่นกัน ข้าเป็นคนที่โชคร้ายยิ่ง คนที่ร่วมมือกับข้าล้วนบาดเจ็บล้มตายกันหมด เจ้าขอให้สวรรค์คุ้มครองตนเองเถอะ”
“เจ้าโชคร้ายปานนั้นเลย โชคยังดีที่ข้าดวงแข็ง ก่อนหน้านี้คนที่เป็นคู่หูของข้า ไม่เคยมีใครตายตามธรรมชาติสักคน ดาวหายนะอย่างพวกเราสองคนมาพยายามด้วยกันเถอะ” ปู้จื้อโหยวตบบ่าจินเฟยเหยาอย่างเข้าใจและเอ่ยให้กำลังใจทันที
มารดามันเถอะ ข้าเพียงแค่พูดถ่อมตัว เจ้าเป็นดาวหายนะจริงๆ หรือ? จินเฟยเหยาอับอายจนเหงื่อแตกพลั่ก ตนเองช่างโชคร้ายโดยแท้…
………………………………………
[1] ตีเหล็กตอนร้อน หมายถึง คว้าโอกาสหรือเงื่อนไขในขณะที่อำนวยประโยชน์ให้
[2] คำว่า จื้อโหยว ตามอักษรจีนในชื่อเขา หมายถึง เดินทางคนเดียว พ้องเสียงกับคำว่า อิสระ ส่วนอักษร ปู้ ในแซ่ของเขาพ้องเสียงกับคำว่า ปู้ อีกคำที่แปลว่า ไม่