คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 181 ใต้เท้าอาปู้
ใต้เท้าปู้ขับรถสัตว์หกเขาไปตามทางหลวงอย่างไม่รีบไม่ร้อนด้วยตนเอง ภายในตัวรถมีจินเฟยเหยากับพั่งจื่อที่กินจนพุงกางนอนอยู่ เต๋อสี่ลงจากรถนานแล้วไม่รู้ว่าวิ่งไปเปลี่ยนชุดที่ใด ตอนนี้เหลือเพียงพวกเขาสองคนกับพั่งจื่อที่ยังอยู่บนรถ
ยามนี้ไม่มีคนนอกแล้ว จินเฟยเหยาจึงเรอและเอ่ยถามอย่างเกียจคร้าน “ใต้เท้า พวกเราจะไปที่ใดกัน? ข้ายังไม่ได้ซื้อสิ่งของที่ต้องการเลย หยกจินกังก็ยังไม่ได้ขาย ถ้าเจ้าไม่มีอะไรทำพาข้าไปภูเขาวั่นซั่นก็ได้”
“ภูเขาวั่นซั่น? เหตุใดเจ้าก็คิดจะไปที่นั่นพอดี” ปู้จื้อโหยวมองนางอย่างสงสัย ไม่ต้องให้ตนเองเปลืองคารม คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นฝ่ายบอกว่าจะไปภูเขาวั่นซั่น
“เอ๋? ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า เจ้าก็ต้องไปภูเขาวั่นซั่น” จินเฟยเหยาที่พุงกางลุกขึ้นนั่ง ลูบท้องพลางเอ่ยถาม
ปู้จื้อโหยวพิงด้านข้างตัวรถเอ่ยยิ้มๆ “ใช่ ก่อนหน้านี้ข้ายังครุ่นคิดอยู่เลยว่าจะหลอกพาเจ้าไปอย่างไรดี คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญขนาดนี้ เจ้าก็ต้องไปภูเขาวั่นซั่น สิ่งที่ทำให้ข้าแปลกใจคือ ถ้าข้ากับเต๋อสี่ไม่ไปภูเขาวั่นซั่น เจ้าที่เพิ่งเรียนภาษามารได้สองประโยคจะหาทางไปเองได้หรือ?”
“เจ้าอย่าคิดว่าข้าเก่งขนาดนั้น ถ้าพวกเจ้าไม่ไป แน่นอนว่าข้าได้แต่ใช้วิธีบังคับ อย่างไรก็ต้องเอาคนนำทางที่แปลภาษาได้ไปด้วย” จินเฟยเหยาแสยะยิ้ม
“ไหนลองว่ามา เจ้าจะใช้วิธีบัใดงคับ?” ปู้จื้อโหยวคาบกล้องยาสูบ รู้สึกสนใจว่าจินเฟยเหยาจะใช้วิธีใดบีบบังคับให้พวกเขาไปภูเขาวั่นซั่น
จินเฟยเหยาเบ้ปากเอ่ยว่า “ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าจะออกเดินทางวันนี้ ข้ายังนึกว่าพวกเจ้าต้องอยู่เมืองปาต๋าอีกหลายวัน ดังนั้นจึงยังไม่ได้คิด”
“เจ้าไม่จริงจังเกินไปแล้ว เรื่องแบบนี้เหตุใดจึงไม่คิดล่วงหน้าให้เรียบร้อยก่อน เจ้าคงมิได้ไม่อยากพูดหรอกนะ” ปู้จื้อโหยวไม่เชื่อเลยสักนิด รบเร้าอย่างอยากรู้
“อย่ายุ่งน่า เพิ่งกินอิ่มไม่อยากขยับ รอข้าหลับสักตื่นแล้วแล้วค่อยพูดกับเจ้า” จินเฟยเหยาหลับไปอีกอย่างเกียจคร้าน โบกไม้โบกมือใส่เขาอย่างรำคาญใจ
ปู้จื้อโหยวไม่ทำแล้ว ตนเองเป็นใต้เท้าชนชั้นสูง มีที่ไหนต้องขับรถเองส่วนนางทาสหลับใหล เขาเอากล้องยาสูบจิ้มจินเฟยเหยาเอ่ยพัวพันไม่ยอมเลิกรา “เจ้าต้องบอกว่า เพราะเหตุใดเจ้าต้องไปภูเขาวั่นซั่น”
“ไม่ต้องจิ้มแล้ว มีอะไรน่าเล่ากัน! ก็แค่ข้าช่วยจอมมารที่ชื่อหลงเอาไว้ เขารับปากข้าว่าขอเพียงไปหาเขาถึงภูเขาวั่นซั่นก็จะให้พื้นที่มิติแก่ข้าชิ้นหนึ่ง ตอนนี้ข้ามาแล้ว จะได้แวะเอาหมอนอิงผุๆ ไปให้เขา ไม่แน่ว่าพอเขายินดี อาจจะให้โลหิตตารมารข้าอีกหยด” จินเฟยเหยาผุดลุกขึ้นนั่งทันที ใช้มือแย่งกล้องยาสูบที่จิ้มตนเองมาจิ้มปู้จื้อโหยวกลับหลายที
ปู้จื้อโหยวได้ยินเป้าหมายของจินเฟยเหยาก็มองนางอย่างปากอ้าตาค้าง “เจ้ามองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว เขาให้เจ้ามา เจ้าก็มา! อีกทั้งถ้าจำไม่ผิด เขาเคยให้โลหิตตานมารแก่เจ้าแล้ว ทำไมต้องให้พื้นที่มิติเพิ่มอีกชิ้น?”
หลังจินเฟยเหยาหรี่ตาย้อนนึกดูครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างมั่นใจ “ไม่ผิดแน่ ตอนนั้นเขาพูดแบบนี้ ขอเพียงข้ามาหาเขาถึงภูเขาวั่นซั่นได้ เขาจะให้พื้นที่มิติแก่ข้าชิ้นหนึ่ง”
“หลอกเจ้าแล้วละ” ปู้จื้อโหยวไม่เชื่อ พื้นที่มิติไม่ใช่หญ้าริมทางเสียหน่อย บอกจะให้ก็ให้กันได้ง่ายๆ
จินเฟยเหยามองเขาอย่างดูแคลนเอ่ยอย่างกระหยิ่ม “ผู้อื่นเป็นถึงจอมมารผู้สูงส่ง จะหลอกคนธรรมดาอย่างข้าได้อย่างไร เขาต้องเห็นข้าน่าสงสารแน่ ดังนั้นจึงคิดจะทำความดีเล็กน้อย อีกทั้งเผ่ามารพูดแล้วไม่รักษาสัญญาหรือ เขาพูดแล้วก็ต้องทำตามนั้นแน่”
“เจ้ากระหยิ่มไปเถอะ ถึงตอนนั้นเขามอบพื้นที่มิติให้เจ้า จากนั้นฟาดเจ้าตายในฝ่ามือเดียว ก็ถือว่ารักษาสัญญาแล้ว” ปู้จื้อโหยวแย่งกล้องยาสูบคืนมาแล้วกลอกตาใส่นาง
“หึหึหึ…ไม่เสี่ยงอันตรายเล็กน้อยไหนเลยจะได้ผลประโยชน์” จินเฟยเหยาหัวเราะอย่างโง่งมหลายที บ่นพึมพำแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
เห็นจินเฟยเหยาหลับไปจริงๆ ปู้จื้อโหยวก็หยิบถวนจื่อ[1]ออกมาก้อนหนึ่งโยนใส่ปากสัตว์หกเขา สัตว์หกเขาเคี้ยว ตลอดร่างสั่นสะเทือน ใช้กีบเท้าตะกุยพุ่งตัวออกไปทันที
สัตว์หกเขาลากรถวิ่งห้อบนถนนลูกรัง ความเร็วไม่ด้อยไปกว่าของวิเศษบินได้ธรรมดา ทำเอาฝุ่นดินสีเหลืองฟุ้งขึ้นมา ถนนทั้งสายถูกควันปกคลุมไปหมด
สัตว์หกเขาตัวนี้ทรหดอย่างยิ่ง หลังจินเฟยเหยาหลับไปตื่นหนึ่งมันยังวิ่งอยู่บนถนนและไม่มีความคิดจะหยุดลงเลยสักนิด จินเฟยเหยาเห็นควันหนาทึบฟุ้งตลบทางด้านหลังก็ส่ายศีรษะ คนเดินทางด้านหลังต้องกินฝุ่นมากเพียงใด
พวกเขาวิ่งห้อบนถนนอย่างกำเริบเสิบสานและมีผลกระทบต่อผู้อื่นแบบนี้มาตลอดทาง โชคดีที่คนเผ่ามารเคยชินเสียแล้ว เดินถนนล้วนชิดขอบทางไม่เช่นนั้นจินเฟยเหยายังเกรงว่าจะชนโดนคนหรือไม่
ทว่าเมื่อรถเทียมสัตว์คันหนึ่งผ่านข้างกายนางไปแล้วสะบัดก้นทิ้งฝุ่นไว้ให้นางกิน จินเฟยเหยาจึงเข้าใจ ชนชั้นสูงของที่นี่จงใจทำเช่นนี้ มิน่าเล่าคนเผ่ามารเหล่านี้ล้วนเดินชิดริมถนนหรือเดินอยู่นอกถนน แต่ไม่ยอมเดินอยู่กลางถนน ที่แท้เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไป
ขณะที่สัตว์หกเขาเหน็ดเหนื่อยปู้จื้อโหยวก็ให้มันกินถวนจื่ออีกก้อน ขอเพียงกินถวนจื่อมันก็จะวิ่งห้ออยู่บนทางได้อย่างถูกต้องแม่นยำ อาศัยความเร็วระดับนี้เจอสิ่งใดก็หลบสิ่งนั้น ไม่ชนจนตกลงไปข้างทางเนื่องจากวิ่งเร็วเลยสักนิด
“เจ้าให้มันกินของแบบนี้ตลอดจะเหนื่อยตายหรือไม่” จินเฟยเหยารู้สึกสนใจถวนจื่อชนิดนี้ ตอนปู้จื้อโหยวโยนถวนจื่อใส่ปากสัตว์หกเขา จินเฟยเหยาก็นั่งมองอยู่ด้านข้างอย่างสงสัย
ปู้จื้อโหยวป้อนมันชิ้นหนึ่งก็เก็บถวนจื่อ จากนั้นเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าก็ตะกละเกินไป สิ่งของเช่นนี้คนกินไม่ได้ ไม่ต้องมองแล้ว”
จินเฟยเหยากลอกตาตลบหนึ่ง จึงหัวเราะเอ่ยด้วยน้ำเสียงลึกลับ “คงไม่ใช่สิ่งของประเภทที่กินแล้วตลอดร่างร้อนผ่าว สมองคิดแต่จะระบายออกหรอกนะ ดังนั้นสัตว์หกเขากินแล้วจึงวิ่งไม่หยุด ทั้งยังไม่เหน็ดเหนื่อยสักนิด เจ้านี่เลวจริงๆ วิธีการเช่นนี้ก็คิดออกมาได้”
“ในสมองของเจ้ากำลังคิดถึงอะไรอยู่!” ปู้จื้อโหยวเหงื่อตก นี่คิดเหลวไหลอะไรกัน “นี่คือถวนจื่อน้ำผึ้งที่คนเผ่ามารหลอมสร้างขึ้น สัตว์หกเขาชอบกินมาก ดังนั้นสามารถทำให้พวกมันกระฉับกระเฉงและเพิ่มพละกำลัง ถ้าให้พวกมันกินตอนเร่งรุดเดินทางสามารถเพิ่มความเร็วในการเดินทางได้ ความเร็วตอนพวกมันวิ่งหนีก็เร็วขนาดนี้นี่แหละ เพียงแต่ความอึดจะหมดเร็ว ดังนั้นจึงต้องใช้ถวนจื่อน้ำผึ้งมาเสริม” ปู้จื้อโหยวหยิบถวนจื่อน้ำผึ้งออกมาอีก เปิดกล่องที่บรรจุถวนจื่อน้ำผึ้งให้นางดู
จินเฟยเหยาหัวเราะจนตาหยี ชี้ถวนจื่อน้ำผึ้งแล้วเอ่ยว่า “ยังบอกว่าไม่ใช่ของแบบนั้นอีก กินแล้วกระฉับกระเฉง ความอึดยาวนาน”
“คร้านจะพูดกับเจ้าแล้ว ของดีๆ เจ้าก็พูดจนกลายเป็นสิ่งของต่ำช้า” ปู้จื้อโหยวเก็บถวนจื่อน้ำผึ้ง ทั้งยังจงใจนับเป็นพิเศษ เกรงว่าจินเฟยเหยาจะแอบเอาไปแล้วเอามาให้คนอื่นกิน
จินเฟยเหยาคร้านจะหยิบถวนจื่อน้ำผึ้ง ในตัวนางมีของดีที่ได้มาจากเรือศิลาทะเล อีกทั้งยังมีปริมาณมากจนน่าตกใจ จึงไม่เห็นถวนจื่อน้ำผึ้งแค่ไม่กี่ก้อนอยู่ในสายตา
เดินทางอยู่บนถนนลูกรังมาสิบกว่าวัน ผ่านเมืองหลายแห่ง พวกเขาไม่ได้หยุดพักในเมือง เพียงแต่มองไกลๆ หลายครั้ง หมู่บ้านเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เหมือนกัน ไม่มีความจำเป็นต้องรั้งอยู่
สิบกว่าวันให้หลังถนนลูกรังเปลี่ยนเป็นทางหลวงปูศิลา มีรถแล่นบนถนนมากขึ้นและบนถนนปูศิลาไม่มีฝุ่นธุลีฟุ้งตลบอีก ต่อให้มีฝุ่นบนรถของผู้อื่นก็มีม่านกันลมซึ่งมีไอมารออกมาสกัดกั้นฝุ่นและลมไว้
ทันใดนั้น จินเฟยเหยาก็ตระหนักถึงปัญหาหนึ่งขึ้นได้ ไม่รู้ว่าเมื่อใดรถผุๆ ที่ไม่มีไอมารดังนั้นจึงไม่มีม่านกันลมและได้แต่กินฝุ่นของพวกเขาไม่มีฝุ่นธุลีพัดเข้ามานานแล้ว ยามนี้พอดีมีใบไม้ร่วงมาใบหนึ่ง ลอยมาถึงด้านหน้าตัวรถก็ถูกอะไรบางอย่างสกัดกั้นไว้ ครู่หนึ่งก็ลื่นไหลไปท้ายรถ ดูท่าจะอ่านหนังสือจนลืมตัวจึงไม่สังเกตเห็นเรื่องนี้
“อาปู้ ม่านกันลมมาจากไหน?” นางวางตำราใช้นิ้วจิ้มปู้จื้อโหยวที่ด้านหน้า
ปู้จื้อโหยวตอบโดยไม่หันหน้ามา “ข้าทำเอง เจ้านั่งอยู่ด้านหลังข้า ให้ข้ากินฝุ่นทั้งหมด มีชนชั้นสูงนั่งกินฝุ่นอยู่ในรถที่ไหน ยังต้องการภาพลักษณ์อยู่หรือไม่”
“ที่จริงเจ้าเป็นคนเผ่ามารสินะ…” จินเฟยเหยามองด้านหลังของเขาเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ
นางนึกว่าปู้จื้อโหยวจะเถียงข้างๆ คูๆ คิดไม่ถึงว่าเขาจะพยักหน้าอย่างไม่ลังเลสักนิด “ใช่ ข้าคือคนเผ่ามาร”
“ตรงไปตรงมาขนาดนี้เลย?”
“กลัวอะไร ที่นี่คือโลกเผ่ามาร ข้ายังจะกลัวเจ้าพูดออกไปหรือ?” ปู้จื้อโหยวดูดกล้องยาสูบเสียงดัง แล้วเอียงศีรษะมามองนาง
จินเฟยเหยาครุ่นคิด รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ขบคิดไม่เข้าใจ “เวทมนตร์ที่เจ้าใช้ตอนอยู่โลกวิญญาณเป่ยเฉินคือพลังวิญญาณ ไม่มีไอมารเลยสักนิด อีกทั้งเจ้ามิได้คุยโวว่าตนเองคืออันดับที่สิบเอ็ดบนผังสงครามวิญญาณหรือ ถ้าเจ้าเป็นเผ่ามาร เจ้ายังสังหารคนเผ่ามารมากมายปานนั้นทำไม?”
“เดี๋ยวก่อน! ข้าคิดได้แล้ว” นางไม่รอให้ปู้จื้อโหยวเอ่ยตอบก็เอ่ยคาดเดาอย่างน่าหวาดกลัว “เพื่อปะปนเข้าสู่โลกวิญญาณเป่ยเฉินจึงสังหารคนเผ่ามารที่มีฐานะเป็นทาสหรือคนธรรมดา เจ้าเป็นชนชั้นสูงพวกเขาจึงไม่กล้าต่อต้านเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงกลายเป็นบุคคลบนผังสงครามวิญญาณ อำมหิตจริงๆ!”
“พอแล้ว ถ้ายังคาดเดาต่อไปข้าคงกลายเป็นคนชั่วช้าที่สุด” ปู้จื้อโหยวฟังการคาดเดาของนางแล้วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ยิ่งเดายิ่งไปกันใหญ่
“หรือว่าตอนนี้ ข้าคือผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ที่ถูกคนเผ่ามารลักพาตัวไปทรมาน” จินเฟยเหยามีสีหน้าปั้นยาก กอดอกห่อไหล่เหมือนกระต่ายน้อยที่ตื่นตกใจ
“น้อยๆ หน่อย เล่นใหญ่เล่นโตมากขึ้นทุกที” ปู้จื้อโหยวยกกล้องยาสูบขึ้นจิ้มนางสุ่มๆ ทีหนึ่ง
จินเฟยเหยาหัวเราะฮ่าๆ พลางสกัดกล้องยาสูบที่จิ้มมา “ไม่ต้องจิ้มแล้ว ของสิ่งนี้ทำให้คนบ้าจี้ตายได้! ข้าไม่ล้อเจ้าแล้ว ฟังอย่างตั้งใจคงพอนะ”
ปู้จื้อโหยวเก็บกล้องยาสูบกลับมาเอ่ยอย่างเดือดดาล “พูดเรื่องจริงจังกับเจ้าหน่อยไม่ได้เลย ทำให้ข้าไม่มีโอกาสใช้คำพูดที่เตรียมไว้”
“เจ้าก็ไม่มีช่วงเวลาที่จริงจังและคำพูดของเจ้าเชื่อถือไม่ได้เลยสักนิด” จินเฟยเหยาพลิกตัวขึ้นนั่งเรียบร้อยในตัวรถ พั่งจื่อสัตว์ปิศาจกินคนที่กินจนนอนหลับเป็นตายอยู่ข้างๆ ก็ถูกนางลากขึ้นมานั่งอย่างเรียบร้อยในตัวรถด้วยกัน
“เอาละ ตอนนี้ข้าจะตั้งใจฟังอย่างจริงจัง เจ้าอธิบายมา” เห็นจินเฟยเหยาขมวดคิ้วนิดๆ นั่งเรียบร้อยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ด้านข้างคือพั่งจื่อผู้ไม่รู้เบื้องลึกซึ่งมีสายตาทึ่มทื่อแลดูเหมือนเคร่งขรึม ปู้จื้อโหยวถลึงตาใส่นางอย่างแรง
จากนั้นสะบัดมือหันหน้าไป เอ่ยอย่างเดือดดาล “ไม่พูดแล้ว!”
“เอ๋! ทำไมเจ้าถึงเป็นแบบนี้นะ ก่อนหน้านี้ก็บอกว่าข้าไม่ตั้งใจฟัง ตอนนี้รอให้เจ้าเล่าอย่างจริงจัง เจ้ากลับไม่พูดอีก ล้อกันเล่นหรือ!” เห็นเขาจะไม่พูดจริงๆ จินเฟยเหยาก็ฉุดดึงเขา
“ไม่อยากพูดแล้ว! เจ้าแค่อยากหยอกล้อข้าเท่านั้น”
“ไม่นะ ใต้เท้าอาปู้ ข้าอยากฟังจริงๆ เจ้าก็ส่งเสริมความปรารถนาของทาสหญิงอย่างข้าเถอะนะ”
“ไปให้พ้น เป็นทาสยังกล้าฉุดดึงเสื้อผ้าของข้าอีก”
“ใต้เท้าอาปู้ เจ้าก็รับปากคำขอร้องของข้าเถอะนะ ข้าจะตั้งใจฟัง”
“ปล่อยมือ!”
“แคว่ก!”
“…”
“ใต้เท้าอาปู้…ข้าจะซ่อมให้เดี๋ยวนี้!”
…………………………….
[1] ถวนจื่อ คือ ก้อนแป้งข้าวเหนียว ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ดังโงะ