คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 182 มดแมลงตัวเล็กๆ
“ที่แท้เจ้าไปอวยพรวันเกิดที่ภูเขาวั่นซั่นจริงๆ ข้ายังนึกว่าเจ้าหลอกลวงเสียอีก ตามที่เจ้าว่า ท่านแม่ของเจ้าเป็นคนเผ่ามาร ส่วนท่านพ่อของเจ้าเป็นคนเผ่ามนุษย์ แล้วเจ้าถือว่าเป็นฝ่ายใด?” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างสงสัย
ปู้จื้อโหยวสะบัดเส้นผม เอ่ยอย่างกระหยิ่ม “วิ่งไปมาทั้งสองฝั่ง อยากอยู่ที่ใดก็ไปที่นั่น อย่างไรเสียข้าก็ได้รับการต้อนรับจากทั้งสองฝั่ง”
“ผู้อื่นขึ้นผังสงครามวิญญาณอย่างลำบากยากเย็น เจ้ากลับดีนัก แวะแก้ไขความขัดแย้งระหว่างเผ่าก็ขึ้นผังได้อย่างสบายๆ ความขัดแย้งระหว่างเผ่าของคนเผ่ามารมีมากเกินไปหน่อยหรือไม่ รู้สึกไม่ค่อยสงบสุขเท่าใด” จินเฟยเหยาจิ้มน้ำลาย ใช้น้ำลายป้ายแล้วขัดถูลวดลายบนร่างปู้จื้อโหยว สักลงไปจริงๆ ด้วย ถูแล้วสีไม่ตก
“การแย่งชิงดินแดนระหว่างชนชั้นสูง ปกติจะส่งคนมาดวลกัน ทำสงครามขนาดใหญ่ไม่ได้ ทุกคนจะหลีกเลี่ยง เรื่องประเภทสังหารศัตรูหนึ่งพันคนทำลายฝ่ายตนเองไปห้าร้อยคนแบบนี้ อีกทั้งเผ่ามนุษย์กำลังจับจ้องเผ่ามารอยู่ หากมีโอกาสพวกเขาจะขยายดินแดนเพิ่มโดยไม่ใส่ใจ” ปู้จื้อโหยวตีนางอย่างแรง น่าขยะแขยงแทบตายแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะใช้น้ำลายมาถู
จินเฟยเหยาเก็บมือกลับมาแล้วหัวเราะหึๆ “หรือว่าระหว่างเผ่ามนุษย์ไม่มีคนพบเรื่องที่เจ้าเป็นลูกครึ่งเผ่ามาร?”
“มี แต่รู้แล้วจะทำอย่างไรได้ ก็ยังมาซื้อข่าวสารและสั่งสิ่งของจากข้าอยู่ดี”
“เจ้านี่จริงๆ เลย ในเมื่อเจ้าเป็นชนชั้นสูง พอข้าถึงภูเขาวั่นซั่นก็ต้องพึ่งพาให้เจ้าดูแลแล้ว ด้วยฐานะของข้า จะพบจอมมารหลงต้องเป็นเรื่องลำบากมากแน่ๆ ถึงตอนนั้นต้องให้ใต้เท้าอาปู้ช่วยพาไปพบด้วย” จินเฟยเหยายื่นศอกมาถองปู้จื้อโหยวแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มแฉ่ง
ปู้จื้อโหยวมองยายขี้ลืมคนนี้ที่ตั้งแต่รู้ว่าเขาเป็นคนเผ่ามารก็ไม่มีอารมณ์ในทางลบใดๆ สักนิด ยังคงพูดคุยประจบประแจงดังเดิม ในใจรู้สึกผ่อนคลายลงไม่ต้องฆ่าคนปิดปากอีก
ถ้าซ่อนความลับไว้ในใจจะทำให้คนรู้สึกอัดอั้นตันใจ บางครั้งบางคราวใต้เท้าอาปู้ก็หาคนมาพูดคุยความลับในใจ คนเผ่ามารฟังแล้วจะรังเกียจที่เขามีสายเลือดเผ่ามนุษย์ ส่วนคนเผ่ามนุษย์ฟังแล้วก็จะชิงชังที่เขามีฐานะเป็นคนเผ่ามาร บางคนหนักหนาสาหัสถึงขั้นเปลี่ยนท่าทีทันควัน คิดจะขจัดภัยให้ปวงชน
ไม่รู้ว่าใต้เท้าอาปู้จัดการคนไปมากมายเพียงใดเพราะเรื่องนี้ ครั้งนี้ยากนักที่ตนเองดูคนไม่ผิด ยายนี่สามารถคบเป็นสหายได้จริงๆ
จินเฟยเหยาไม่เคยคิดถึงปัญหาสถานะสองด้านของปู้จื้อโหยว นางมองจุดสำคัญของเรื่องราวตรงที่อื่น ในสายตามีแต่ผลประโยชน์ไม่สิ้นสุด ในโลกเผ่ามารเป็นชนชั้นสูงที่ใครเห็นใครก็รัก สองมือมีอำนาจทำให้คนคุกเข่ากราบไหว้ กลับมายังโลกเผ่ามนุษย์ก็เป็นคนมีชื่อเสียงบนผังสงครามวิญญาณ ได้รับความเคารพจากผู้คนและมีเกียรติยศไม่สิ้นสุดเช่นเดียวกัน
คิดถึงตนเอง ถูกคนตามล่าสังหารตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่มีชื่อเสียง ไปถึงที่ใดก็เป็นเพียงบุคคลตัวเล็กๆ อยู่อย่างน่าสงสาร พอจินเฟยเหยานึกถึงเรื่องเจ็บปวดเสียใจก็ถอนหายใจยาว “เฮ้อ ข้าอยู่มาหลายสิบปี ถูกคนไล่ล่าไปมาตลอด ไม่ได้อยู่อย่างสบายใจสักวัน พูดถึงเรื่องนี้…ข้าอายุเท่าไรแล้วนะ?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าอายุเท่าใด ขนาดวันเกิดของตนเองเจ้ายังจำไม่ได้หรือ?” ปู้จื้อโหยวมองนางอย่างตกตะลึง มีคนเลอะเลือนขนาดนี้ด้วย
จินเฟยเหยาเอียงศีรษะครุ่นคิด “แน่นอนว่ารู้วันเดือนปีเกิด เพียงแต่ลืมอายุไปแล้ว ผู้ใดจะว่างจดจำของพรรค์นี้”
ครุ่นคิดถึงเขาวั่นซั่น นางยังต้องพึ่งพาปู้จื้อโหยว ไม่แน่ว่าต้องอาศัยอยู่ในบ้านของผู้อื่น ต้องประจบเอาใจสักหน่อย ดังนั้นนางจึงครุ่นคิดแล้วเอ่ย “ข้าเป็นคนเผ่ามนุษย์ ภูเขาวั่นซั่นทั้งหมดเป็นเผ่ามารต้องไม่ชมชอบข้าแน่ ข้าเตรียมของขวัญให้ท่านป้าดีกว่า ต้องสร้างความประทับใจดีๆ ก่อน”
“เจ้าจะมอบของขวัญให้ท่านแม่ข้า เจ้ามีสิ่งใดที่สามารถนำออกมามอบให้ได้” ปู้จื้อโหยวมองนางอย่างขบขัน
“ท่านแม่ของเจ้ามีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นใด? เจ้าเป็นขั้นสร้างฐาน ข้าเดาว่านางน่าจะเป็นขั้นหลอมรวมสินะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าจะมอบหยกจินกังให้นาง” จินเฟยเหยาค้นถุงเฉียนคุนพลางเอ่ยวาจา
ปู้จื้อโหยวป้องปากหัวเราะ “ขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย”
“หา!” จินเฟยเหยาตะลึงงัน พลังการบำเพ็ญเพียรสูงส่งปานนั้นดูเหมือนหยกจินกังจะไม่ถือว่าเป็นของดีอะไร
นางพึมพำอย่างไม่พอใจ “ท่านพ่อของเจ้าช่างมีความสามารถนัก ล่วงเกินสตรีเผ่ามารขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายได้ นี่มันหอยเฒ่าสร้างไข่มุก[1]มิใช่หรือ! พลังการบำเพ็ญเพียรสูงส่งถึงปานนี้ ข้าจะมีสิ่งของมีค่าที่เข้าตาจอมมารขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายที่ไหน”
“เจ้าบอกเองนะว่าจะมอบให้ ถึงตอนนั้นถ้ามอบของห่วยๆ ให้แล้วนางเกิดไม่พอใจกินเจ้าลงไปในคำเดียวข้าไม่รู้ด้วยนะ” ได้ยินเสียงบ่นของนาง ปู้จื้อโหยวจึงข่มขู่นาง
“เชอะ!” จินเฟยเหยากลอกตา ในใจมีของดีที่จะมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดแล้ว
หนึ่งเดือนกว่าต่อมา รถเทียมสัตว์หกเขาก็ลากพวกเขาเข้าสู่อาณาเขตภูเขาวั่นซั่น พอเข้าเขตภูเขาวั่นซั่นก็ไม่อนุญาตให้รถเทียมสัตว์เร่งความเร็วอีก ไม่ว่าเป็นชนชั้นสูงที่ยิ่งใหญ่เพียงใด สัตว์เทียมรถที่บ้าคลั่งเพียงไหน ล้วนต้องเดินบนทางปูศิลาที่นอกเมืองอย่างช้าๆ
จินเฟยเหยาแลกเปลี่ยนตำแหน่งกับปู้จื้อโหยวแล้ว นางขับรถสัตว์หกเขาอยู่ด้านหน้า ฉวยโอกาสที่ทุกคนเดินทางอย่างช้าๆ มองพินิจรถเทียมสัตว์รอบด้านอย่างสงสัย
หลังมองดูรอบหนึ่ง นางพบว่ารถเทียมสัตว์คันที่ตนเองนั่งมีขนาดเล็กที่สุด สุ่มรถเทียมสัตว์มาคันหนึ่งก็ยังใหญ่กว่ารถเทียมสัตว์คันที่ตนเองนั่ง
ด้านหลังข้างซ้ายมีรถคันใหญ่เทียมสัตว์ห้าตัว สามารถมองเห็นชนชั้นสูงร่างอ้วนฉุผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงกลางรายล้อมด้วยสาวงามเผ่ามารอย่างน้อยแปดนางที่มีเส้นผมสีสันแตกต่างกัน ทั้งดื่มทั้งหัวเราะอย่างสนุกสนานสุดขีดผ่านผ้าโปร่งที่กั้นด้านหน้า
ส่วนด้านหน้าเป็นรถเทียมสัตว์คันไม่ใหญ่นัก ภายในผ้าโปร่งคือสตรีชนชั้นสูงที่มีเส้นผมยาวสีดำ รถของผู้อื่นจึงเรียกว่ารถ ประดับอัญมณีมีค่าทั่วรถอย่างงดงามและส่ายไหวจนนัยน์ตาคนพร่าพราย รถมีขนาดเล็กทว่าบริวารที่เดินทางมาด้วยสองฟากรถ แถวซ้ายเป็นบุรุษ แถวขวาเป็นสตรี มีถึงยี่สิบคนเต็มๆ อีกทั้งสัตว์เทียมรถของผู้อื่นคือปูยักษ์สีฟ้า นี่จึงเรียกว่าวางอำนาจบาตรใหญ่อย่างแท้จริง
“ชนชั้นสูงต่างอาศัยอยู่ที่นี่หรือ? ตลอดทางมีแต่รถเทียมสัตว์แข่งขันกันอวดความร่ำรวย บ้านเจ้าตระหนี่เกินไปแล้ว เจ้าก็ถือเป็นชนชั้นสูง ทำไมไม่ประดับประดารถให้งดงามสักหน่อย” จินเฟยเหยาเบิกตามองดูรอบด้านแล้วถ่ายทอดเสียงไปบ่นว่าปู้จื้อโหยว
ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนกว่า จินเฟยเหยาอาศัยตำราภาษามารที่เต๋อสี่มอบให้ เรียนรู้ภาษามารง่ายๆ ได้ยี่สิบสามสิบประโยค น่าเสียดายที่เป็นภาษาที่ใช้ในการค้าขายจำพวก ราคาต่ำเกินไปเพิ่มอีกหน่อย ข้ามีสินค้าดีๆ ไม่มีประโยคที่ใช้รับมือกับชนชั้นสูงสักประโยค เพื่อป้องกันเปิดเผยฐานะจากการเอ่ยคำพูดที่ปกติเผ่ามารฟังไม่เข้าใจ พอเข้าภูเขาวั่นซั่นนางก็เริ่มใช้การถ่ายทอดเสียงสนทนา
ใต้เท้าอาปู้ยิ้มบางๆ ด้วยสีหน้าตามแบบฉบับชนชั้นสูง ใช้ภาษาเผ่ามนุษย์เอ่ยอย่างชืดชา “ทาสต้องพูดให้น้อย ลงมือทำให้มาก ยังมารังเกียจว่ารถเล็กอีก ทาสเหล่านี้ล้วนเดินอยู่ข้างรถ ให้เจ้ามีที่นั่งยังไม่พอใจอีก”
“เพราะเหตุใดเจ้าจึงใช้ภาษามนุษย์พูดอย่างเปิดเผย!” จินเฟยเหยาเกือบหลุดปากออกมา อดทนสักพักจึงจำได้ว่าต้องใช้การถ่ายทอดเสียงเอ่ยถาม
ใต้เท้าอาปู้กึ่งนั่งกึ่งนอนอย่างเกียจคร้าน “เพื่อต่อต้านเผ่ามนุษย์ ชนชั้นสูงต้องเรียนภาษามารและภาษามนุษย์ตั้งแต่เล็ก ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะฟังไม่เข้าใจ บางครั้งทุกคนก็ใช้ภาษามนุษย์สนทนากัน เจ้าไม่ต้องแตกตื่นไป ขอเพียงเจ้าไม่พูดก็พอ ข้าไม่เป็นไร”
“ไม่ยุติธรรมจริงๆ แม้แต่พูดก็แบ่งแยกชนชั้นสูงกับคนธรรมดา!” จินเฟยเหยาถลึงตาใส่เขาอย่างเดือดดาล สถานที่แห่งนี้อยู่ยากยิ่งกว่าโลกเผ่ามนุษย์ที่ต้องหลบหนีไปทั่วอีก
โฉมหน้าของภูเขาวั่นซั่นทั้งหมดก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้านางตามการก้าวย่างไปข้างหน้าของสัตว์หกเขา
นี่เรียกว่าภูเขาที่ไหน! นี่คือตำหนักที่กองเป็นยอดเขาแหลมชัดๆ
ทอดสายตามองไปจากเชิงเขาจนถึงยอดเขา ทั้งหมดเป็นตำหนักหลากสีสัน แยกไม่ออกว่าตำหนักเหล่านี้อยู่ร่วมกันทั้งหมดหรือแยกออกมาโดดๆ ถึงอย่างไรก็เป็นดงตำหนัก สีขาว สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า ขอเพียงเป็นสีที่มีในโลกล้วนมีอยู่บนกำแพงตำหนักของภูเขาวั่นซั่น
“ไม่น่าเรียกว่าภูเขาวั่นซั่น[2]นะ เรียกว่าภูเขาวั่นไฉ่[3]จะใกล้เคียงกว่า มองจนตาลายไปหมดแล้ว” จินเฟยเหยาอดทอดถอนใจชื่นชมไม่ได้
เปรียบกับภูเขาวั่นซั่น สีสันของบ้านเรือนเผ่ามนุษย์จืดชืดเกินไปจริงๆ ที่นี่ราวกับภูเขาวิเศษที่มีเจ็ดสีสัน ส่ายไหวสีสันอันมีเสน่ห์ของตนเองให้ส่องประกายระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์
บนกำแพงตำหนักหรือบนหลังคาจำนวนมากยังฉาบทาสิ่งของที่เพิ่มการสะท้อนแสงชั้นหนึ่ง ราวกับผลไม้หลังถูกเคลือบด้วยน้ำตาล ใสเป็นประกายสุดเปรียบปาน
สุดทางเดินปูศิลาคือประตูเมืองสูงสิบกว่าจั้ง ขณะอยู่ไกลๆ จินเฟยเหยายังนึกว่าจงใจแกะสลักเป็นโครงกระดูกมังกรอ้าปากกว้าง พอมาถึงด้านล่างประตู มองฟันที่ตั้งอยู่ข้างทางแล้วเงยหน้าขึ้นมองโครงกระดูกบนประตูเมือง นางก็เหงื่อตก
นี่เป็นโครงกระดูกของจริง ประตูเมืองสร้างจากกระดูกมังกรยักษ์อ้าปากมีความสูงสิบกว่าจั้ง โดยพื้นฐานแล้วไม่ได้ทำการเสริมเติมแต่ง ทว่าตั้งกระดูกไว้ที่นี่โดยตรง
“ถ้ามีศัตรูมารุกราน กระดูกมังกรหมื่นปีตัวนี้จะแผ่อานุภาพกดดันอันสะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมา คนที่อยู่ต่ำกว่าขั้นกำเนิดใหม่จะไม่สามารถหยัดกายยืนขึ้นได้ คนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำอาจจะตายทันทีภายใต้อานุภาพกดดันของโครงกระดูกมังกร” ปู้จื้อโหยวเองก็เงยหน้าขึ้นมองกระดูกมังกรด้านบน พลางอธิบายให้จินเฟยเหยาฟัง
จินเฟยเหยาเคยเห็นสัตว์ปิศาจตัวใหญ่มโหฬารมามาก โดยเฉพาะหลังจากออกทะเล สัตว์ปิศาจที่นั่นล้วนมีขนาดมหึมา ทว่ามังกรประเภทที่กะโหลกศีรษะสูงสิบกว่าจั้ง นางกลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทั้งยังรู้สึกได้รางๆ ว่ากระดูกมังกรแผ่กลิ่นอายอันแข็งแกร่งออกมา โครงกระดูกมังกรตัวนี้ไม่เหมือนสิ่งที่ตายแล้ว ทว่าเหมือนมังกรยักษ์ที่กำลังพักผ่อน เพียงแค่ไม่มีสติขึ้นมาเท่านั้น
“ใครกันที่สามารถสังหารมังกรตัวใหญ่ขนาดนี้ได้ ทั้งยังย้ายกะโหลกศีรษะมาไว้ที่นี่” เพียงกลิ่นอายที่ส่งออกมาเล็กน้อยก็ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกกดดันอย่างมาก คนที่สามารถสังหารมันตายได้ต้องยอดเยี่ยมอย่างยิ่งแน่ๆ
“เจ้าอยากรู้จริงๆ?”
จินเฟยเหยาไม่เข้าใจอยู่บ้าง เหตุใดจะรู้ไม่ได้ หรือบอกชื่อมาแล้วจะสามารถขู่ขวัญตนเองให้ตายได้?
“อยากรู้”
ปู้จื้อโหยวสูบควันยาลึกๆ คำหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ พ่นออกมาแล้วยิ้มเอ่ย “ก็คือจอมมารหลงที่เจ้าอยากไปหา มังกรเกราะทองตัวนี้แล่นออกมาจากโลกระดับเทพโดยบังเอิญ ยามนั้นเรียกได้ว่าก่อเภทภัยไปทั่วทุกสารทิศ จากนั้นพบหลงเข้าจึงถูกเขาสังหารทิ้ง ทั้งยังนำกะโหลกศีรษะมาตั้งเป็นประตูเมืองที่นี่ กระดูกมังกรของมันไม่รู้ว่าถูกเขานำไปไว้ที่ใด”
จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างติดอ่างอยู่บ้าง “ตอนนั้นเขามีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นใด…”
“ได้ยินว่าเพิ่งเข้าสู่ขั้นแปลงจิต ทั้งยังเป็นเรื่องก่อนที่เขาจะถูกกักขัง”
“ร้ายกาจยิ่งนัก เรื่องผ่านมานานขนาดนั้นแล้ว” จินเฟยเหยาถอนหายใจยาว ตนเองเพิ่งขั้นสร้างฐานช่วงกลาง พลังการบำเพ็ญเพียรห่างไกลไม่ใช่แค่หนึ่งแสนแปดพันหลี่
ทันใดนั้น นางก็ตระหนักถึงเรื่องหนึ่งได้จึงเงยหน้าขึ้นทันที แม้แต่การถ่ายทอดเสียงก็ไม่ใช้ เอ่ยอย่างตื่นตระหนก “คนที่ร้ายกาจถึงปานนี้ คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนกักขังมานาน ถ้าไม่ใช่เพราะข้า เขายังต้องอยู่บนภูเขาเห็ดต่อไป หมายความว่ามีบุคคลที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเขา!”
“แน่นอน เผ่ามนุษย์เชิญคนจากโลกระดับเทพลงมาจึงกักขังเขาไว้ได้” ปู้จื้อโหยวรู้สึกว่าเรื่องนี้สมควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ผู้ฝึกบำเพ็ญที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงส่งไม่ได้มีเพียงหลงคนเดียว
หลังจากจินเฟยเหยาตะลึงงัน จึงเอ่ยพึมพำว่า “ข้าเพิ่งขั้นสร้างฐาน…เป็นเพียงมดแมลงตัวเล็กๆ”
………………………………..
[1] หอยเฒ่าสร้างไข่มุก หมายถึง ผู้หญิงที่มีบุตรเมื่ออายุมาก
[2] วั่นซั่น แปลว่า หมื่นความดี
[3] วั่นไฉ่ แปลว่า หมื่นสีสัน