คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 206 สุมหัวรวมกัน
จินเฟยเหยาหายไป ณ ที่นั้นถูกคนจำนวนมากมายเห็นกับตา ทว่านางเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม ไม่เหมาะจะยั่วโทสะ อีกทั้งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตนเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครส่งเสียง
จู๋ซวีอู๋ที่กำลังยื้อยุดกับตาเฒ่าตู้พบว่าจินเฟยเหยาหายไปแล้ว จึงปล่อยตาเฒ่าตู้และเอ่ยอย่างไม่ยินยอม “คอยก่อนเถอะ อีกหลายวันข้าจะไปหาเจ้า”
“ก่อเรื่องทั้งวัน คิดว่าตนเองเป็นเด็กจริงๆ หรือ” ตาเฒ่าตู้สะบัดแขนเสื้ออย่างมีโทสะ รีบจัดแจงเสื้อผ้าที่ถูกดึงจนเบี้ยว
หลังจากจินเฟยเหยาซ่อนกาย ก็หลบหนีมาจนถึงทุ่งหญ้าด้านล่าง ด้วยประสบการณ์ของนาง จู๋ซวีอู่น่าจะกำลังค้นหานางอยู่กลางอากาศ ไม่สังเกตใต้เท้า
นางเพิ่งมุดเข้าไปในพุ่มไม้ คิดจะเลียบออกจากเขตป้องกันตรงนี้ จะสนใจคฤหาสน์กุ่ยเม่ยไปทำไม ถึงอย่างไรหวาซีก็ไม่ได้ให้ผลประโยชน์แก่ตนเอง ตายหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับตนเอง เพิ่งคิดเช่นนี้สายรัดเอวพลันถูกอะไรบางอย่างดึงไว้
พอหันหน้าไปดูจินเฟยเหยาก็ตกใจ จู๋ซวีอู๋ยืนอยู่ด้านหลังนาง มือหนึ่งดึงสายรัดเอวของนางไว้อย่างแม่นยำ เห็นดวงตาของเขามีแสงสีเขียวกระพริบ ยันต์ซ่อนกายของจินเฟยเหยาก็หมดฤทธิ์เผยร่างออกมา
“เจ้าจะไปที่ใด? คิดไม่ถึงว่าจะทิ้งข้าไว้แล้วหนีมาคนเดียว” จู๋ซวีอู๋ทำปากยื่นเอ่ยอย่างไม่พอใจ
จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ อย่างโง่งมหลายครั้ง จากนั้นเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ผู้อาวุโส ท่านพบเห็นข้าได้อย่างไร?”
จู๋ซวีอู๋ส่ายศีรษะเล็กๆ แล้วเอ่ยอย่างกระหยิ่มใจ “ภายใต้เนตรชิงหมิงของข้า เวทหลบซ่อนเล็กๆ เช่นนี้ก็เหมือนกับไร้ประโยชน์”
“ข้ามีธุระจริงๆ เป็นเด็กดี ไปเล่นตรงโน้นก่อน ท่านดูสิมีคนมากมาย อีกสักครู่ต้องมีเรื่องน่าสนุกให้ดูแน่ ตามข้ามาก็ไม่มีประโยชน์” จินเฟยเหยาหลอกเขาราวกับหลอกเด็ก คิดจะทำให้เขาจากไป
จู๋ซวีอู่ดึงสายรัดเอวของนางไม่ยอมปล่อย กำลังคิดจะพูดอะไรก็ได้ยินเสียงคำรามอย่างเดือดดาลดังมากลางอากาศ “นางมาร ไสหัวออกมา!”
“หืม? คงไม่ได้ว่าข้าหรอกนะ” จินเฟยเหยาตะลึงงันเงยหน้าขึ้นมองกลางท้องนภา เพียงแค้นที่ต้นไม้ตรงนี้มีกิ่งและใบงอกงามบดบังสายตาไว้กว่าครึ่ง
“เร็ว! มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว” จู๋ซวีอู๋ยิ้มแย้มอย่างเริงร่า ดึงสายรัดเอวของจินเฟยเหยาฉุดลากนางมุดออกจากพุ่มไม้เหาะขึ้นกลางอากาศ
ในขณะที่พวกเขาสองคนอยู่ในพุ่มไม้ หวาหนานจื้อแห่งคฤหาสน์กุ่ยเม่ยก็พาคนกลุ่มหนึ่งเร่งรุดมาเช่นกัน ดูแล้วเขาอายุสามสิบกว่าปี ยังรักษาสุขภาพได้ไม่เลว นั่งอยู่บนสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสีขาวขนาดยักษ์ คำรามใส่คฤหาสน์กุ่ยเม่ยด้วยท่าทางดุร้าย
จินเฟยเหยาเห็นข้างกายเขายังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สองคนที่เหมือนหิวโหยจนผ่ายผอม ด้านหลังยังมีคนติดตามหลายสิบคน ค่อยกวาดตามองผู้บำเพ็ญเซียนที่มารออยู่นานแล้ว คิดคำนวณดู เพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ทั้งหมดก็มีไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน ยังไม่เอ่ยถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่มากมายดุจขนวัวเหล่านั้น
นางไม่เข้าใจอย่างยิ่ง นี่ต้องจัดการคนมากมายเพียงใด ต่อให้มีศิษย์ทรยศก็เป็นไปไม่ได้ที่นอกจากประมุขคฤหาสน์แล้วคนอื่นๆ ต่างทรยศกันหมด ถ้าเป็นเช่นนี้ประมุขตระกูลจึงถือเป็นคนทรยศ
“รีบไป พวกเราไปใกล้ข้างหน้าหน่อย” จู๋ซวีอู๋คึกคักผิดปกติ ฉุดดึงจินเฟยเหยาคิดจะเบียดไปด้านหน้า
จินเฟยเหยารีบดึงเขาไว้แล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ดูเรื่องสนุกต้องยืนอยู่ด้านหลัง ท่านเบียดไปข้างหน้าทำไม”
จู๋ซวีอู๋เหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นเอ่ยอย่างลับๆ ล่อๆ “เจ้าไม่รู้หรือ คฤหาสน์กุ่ยเม่ยมีความลับมากมาย เข้าไปใกล้ข้างหน้าอีกนิดจะสามารถเข้าไปดูก่อนได้ อีกทั้งพวกเขายังสะสมของดีๆ ไว้ไม่น้อย เข้าไปเร็วนิดก็สามารถแย่งชิงของได้เร็วหน่อย เจ้าคิดว่าคนเหล่านี้มาช่วยฟรีๆ หรือ ล้วนเป็นผลประโยชน์ทั้งนั้นแหละ”
“ไร้ยางอายจริงๆ” จินเฟยเหยาขมวดคิ้วเอ่ยอย่างดูแคลน
“เด็กน้อยอย่างเจ้าจะรู้อะไร!” จู๋ซวีอู๋ถลึงตาใส่นางอย่างไม่ยินยอม
จินเฟยเหยาเบ้ปาก มองร่างเล็กๆ ของจู๋ซวีอู๋อย่างเหยียดหยามและเอ่ยอย่างดูแคลนดังเดิม “แบบนี้จะเร็วได้แค่ไหนกัน ต้องฉวยโอกาสนี้ปะปนเข้าไปเอาสิ่งของดีๆ ด้านในออกมาก่อน รอจนตอนคนเหล่านี้พุ่งเข้าไปก็ได้แต่เก็บขยะ นี่จึงเรียกว่าไปก่อน อย่างท่านก็แค่มาร่วมสนุกเท่านั้น”
จู๋ซวีอู๋มองนางอย่างตกตะลึง ตอนยายนี่พูดเรื่องประเภทนี้เหตุใดจึงดูราวกับไปทำความดี แต่นี่ตรงกับรสนิยมของเขาพอดี ปกติเขาบุกตะลุยอยู่คนเดียวรู้สึกขาดแนวร่วมมาตลอดจึงเอ่ยอย่างยินดียิ่ง “เป็นความคิดที่ดี ให้พวกเขาร้องตะโกนอยู่ข้างนอก พวกเราเข้าไปกวาดก่อน เจ้าว่ามา พวกเราจะเข้าไปอย่างไร?”
“เข้าไปอย่างไร? แน่นอนว่ากระโดดเข้าไปทางกำแพง” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่เห็นว่าแปลกประหลาด
“บนกำแพงไม่มีการป้องกัน?”
“มีการป้องกัน?”
“ข้าไม่รู้ว่ามีการป้องกันหรือไม่ แต่คนเหล่านั้นยืนอยู่ข้างนอกทั้งหมด ไม่มีใครเข้าใกล้”
“ถึงอย่างไรข้าขึ้นไปแล้วไม่พบว่ามีการป้องกัน ถ้าอย่างไรท่านขึ้นไปลองดู”
“ข้าให้เด็กน้อยไปเป็นแนวหน้า เจ้าไปสิ ข้าจะคุ้มครองเจ้า”
“หน้าไม่อายจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะให้สตรีที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำกว่าอยู่ข้างหน้า”
“ก็ได้ พวกเราสองคนไปพร้อมกัน”
ผ่านการหารือรอบหนึ่ง คนทั้งสองก็เห็นพ้องต้องกัน จินเฟยเหยาสละยันต์ซ่อนกายใบหนึ่งให้เขา คนทั้งสองจูงมือกันแอบเข้าไป
จินเฟยเหยาไม่อยากจูงมือกับเขา แต่จู๋ซวีอู๋กลัวว่านางจะหนีไปดังนั้นจึงจับมือนางไว้ตลอดเวลา หากมิใช่มียันต์ซ่อนกายอยู่ ยังนึกว่าพี่สาวพาน้องชายไปเดินเล่นแล้วกลัวว่าจะพลัดหลงดังนั้นจึงจับมือกัน
เวลานี้เมืองภายใต้คฤหาสน์กุ่ยเม่ยไม่มีเงาร่างใครสักคน ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นไม่รู้ว่าเกรงกลัวอะไรจึงหยุดอยู่รอบนอก ส่วนหวาหนานจื้อยังตะโกนว่านางมารครั้งแล้วครั้งเล่า พูดอยู่นานก็ไม่มีความคิดใหม่ๆ เลย ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ
ทั้งสองคนมาถึงข้างกำแพงอย่างราบรื่น จู๋ซวีอู่กำลังคิดจะเหินข้ามกำแพง ก็ถูกจินเฟยเหยาดึงไว้ จินเฟยเหยาไม่สนใจว่าจู๋ซวีอู๋จะมองเห็นตนเองหรือไม่ โบกมือให้เขาจากนั้นชี้ไปที่แผงขายผักเล็กๆ ใต้กำแพง
จู๋ซวีอู๋มองไปที่นั่น ตรงนั้นมีแผงเล็กๆ ธรรมดาซึ่งกางผ้าบังแดดแห่งหนึ่ง ไม่พบว่ามีอะไรแปลกประหลาดจึงถ่ายทอดเสียงมาถาม “ทำอะไร? ตรงนี้ไม่มีคน ก็แค่แผงขายผักเล็กๆ”
เขายังมองเห็นข้า เนตรชิงหมิงอะไรนี่น่าชังจริงๆ เมื่อครู่จินเฟยเหยาทดสอบเขาดู คิดไม่ถึงว่าจะมองทะลุยันต์ซ่อนกายจริงๆ จึงยกเลิกแผนการหลบหนีไปชั่วคราว ต่อไปหาโอกาสได้แล้วค่อยว่ากัน
จินเฟยเหยาไม่ได้อธิบายจู๋ซวีอู๋ ทว่าดึงเขาขึ้นบนแผงผักเหนือศีรษะถูกผ้าบังแดดบดบังไว้พอดี นางชี้ไปที่กำแพงแล้วเอ่ยว่า “ข้าว่าท่านจะไปที่นั่นจากด้านบนจริงๆ หรือ รอบด้านมีคนมากมาย ถ้ามีการป้องกันจริงๆ พวกเราสองคิดจะเข้าไปล่วงหน้ามิถูกคนพบเห็นเข้าหรือ ขุดรูเข้าไปจากตรงนี้วางใจได้ คนที่เหาะอยู่กลางอากาศมองไม่เห็นพวกเรา”
“นี่คือศิลาเหล็กกล้า ของวิเศษธรรมดาขุดไม่ได้” จู๋ซวีอู๋ลูบคลำหินที่สร้างกำแพงแล้วอธิบายกับจินเฟยเหยา
“ท่านไม่มีหนทางทะลุไป?” จินเฟยเหยาดึงมือของเขาแล้วเอ่ยถาม
จู๋ซวีอู๋นิ่งงัน “ข้ายังนึกว่าเจ้ามีแผนการอะไร ที่แท้เห็นจวนตัวก็มา ที่จริงเจ้าก็ไม่มีวิธีเข้าไป”
“ข้าคิดว่าท่านเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ มีความสามารถโดดเด่น มีพลังเคลื่อนย้ายภูเขาเปลี่ยนเส้นทางน้ำ[1]ในกำมือ แอบขุดรูทะลุกำแพงน่าจะง่ายดุจพลิกฝ่ามือ” จินเฟยเหยายิ้มพลางเอ่ยประจบ
น่าเสียดายที่จู๋ซวีอู๋ไม่รับน้ำใจ ทั้งยังเอ่ยปฏิเสธ “ข้าเคลื่อนย้ายภูเขาเปลี่ยนเส้นทางน้ำไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ขั้นแปลงจิตขึ้นไปจึงกระทำได้”
“โกหก ขั้นแปลงจิตเคลื่อนย้ายภูเขาเปลี่ยนเส้นทางน้ำไม่ได้เสียหน่อย ขนาดทำอาหารพวกเขายังทำได้ไม่ดีเลย โง่งมสุดๆ” จินเฟยเหยาโบกไม้โบกมือ นึกถึงเนื้อสัตว์ปิศาจที่กินอยู่นานแต่กลับรสชาติแย่สุดขีด
“บ้าหรือเปล่า ขั้นแปลงจิตสามารถกินปราณวิญญาณฟ้าดินได้แล้ว ใครจะยังทำอาหารอยู่ นับว่าเจ้าโชคดี ข้าจะพาเจ้าเข้าไป ขุดรูก็ขุดรู ข้าว่าเหินข้ามกำแพงไปจะน่าเกรงขามกว่า” จู๋ซวีอู๋ลากจินเฟยเหยาเข้าไปใกล้กำแพง ยื่นมือข้างหนึ่งมาแนบบนกำแพง ใช้การรับรู้ตรวจสอบดูว่ากำแพงนี้หนาเพียงใด
จินเฟยเหยายืนอยู่ด้านหลังมองไม่เห็นสภาพของเขา ได้แต่อาศัยความรู้สึกถามเบื้องหน้าด้วยความห่วงใย “เป็นอย่างไร พอไหวหรือไม่?”
เดิมทีนางถูกลากมา ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นอย่างยิ่ง คิดจะไปหาผลประโยชน์เร็วๆ จินเฟยเหยามอบตานสัตว์ปิศาจและหญ้าวิญญาณให้จอมมารหลงไปหมดแล้ว กำลังคิดจะหาโอกาสเติมถุงเฉียนคุน เวลานี้เรื่องหลบหนีถูกนางโยนทิ้งไว้นอกสวรรค์เก้าชั้นฟ้า[2]แล้ว สุมหัวกับจู๋ซวีอู๋จึงเป็นเรื่องสำคัญ
“พอได้ ถ้าใช้ประตูซวีคงสามารถไปได้ ถ้าหนาอีกหน่อยคงต้องปีนกำแพงไปจริงๆ” จู๋ซวีอู่ตบกำแพง จากนั้นดึงใบไผ่เล็กๆ ที่เสียบมวยผมบนศีรษะลงมาวาดวงกลมบนกำแพง
แสงสีเขียวกระพริบวาบ ประตูซวีคงสีเขียวบานหนึ่งปรากฏขึ้นบนกำแพง จากนั้นเขาก็ดึงจินเฟยเหยาก้าวเข้าไป รู้สึกว่าในดวงตามีแสงสีเขียววาบขึ้น ชั่วพริบตา จินเฟยเหยาก็พบว่าตนเองยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของกำแพงและมาถึงด้านในของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยแล้ว
“ตอนนี้จะทำอย่างไร? ไปตำหนักหลักบนยอดเขาโดยตรงหรือไปดูที่อยู่อาศัยของศิษย์ธรรมดาตรงไหล่เขาก่อน” จินเฟยเหยามองรอบด้าน ทุกแห่งหนมีแต่พุ่มไม้แน่นขนัด มองไม่เห็นแม้แต่คฤหาสน์บนไหล่เขา
“ศิษย์ตัวเล็กๆ ไม่มีของมีค่าอะไร ตรงไปตำหนักหลัก” จู๋ซวีอู๋จะถูกใจสิ่งของที่ศิษย์ธรรมดาครองครองได้อย่างไร จึงฉุดลากจินเฟยเหยาวิ่งขึ้นไปบนภูเขา
ในยามนี้เอง กลางอากาศมีเสียงไพเราะของสตรีดังมา ตอบโต้เสียงตะโกนของหวาหนานจื้อ “หวาหนานจื้อ นี่เป็นเรื่องในตระกูลของคฤหาสน์กุ่ยเม่ย ท่านพาคนมามากมายด้วยเหตุผลใด ตอนนี้ประมุขตระกูลคือข้า นี่ท่านคิดจะร่วมมือกับคนนอกมาแย่งชิงตำแหน่งหรือ?”
กลางอากาศมีรถเหาะเทียมสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสีขาวห้าตัวคันหนึ่งแล่นมา บนรถมองทะลุได้สี่ด้าน มีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีนั่งอยู่ สตรีสวมชุดกระโปรงสีดำ ชายกระโปรงยาวและสายรัดเอวห้อยลงมาจากรถเหาะปลิวไสวอยู่กลางอากาศ
พอเห็นโฉมหน้าของสองคนนี้ จินเฟยเหยาก็หยุดนิ่งและมองพวกเขาอย่างประหลาดใจ คนที่นั่งอยู่ด้านหน้ารถเหาะคือหวาซีมิใช่หรือ ส่วนคนที่น่าเกรงขามและยิ้มแย้มงดงามจับใจทางด้านหลังก็คือหวาหวั่นซีที่เหมือนเนี่ยนซีราวกับพิมพ์เดียวกัน
ตอนนี้นางเป็นสตรีที่เติบโตเต็มวัยแล้ว บนใบหน้าอันงดงามแฝงความกระหยิ่มและกำเริบเสิบสาน ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหกสิบปี คิดไม่ถึงว่าจะมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายแล้ว ไม่เข้าใจว่านางฝึกบำเพ็ญอย่างไร ต่อให้มีคุณสมบัติชั้นยอดและใช้ยาวิญญาณหลากหลายชนิด ก็ไม่อาจทำให้คนบรรลุจากขั้นฝึกปราณตรงมาเป็นขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายภายในหกสิบปีได้
มองหวาซีที่อยู่ด้านหน้าหวาหวั่นซีอีกครั้ง ยังมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวมดังเดิม เรื่องนี้ทำให้จินเฟยเหยาสบายใจขึ้นมาก โชคดี ถ้าคนรู้จักกลายเป็นขั้นกำเนิดใหม่กันหมดตนเองคงไม่มีความสำเร็จเลยสักนิด
เพียงแต่หวาซีที่นั่งบนรถเหาะ ดวงตาไร้ชีวิตชีวา มีสีหน้าเหนื่อยล้า ไม่รู้ว่าเป็นภาพหลอนหรือไม่ จินเฟยเหยารู้สึกว่าเขาแก่ชราลงมาก ไม่ใช่ร่างกายทว่าจิตใจแก่ชรา
“เจ้ารู้จักสองคนนี้หรือ?” จู๋ซวีอู๋เข้ามาใกล้จินเฟยเหยาและเอ่ยถามอย่างสงสัย
“อืม รู้จัก ทั้งยังถูกหลอกหลายครั้ง” จินเฟยเหยาตอบรับ
………………………………………..
[1] เคลื่อนย้ายภูเขาเปลี่ยนเส้นทางน้ำ หมายถึง มีพลังมหาศาล
[2] นอกสวรรค์เก้าชั้นฟ้า หมายถึง ไกลลิบลับ หรือ ห่างไกลจนไร้ร่องรอย