คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 210 สะกดรอยตาม
หลังคลื่นการโจมตีผ่านพ้น บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนมองคฤหาสน์กุ่ยเม่ยที่ดูเค้าเดิมไม่ออกอย่างกระเซอะกระเซิง ทุกคนไม่รู้ว่ายามนี้สมควรพูดอะไรดี
สิ่งที่ทุกคนเป็นห่วงในตอนนี้คือคฤหาสน์กุ่ยเม่ยถูกทำลายหมดสิ้น หวาหนานจื้อจะนำรางวัลที่ตกลงกันไว้ในตอนนั้นมาจากที่ใด เห็นฉากเช่นนี้ สถานที่ซึ่งเป็นคลังสมบัติอาจจะเหลือเพียงเศษซาก
หวาหนานจื้อหลบหนีได้รวดเร็ว ยามนี้เพียงได้รับบาดเจ็บหนัก มือขาดไปข้างหนึ่ง นั่งโลหิตท่วมร่างอยู่บนพื้น เห็นทุกสิ่งทุกอย่างของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยพังทลายลงภายในวันเดียว แม้แต่พูดเขาก็พูดไม่ออก มองเศษซากเหล่านั้นแบบตัวแข็งทื่อเป็นไก่ไม้ พูดไม่ออกสักประโยค
ทันใดนั้น เขาพลันหัวเราะดังลั่น จะกลัวอะไร ก็แค่พวกหยาบช้า ถ้าเผ่ามนุษย์คนอื่นๆ ตายหมดแล้ว บนร่างของตนเองยังมีจิตวิญญาณดั้งเดิม ทำให้เผ่ามนุษย์คนอื่นๆ คืนชีพไม่ได้แต่สามารถทำให้ตนเองคืนชีพได้ หนึ่งคนไม่พอ ก็คืนชีพมาสองคน สามคน ใช้เวลาไม่กี่ร้อยปี คฤหาสน์กุ่ยเม่ยก็สามารถคืนชีพอีกครั้ง
ทุกคนมองหวาหนานจื้อ คิดว่าเขาเป็นบ้าไปแล้วใช่หรือไม่ คฤหาสน์กุ่ยเม่ยที่คิดจะช่วงชิงกลับมาพังทลายจนกลายเป็นแบบนี้ยังสามารถหัวเราะออกมาได้
“เจ้านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรหรือ? เป้าหมายของข้าคือทำลายตระกูลหวาจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร” เสียงหัวเราะของหวาหนานจื้อหยุดลงทันที ศีรษะถูกมือเรียวงามข้างหนึ่งกุมไว้
“นางยังไม่ตาย!” พอบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนเห็นคนผู้นี้ก็รีบถอยหลังทันที
เสื้อผ้าบนร่างหวาหวั่นซีขาดวิ่น ภายใต้พลังวิญญาณที่แผ่พุ่ง เส้นผมทั้งศีรษะกระจายและล่องลอยอยู่กลางอากาศราวกับมีชีวิต ที่หางตามีน้ำตาโลหิตสีแดงสองสายแขวนอยู่ ในดวงตาเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร
“ขั้นแปลงจิต! นางบรรลุขั้นแปลงจิตแล้ว!” ไม่รู้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนใดร้องตะโกนขึ้นอย่างกะทันหัน
ครู่หนึ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหมดก็ถอยหลังกรูด บางคนอยากจะล่าถอยไปสักหนึ่งพันหลี่ ขั้นแปลงจิต ผู้บำเพ็ญเซียน ณ ที่นั้นคนใดจะสู้ได้ นี่มิใช่ธุระในบ้านของตนเอง เทียบกันแล้ว ชีวิตของตนเองสำคัญกว่าหวาหนานจื้อ
“เจ้าคิดจะเอาอย่างไร!” ศีรษะของหวาหนานจื้อถูกหวาหวั่นซีกุมไว้อย่างแน่นหนา เล็บอันคมกริบแทงลึกเข้ามาในหนังศีรษะของเขาจนเกิดบาดแผลมีโลหิตสดไหลออกมา
ถึงแม้ขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายจะห่างจากขั้นแปลงจิตเพียงก้าวเดียว ทว่าก้าวเดียวนี้ ทำให้ความแข็งแกร่งต่างกันมากกว่าหมื่นหลี่ ศีรษะของหวาหนานจื้อถูกกุมไว้บวกกับร่างบาดเจ็บสาหัสจึงไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน
“ข้าบอกแล้ว เพียงคิดจะฆ่าเจ้า” หวาหวั่นซีเอ่ยเบาๆ จากนั้นโบกมือขวา สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณที่มีจุดสีแดงโลหิตก็ปรากฏขึ้นข้างกาย อ้าปากกว้างกัดหวาหนานจื้อที่ร้องโหยหวนไม่กี่คำก็กลืนลงไป
ครั้งนี้หวาหวั่นซีไม่ได้ดูดซับปราณโลหิต ทว่ามองผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านอย่างสงบ สายตามองไปที่ใด ผู้บำเพ็ญเซียนตรงนั้นก็หดตัวไปด้านหลังอย่างระแวดระวัง
เจตนาสังหารในดวงตานางลดลง ทว่าพลังวิญญาณที่พุ่งทะยานเต็มท้องนภายังทำให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ไม่กล้าหุนหันพลันแล่น หยุดอยู่ครู่หนึ่ง หวาหวั่นซีพลันขี่สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณจากไปโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ทุกคนมองหวาหวั่นซีจากไปราวกับควันบางเบาอย่างโง่งม ไม่รู้ว่าต่อไปจะทำอะไร ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมและขั้นสร้างฐานทั้งหมดมองบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่
เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่มองหน้ากัน รอให้ใครสักคนตัดสินใจ
“จะไล่ตามไปหรือไม่?” ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหว ถ้ายังไม่พูดอีกจะตามหวาหวั่นซีไม่ทันแล้ว
“นางมีความแค้นกับเจ้าหรือ?” คนจำนวนไม่น้อยกลอกตาใส่เขาทันที
ไม่ดูพลังการบำเพ็ญเพียรของนางมารคนนั้นบ้าง ไม่ว่าจะใช้เวทปิศาจอะไรก็บรรลุถึงขั้นแปลงจิตแล้วจริงๆ ถึงชีวิตของนางจะไหลออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าก่อนตายก็ฟาดทุกคนตายได้อย่างไม่มีปัญหาเลยสักนิด รอนางตายค่อยไปค้นหาศพของนางและนำกลับไป ทรมานนางอย่างช้าๆ ว่าที่แท้นางบรรลุขั้นแปลงจิตในเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร
บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่วางแผนการแบบนี้ ทว่าไม่มีใครยอมพูดออกมาให้คนอื่นได้เปรียบ ศพมีเพียงศพเดียวจะให้คนอื่นมาร่วมแบ่งปันได้อย่างไร
ทุกคนไม่ยอมส่งเสียงสักแอะ ตาเฒ่าตู้ถือเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งและมีชื่อเสียงในบรรดาคนเหล่านี้ แน่นอนว่าเนื่องจากเป็นสำนักใหญ่
เขากระแอมให้คอโล่ง ออกมาเอ่ยกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมและขั้นสร้างฐานด้านล่าง “ทุกท่าน คฤหาสน์กุ่ยเม่ยล่มสลาย คนในคฤหาสน์ก็ถูกฆ่าตายหมด ฆาตกรหลบหนีไปแล้ว พลังการบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้าไล่ตามนางไปไม่ได้ ทุกคนจัดการที่นี่ ถ้าค้นเจอซากศพก็ฝังพวกเขา ทุกคนห้ามต่อสู้กัน แต่ละคนต่างจัดการคนละแห่ง จากนั้นเดินทางกลับสำนักก่อน”
พอผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานได้ยินก็ดีใจจนออกนอกหน้า นึกว่ามาเสียเที่ยวเสียอีก คิดไม่ถึงว่ายังมีสิ่งของให้หยิบฉวย ดังนั้นตัวต่อรังหนึ่งจึงพุ่งปราดไปยังภูเขาเศษซากคฤหาสน์กุ่ยเม่ย ต่อให้คลื่นการโจมตีร้ายกาจก็น่าจะมีสิ่งของดีๆ เหลืออยู่บ้าง
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมยอมเสียหน้าไม่ได้จึงไปค้นกองขยะกับผู้เยาว์ขั้นสร้างฐาน แต่ดูออกอย่างชัดเจนว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ยังมีธุระ พวกเขาจึงไม่กล้าจากไปก่อน ถ้าถูกสงสัยว่าไล่ตามนางมารคนนั้นไปและคิดจะเอาเปรียบก็ยุ่งแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงยืนอยู่ไกลๆ มองผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเหล่านี้ค้นหาสิ่งของในเศษหิน
ถ้ามีคนหาสมบัติพบจริงๆ และเป็นสิ่งของที่ตนเองต้องการก็ไปตกลงแลกเปลี่ยนกับพวกเขา ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมล้วนมีความคิดเช่นนี้ จึงมองผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานอย่างเงียบๆ
แรงกดดันของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานหนักหนาเกินไป ทั้งคิดจะค้นหาสิ่งของดีๆ ทั้งกลัวว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมจะมาแย่งชิง จึงแสดงทักษะพิเศษของแต่ละคนออกมา ขณะที่ค้นหาของดีๆ พบ ก็ใช้ฝีมือซ่อนไว้ก่อนผู้อื่นพบเห็น
“ฮ่าๆ หายาขั้นสองเจอหนึ่งขวด!”
“น่าเสียดายจริงๆ ของวิเศษชิ้นนี้เสียหายไม่สมบูรณ์…”
“ข้ารวยแล้ว! คิดไม่ถึงว่าจะเป็นศิลาวิญญาณชั้นล่างห้าร้อยก้อน!”
“ถุย! คิดไม่ถึงว่าจะเป็นชั้นในสตรี”
รอบด้านค่อยๆ มีเสียงของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานดังมา บ้างยินดี บ้างก็หมดหวังและเดือดดาล เสียงดังขึ้นบนกองเศษหินไม่หยุด ฟังแล้วเหมือนขุดได้ของดีๆ ตลอดเวลา แม้แต่ยาขั้นหนึ่งก็มีผู้บำเพ็ญเซียนร้องอุทานอย่างยินดี ราวกับยินดีอย่างยิ่งจริงๆ
ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมล้วนเลื่อนขึ้นมาจากขั้นสร้างฐาน ผู้ใดจะไม่กระจ่างในลูกไม้เหล่านั้น เจ้าพวกนี้จงใจตะโกนออกมา ก็เพื่อแสดงออกว่าตนเองขุดได้ขยะ ไม่มีของดีๆ เลยสักนิด ที่จริงมีสิ่งของดีๆ คงแอบซ่อนไว้แล้ว ได้แต่เบิกตาเป็นประกาย ก่อนที่พวกเขาซ่อนของดีๆ ก็ชิงเข้าไปแลกเปลี่ยนก่อน
ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ยี่สิบกว่าคนรวมตัวกันอยู่กลางอากาศ ไม่บอกว่าจะไป และไม่บอกว่าจะสลายตัว มองทุกคนโดยไม่ส่งเสียงอยู่แบบนี้ ไม่คิดจะให้คนอื่นๆ จากไปก่อน
ยืนไปยืนมา พลันมีคนรู้สึกว่าจำนวนไม่ถูกต้องจึงนึกขึ้นได้ว่ามีอยู่คนหนึ่งที่ไม่เห็นร่องรอยมาตลอด ดังนั้นจึงร้องอุทานว่า “แย่แล้ว จู๋ซวีอู๋ไม่อยู่!”
“อะไรนะ! จู๋ซวีอู๋!” ทุกคนจึงนึกขึ้นได้ เมื่อครู่จู๋ซวีอู๋บอกว่ามีธุระ มุดเข้าไปในพุ่มไม้ก่อน ตอนนี้ไม่เห็นเขาปรากฏตัว ด้วยนิสัยของเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มาร่วมความครึกครื้น มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว เขาแอบไล่ตามนางมารคนนั้นไป
“แย่แล้ว ถ้าให้จู๋ซวีอู๋พบนางมารคนนั้นก่อน ไม่รู้จะทำลายจนเป็นเช่นไร!” ทุกคนร้อนใจทันที ไม่แน่ว่าขณะที่นางมารผู้นั้นอ่อนแอจะถูกเขาทุบตีตาย ทุบตีตายนั้นช่างเถอะ ถ้าจุดเพลิงเผาจะทำอย่างไร! คุณธรรมในการจัดการศพเช่นนี้ เจ้าหมอนั่นต้องทำแน่นอน
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ทั้งหมดงัดทักษะพิเศษออกมาโดยไม่ต้องให้บอก เหาะไปยังทิศทางที่หวาหวั่นซีจากไปราวกับสายฟ้า
“ข้ายังว่าตาเฒ่าพวกนี้จะรออยู่นานเพียงใด รออยู่ครู่หนึ่งก็ทนไม่ไหวเสียแล้ว เห็นพวกเขาจากไปอย่างเร่งร้อนแบบนี้ คาดว่าต้องมีคนทรยศไปก่อนล่วงหน้าแน่” มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมกอดอกมองดูทิศทางที่พวกเขาเหาะไป แล้วเอ่ยอย่างดูแคลน
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมด้านข้างเขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เจ้าอย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง ระวังถูกพวกเขาได้ยิน ตั้งใจจ้องมองพวกขั้นสร้างฐานเถอะ อย่าให้ของล้ำค่าหลุดรอดสายตาไปได้”
ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นรั้งสายตากลับมา เอ่ยอย่างชืดชา “รู้แล้ว”
ในเทือกเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากคฤหาสน์กุ่ยเม่ย หวาหวั่นซีหยุดอยู่ข้างลำธารเล็กๆ นอนอยู่บนพื้นไออย่างรุนแรง โลหิตสดไหลลงมาตามซอกนิ้วของนาง
ส่วนสถานที่ซึ่งอยู่ห่างจากนางไม่ไกล จินเฟยเหยาที่ใบหน้ามอมแมมและจู๋ซวีอู๋ที่มีฝุ่นเต็มตัวเช่นเดียวกันกำลังซ่อนตัวและโต้เถียงกันอยู่ในพุ่มไม้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอักษรคำว่าตายเขียนอย่างไร?” จู๋ซวีอู๋ด่าทออย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เขาเสี่ยงชีวิตแก่ๆ หักปลายใบไผ่เล็กๆ ทั้งหมดบนศีรษะลงมาจึงลากจินเฟยเหยาหลบหนีออกมาจากศูนย์กลางระเบิดได้ แต่ยายนี่กลับไม่รู้จักพอ ฝืนลากตนเองแปะยันต์ซ่อนกายติดตามหวาหวั่นซีมา ตอนนี้ยังคิดจะออกไปพบนาง ช่างรำคาญในการมีชีวิตอยู่จริงๆ
จินเฟยเหยาพยักหน้า จากนั้นเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “พี่จู๋ เหตุใดแม้แต่อักษรคำว่าตายท่านก็เขียนไม่เป็น ปกติต่อให้ฝึกบำเพ็ญตลอดเวลาก็ต้องตั้งใจเล่าเรียนบ้าง ต่อไปข้าจะสอนท่าน อย่างอื่นข้าไม่ไหวแต่อักษรไม่กี่ตัวข้ายังพอรู้”
“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะลากเจ้ากลับสำนักตงอวี้หวงเดี๋ยวนี้ แล้วให้กลุ่มศิษย์หลานของข้าแต่งงานกับเจ้าทันที!” จู๋ซวีอู๋มีโทสะจนควันออกเจ็ดทวาร คิดจะฉุดลากนางไป
“กลุ่ม? ทำไมจำนวนคนจึงเพิ่มขึ้นอีก ข้าไม่ชอบแบบนี้ จะสร้างฮาเร็มหรือ!” จินเฟยเหยาใช้สองมือปิดหน้าอก มองสถานที่ซึ่งจู๋ซวีอู๋นั่งยองๆ อยู่อย่างตกใจ มียันต์ซ่อนกายอยู่จึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา ไม่รู้ว่าตอนนี้จะหยาบโลนและสัปดนเพียงใด คิดไม่ถึงว่าจะบังคับให้ข้าเป็นหนึ่งภรรยาหลายสามี
นางครุ่นคิดแล้วเอ่ยปลอบใจอย่างระมัดระวัง “พี่จู๋ ท่านไม่ต้องกลัว ข้ามีเรื่องจะถามนาง เอาอย่างนี้ ถ้ามีอันตรายท่านก็หนีไปก่อน ข้าจะปกป้องท่านเอง ข้าไม่คิดจะเป็นภาระของท่าน ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็เป็นขั้นแปลงจิต เท่ากับเป็นอันตราย”
“กลัวกะผีสิ! ขั้นหลอมรวมช่วงต้นห่วยๆ อย่างเจ้ายังคิดจะปกป้องข้าที่เป็นขั้นกำเนิดใหม่? อีกทั้งถ้าเจ้าไม่อยากเป็นภาระให้ข้า ตอนแรกเจ้ากอดข้าไว้แน่นแล้วบังคับแบกขึ้นบ่ามาทำไม!” จู๋ซวีอู๋แทบกระโดด ถ้าไม่ใช่ด้านข้างมีขั้นแปลงจิต เขาก็อยากจะตีก้นจินเฟยเหยา
จินเฟยเหยาได้ยินเขาร้อนก็หัวเราะหึหึเอ่ยอย่างขัดเขิน “ข้าคิดไม่ถึงว่าท่านจะกลัว ตอนนั้นอารามร้อนใจเพียงคิดจะหาโล่เนื้อ ท่านก็รู้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้น ขณะที่สองคนแยกกันหลบหนี ท่านมีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงกว่าข้าจะดึงดูดสายตามากกว่า”
“เจ้า!” จู๋ซวีอู๋ตัดสินใจในพริบตา ถึงตายก็ต้องลากนางกลับสำนักตงอวี้หวง จากนั้นค่อยใช้สารพัดวิธีมาทรมานนาง
“ตามข้ามานานขนาดนี้ ยังไม่คิดจะออกมาอีก?” ยามนี้หวาหวั่นซีกระอักโลหิตเสร็จสิ้น ใช้มือเช็ดเลือดบนกระโปรง แล้วเงยหน้าขึ้นมองมาทางสถานที่ซึ่งจินเฟยเหยาและจู๋ซวีอู๋ซ่อนตัวอยู่
“อ๋า! ถูกพบเห็นแล้ว”
……………………………….