คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 216 ห้องโถงประชุม
หลังจู๋ซวีอู่และจินเฟยเหยาร่อนลงบนลานกว้างหน้าตำหนักเซียวเทียน ก็มีศิษย์ขั้นสร้างฐานมารับหน้า นำพวกเขาสองคนเข้าไปในตำหนักเซียวเทียนอย่างเคารพนบนอบ
จินเฟยเหยาพินิจดูรอบด้านอย่างสงสัย คิดจะดูว่าสำนักตงอวี้หวงมีสิ่งใดแตกต่างจากสำนักอื่นๆ กลับพบว่ามีศิษย์จำนวนมากยกถ้วยชามนานาชนิด ยังมีไหสุราผลไม้และสิ่งต่างๆ เดินไปยังสถานที่แห่งหนึ่งอย่างเหนือความคาดหมาย
นางอดคาดเดาไม่ได้ หรือว่าเชิญข้ามารับประทานอาหาร? บังเอิญขนาดนี้เชียว
จินเฟยเหยาพกพาความคาดหวังต่ออาหารอร่อยติดตามด้านหลังจู๋ซวีอู๋อย่างร่าเริงมาถึงห้องโถงประชุม ห้องโถงหลักของสำนักตงอวี้หวงไม่ได้กำหนดตายตัว ผู้ใดเป็นเจ้าสำนักห้องโถงประชุมก็จะย้ายไปอยู่บนยอดเขาของคนผู้นั้น นี่คือการแสดงถึงศักดิ์ฐานะของเจ้าสำนัก
พอเข้าสู่ห้องโถงประชุมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จินเฟยเหยาก็รู้สึกได้ถึงพลังกดดันที่พุ่งเข้ามาปะทะหน้า ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่มากมายจริงๆ
นอกจากชายชราขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายที่นั่งอยู่ด้านในสุดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ดูแล้วไม่เมตตาปราณี สองฟากของห้องโถงประชุมยังมีผู้บำเพ็ญเซียนนั่งอยู่สองแถว มีถึงสี่สิบห้าสิบคนเต็มๆ จากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ด้านในมาจนถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมตรงประตู ทั้งหมดจับจ้องมาที่พวกเขาสองคน ภายใต้สายตาของพวกเขา จินเฟยเหยาก็เคลื่อนตัวไปด้านข้างก้าวหนึ่งและยืนอยู่ด้านหลังจู๋ซวีอู๋
ยามนี้นางจึงพบปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่ง จู๋ซวีอู๋ตัวเตี้ยเกินไปไม่สามารถบังตนเองได้มิด ผิดกับพวกจอมมารหลง
จู๋ซวีอู๋รู้สึกได้ถึงความไม่เหมาะสมของจินเฟยเหยาจึงลากนางมานั่งลงตรงตำแหน่งข้างประตู และสั่งให้นางนั่งอยู่ตรงนี้อย่าขยับ ตนเองจะเดินไปข้างหน้าคนเดียว
ตำแหน่งของเขาอยู่หัวแถว ห่างจากเจ้าสำนักเพียงสามที่ จู๋ซวีอู๋ขอนั่งตำแหน่งท้ายสุดของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เนื่องจากเขาเจี๋ยหยวนอิงช้าที่สุด จึงถือว่าเป็นศิษย์น้องคนเล็กสุด ทว่าเจ้าสำนักกลับไม่ยินยอม คนที่ซุกซนขนาดนี้สมควรยกมานั่งหน้าสุดและจับตาดูบ่อยๆ ไม่เช่นนั้นจะเหมือนครั้งที่แล้วขณะถามเขาถึงเรื่องโลกระดับดิน เขาจงใจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเพราะนั่งอยู่ไกล ส่งเสียงเอะอะอยู่นานก็ถามไม่ได้ความกระจ่าง
“ศิษย์น้องจู๋ ครั้งนี้ออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ภายนอกเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้าง?” ฉือชางเจินเหรินผู้เป็นเจ้าสำนักตีหน้าเคร่ง ถึงน้ำเสียงจะห่วงใย สีหน้ากลับเอ่ยถามอย่างเข้มงวด
จู๋ซวีอู๋นั่งอยู่บนเก้าอี้เอ่ยตอบตามสบาย “ไม่มีอะไรน่าสนุก เพียงรู้จักสหายหลายคน ผลเก็บเกี่ยวเพียงอย่างเดียวคือพาเด็กน้อยกลับมา”
“ได้ยินเบื้องล่างมารายงานว่า สตรีที่เจ้าพากลับมาคือบุตรสาวของเจ้า?” ฉือชางเจินเหรินหลุบตาสายตาแหลมคมมองทะลุลงครึ่งหนึ่ง
“ใช่” จู๋ซวีอู๋จ้องมองลวดลายบนเก้าอี้พลางเอ่ยปากตอบรับ
“เหลวไหล!” ฉือชางเจินเหรินพลันบริภาษ “เจ้ายังมีร่างบริสุทธิ์ เคล็ดวิชาเสวียนเทียนยังไม่หายไป จะมีบุตรสาวได้อย่างไร! อีกทั้งสตรีผู้นั้นก็เป็นขั้นหลอมรวมแล้ว ถึงคลอดตอนนี้ก็ไม่น่าจะฝึกบำเพ็ญรวดเร็วปานนี้”
ตาเฒ่าคนนี้ร้ายกาจจริงๆ มีมาดของเจ้าสำนักใหญ่ จินเฟยเหยานั่งอยู่ท้ายสุดมองเห็นจู๋ซวีอู๋ทางด้านหน้าถูกพ่นน้ำลายใส่เต็มหน้า ท่าทางถูกหักหน้าน่าขำจริงๆ
จู๋ซวีอู๋เบ้ปากเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ข้ารับมาเลี้ยงไม่ได้หรือ? มีเพียงพวกท่านที่ให้กำเนิดบุตรได้ แต่ห้ามข้ารับมาเลี้ยง? ข้ามีสิ่งของมากมาย ถึงตายไปแล้วก็แบ่งให้ศิษย์ใช้ไม่ได้ นำบุตรสาวกลับมาแบ่งสิ่งของคนหนึ่งเกี่ยวอะไรด้วย
“ถ้าเจ้าอยากได้เด็กน้อย ศิษย์พี่ของเจ้ามีมากมายบ้านใครไม่มีเด็กที่มีคุณสมบัติดีๆ หลายคนบ้าง เจ้าชอบคนใดก็เลือกไปเลี้ยง ชาติกำเนิดขาวสะอาด คุณสมบัติก็ดี ทั้งยังเป็นหลานของเจ้า ดีกว่าเก็บคนที่มีความเป็นมาไม่กระจ่างมาจากข้างนอกมากนัก” เห็นจู๋ซวีอู๋ยังโต้เถียง ฉือชางเจินเหรินก็สั่งสอนเขาอย่างหนัก
เนื่องจากศิษย์น้องจู๋คนนี้ฝึกเคล็ดวิชาเสวียนเทียน หากยังไม่บรรลุเคล็ดวิชา ร่างกายก็จะไม่เติบโต ไม่รู้ว่าสาเหตุเนื่องจากเคล็ดวิชาเสวียนเทียนหรือไม่ นิสัยจึงซุกซนราวกับเด็กน้อย ไม่เชื่อฟังเลยสักนิด แม้แต่พวกเขาเองก็มีโทสะบ่อยๆ จนลืมไปว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว ยึดถือว่าเขาเป็นเด็กน้อยจริงๆ
“ข้าไม่ต้องการบุตรของพวกท่าน แต่ละคนตีหน้าเคร่งเครียดทั้งวันเหมือนพวกท่าน ไม่น่าสนุกเลยสักนิด ฝึกบำเพ็ญทั้งวัน กฎระเบียบก็พูดจนติดปาก แบบนี้น่ารำคาญแทบตาย” จู๋ซวีอู๋ไม่ฟังคำพูดเขา ย้ายสายตาจากลวดลายบนเท้าแขนเก้าอี้มาที่ลวดลายบนเสื้อผ้าของศิษย์พี่ทางด้านข้าง
“ศิษย์น้อง!” ฉือชางเจินเหรินถูกท่าทางของเขาทำให้มีขุ่นเคืองจนตบเท้าแขนเก้าอี้ มีโทสะขึ้นมา
“ศิษย์พี่! ท่านไม่ต้องพูดแล้ว” จู๋ซวีอู๋เคลื่อนไหวเร็วกว่าเขา ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยอย่างเดือดดาล “ข้าแค่พาคนกลับมาคนหนึ่ง ไม่ได้ขอให้นางเข้าสำนักหรือรับหน้าที่ในสำนัก พวกท่านจำเป็นต้องตำหนิข้าด้วยหรือ! ทั้งยังเรียกทุกคนมาหมดเพียงเพื่อมาด่าทอข้า ศิษย์พี่ทุกท่านสั่งสอนศิษย์น้องก็แล้วไปเถอะ แต่ศิษย์ขั้นหลอมรวมเหล่านี้นับเป็นเรื่องราวใด? หรือข้าจู๋ซวีอู๋เป็นคนที่ทุกคนสามารถสั่งสอนได้ ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างของสำนักตงอวี้หวงล้วนสามารถควบคุมข้าได้!”
เขายืนอยู่ในห้องโถง ดวงตาเป็นประกายเย็นเยียบ อานุภาพกดดันแผ่ปกคลุมไปทั่วทันที กวาดมองไปยังศิษย์ขั้นหลอมรวมด้านล่างด้วยเจตนาสังหาร
บรรดาศิษย์ขั้นหลอมรวมหวาดผวาทันที เจตนาสังหารที่อยู่ในอานุภาพกดดันไม่ได้ล้อเล่นเหมือนผู้อาวุโสข่มขู่ผู้เยาว์เลยสักนิด ทว่าเป็นเจตนาสังหารที่สามารถลงมือคร่าชีวิตอย่างอำมหิตได้ทุกเมื่อจริงๆ
“ซวีอู๋! ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด” สตรีนางหนึ่งในตำแหน่งขั้นกำเนิดใหม่ยืนขึ้น
จู๋ซวีอู๋มองผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นกำเนิดใหม่ที่ท่าทางอ่อนโยน ระหว่างที่ยกมือวางเท้าเต็มไปด้วยปราณวิญญาณเซียนด้วยใบหน้าเย็นชา “ศิษย์พี่เมี่ยวอวี่ พวกท่านยังมีเรื่องใดจะลงโทษข้าอีก สามารถบอกมาพร้อมกันได้เลยว่าข้าจู๋ซวีอู๋ทำเรื่องใดจึงทำให้พวกท่านต้องจัดฉากใหญ่โตขนาดนี้มาข่มขู่ข้า”
“จริงๆ เลย เจ้าไม่เปลี่ยนนิสัยเสียบ้าง อยู่ๆ ก็มีโทสะ” เมี่ยวอวี่เจินเหรินเดินมาฉุดดึงมือจู๋ซวีอู๋ที่มีใบหน้าอึมครึมแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หรือเจ้าลืมแล้วว่าวันนี้เป็นวันเกิดศิษย์พี่เจ้าสำนัก? ดังนั้นทุกคนย่อมมารวมตัวกัน กำลังพูดถึงเจ้า คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคนมารายงานว่าเจ้ากลับมาแล้วย่อมต้องรีบเรียกเจ้ามา เจ้ามิใช่ไม่รู้นิสัยของศิษย์พี่ เขาไม่ได้จงใจอยากจะว่าเจ้า ยังไม่คลายโทสะอีก เรียกหลานสาวมาให้ทุกคนเห็นหน่อย ดูสิว่าเป็นเด็กหญิงเช่นไรจึงทำให้เจ้าชอบขนาดนี้”
“วันเกิด? เขาอายุเท่าไรข้าลืมไปแล้ว ใครยังจำเรื่องประเภทนี้ได้ ฉลองวันเกิดก็ฉลองไปสิ ทำไมต้องมาด่าทอข้าด้วย ยิ่งแก่นิสัยก็ยิ่งประหลาด” จู๋ซวีอู๋จำไม่ได้เลยสักนิดว่าวันนี้เป็นวันเกิดของศิษย์พี่เจ้าสำนัก เรื่องประเภทนี้นอกจากคนที่ตั้งใจจำแล้วก็ไม่มีใครจำได้เลยสักนิด จากนั้นเขาก็บ่นพึมพำกวักมือเรียกจินเฟยเหยา
ยามนี้จินเฟยเหยากำลังใช้นิ้ววาดลวดลายบนเท้าแขนเก้าอี้ ไม่ได้ยินว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน ถึงอย่างไรก็รู้ว่าทะเลาะกันผ่านน้ำเสียงและอานุภาพกดดันอันเย็นเยียบที่เต็มไปด้วยไอสังหารเหล่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่เห็นว่าจู๋ซวีอู๋กำลังเรียก และตั้งอกตั้งใจขัดถูลวดลายบนเท้าแขนเก้าอี้เหล่านี้
“ผู้อาวุโสจู๋กำลังเรียกเจ้า” ศิษย์ขั้นหลอมรวมด้านข้างนางกลับนั่งไม่ไหว กระซิบเตือนจินเฟยเหยา จู๋ซวีอู๋กวักมือมาทางนาง ถ้าไม่เตือนคนด้านข้างผู้นี้จะถูกเขากล่าวโทษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เรียกข้า?” พอจินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมอง จู๋ซวีอู๋กำลังกวักมือเรียกนางอยู่จริงๆ
มีเรื่องอะไรอีกล่ะ…จินเฟยเหยายืนขึ้นอย่างไม่ยินยอม เค้นรอยยิ้มบนใบหน้าออกมาแล้วเดินไปหา
หลังจากนางเดินไปถึงข้างกายของจู๋ซวีอู๋ จู๋ซวีอู๋ก็ชี้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่รอบด้านพลางเอ่ยว่า “เสี่ยวเหยา ต่อไปคนเหล่านี้คือท่านลุงและท่านอาของเจ้า ยังมีหลายท่านนี้คือท่าน ถ้าไม่มีข้าวกินก็ไปกินข้าวฟรีที่บ้านพวกเขาได้”
“ซวีอู๋ เจ้าพูดอะไรอย่างนั้น กินข้าวฟรีอะไรกัน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมยังรับประทานอาหารอะไรอีก ข้ามีผลไม้เซียนอยู่บ้าง มาได้ทุกเมื่อนะ แต่อย่าเรียกข้าว่าท่านป้าเลย เรียกข้าว่าเจินเหรินก็พอ” เมี่ยวอวี่เจินเหรินดึงมือของจินเหยาขึ้นพลางเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม ถ้าให้คนเรียกตนเองว่าท่านป้า อย่างนั้นตายเสียดีกว่า ศิษย์น้องจู๋น่าชังจริงๆ
“อืม ข้าทราบแล้ว ต่อไปข้าจะไปหาเจินเหรินบ่อยๆ ถึงตอนนั้นเจินเหรินอย่าลืมนำของกินมารับรองข้า ถ้ากินเยอะท่านห้ามไล่ข้าไปนะ” ตอบรับคำเชิญของผู้อื่นไปตามเรื่อง ทำท่าทางของผู้เยาว์ได้อย่างสมบูรณ์
เมี่ยวอวี่เจินเหรินปิดปากหัวเราะ “หากมิใช่เจ้าบรรลุขั้นหลอมรวมแล้ว ข้ายังนึกว่าเจ้าอายุไม่ถึงยี่สิบจริงๆ พูดจาน่ารักยิ่ง”
“นางน่ารักจริงๆ ต่อไปข้าจะให้นางไปหาพวกท่านบ่อยๆ ห้ามซ่อนชาฝูหรงของพี่รองนะ ต้องนำออกมาดื่ม” จู๋ซวีอู๋ยืนยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ด้านข้าง
“เอาละ ในเมื่อมากันพร้อมหน้าแล้ว ทุกคนพูดคุยพลางเริ่มนั่งที่รับประทานอาหารเถอะ ศิษย์น้องจู๋ออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์หกสิบปี คาดว่าคงพบเจอเรื่องแปลกประหลาดไม่น้อย ถึงตอนนั้นก็เล่าให้คนเฒ่าอย่างพวกเราฟังบ้าง” ฉือชางเจินเหรินลุกขึ้นกล่าววาจา
เริ่มนั่งที่รับประทานอาหาร! จินเฟยเหยายิ้มแย้มจนตาหยีทันที โชคดีจริงๆ เพิ่งมาถึงก็มีงานเลี้ยงให้ดื่มกิน หรือว่าจะเป็นเช่นที่พี่จู๋บอกจริงๆ วันหนึ่งมีงานเลี้ยงสองสามงานให้รับประทาน
จินเฟยเหยาค้นพบว่าตอนนี้อาหารที่นางกินลงไปถูกสูบออกไปจากในท้องจนว่างเปล่าอย่างอธิบายไม่ได้ อาหารเหล่านั้นกลายเป็นปราณวิญญาณดูดซึมเข้าในร้อยช่องชีพจร จากนั้นหลอมรวมลงสู่ห้วงการรับรู้ แล้วค้นพบว่าพลังการบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ไม่ต้องนั่งฝึกบำเพ็ญ ขอเพียงกินอาหารก็จะมีพลังการบำเพ็ญเพียร
อีกทั้งหลังจากเห็นหยวนอิงของหวาหวั่นซีเป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวหนึ่ง จินเฟยเหยาก็รู้แล้วว่าจินตันที่ตนเองควบรวมออกมาไปที่อยู่ใด ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมแต่ละคนล้วนควบรวมจินตันออกมาเม็ดหนึ่งในห้วงการรับรู้ ขณะที่เลื่อนเป็นขั้นกำเนิดใหม่จินตันเม็ดนี้ก็จะกลายเป็นหยวนอิง หลังจากนางเจี๋ยตันก็หาจินตันของตนเองไม่พบมาตลอดว่าอยู่ที่ใด ตอนนี้รู้แจ้งแล้ว จินตันของตนเองน่าจะเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ ที่หน้าตาเหมือนเทาเที่ยตัวนั้น
ตามการคาดเดาของจินเฟยเหยา ถ้าทำแบบนี้ต่อไป หลังจากตนเองเลื่อนเป็นขั้นกำเนิดใหม่ก็เป็นไปไม่ได้ที่หยวนอิงจะเป็นทารกที่หน้าตาเหมือนตนเอง ทว่าเป็นเทาเที่ยสีดำสนิทและอวบอ้วนตัวหนึ่ง
นางไม่ห่วงเลยสักนิดว่าจินตันจะเป็นอย่างไร อย่างเลวร้ายที่สุดคือเข้าสู่หนทางมารกลายเป็นสัตว์ประหลาด ขอเพียงมีชีวิตอยู่ถึงกลายเป็นสัตว์ประหลาดก็ไม่กลัว ที่จริงจินเฟยเหยาคิดในแง่ดีขนาดนี้ เพราะนางไม่รู้ว่าเทาเที่ยตัวนี้ปรากฏขึ้นได้อย่างไร อีกทั้งนางยังไม่กล้าไปสอบถามคนอื่น ถ้าถูกคนพบว่าภายในร่างของนางมีเทาเที่ย มีแต่สวรรค์จึงรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ไม่มีทางเลือก นอกจากยอมรับไว้นางยังจะทำอย่างไรได้ อีกทั้งตอนนี้สิ่งที่จินเฟยเหยาเป็นห่วงที่สุดไม่ใช่จินตันที่เปลี่ยนเป็นสัตว์น่าชัง ทว่าเป็นในงานเลี้ยงนี้คงไม่ได้มีเพียงผลไม้กับสุราแต่ไม่มีเนื้อกินหรอกนะ
……………………………….