คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 220 ปิดกิจการ
ที่นี่มีคนมากเกินไป จู๋ซวีอู๋ไม่ได้ปรากฏตัวบ่อยๆ ศิษย์เหล่านี้จึงไม่รู้จักเขา พลังการบำเพ็ญเพียรแตกต่างกันมากไป ไม่มีใครมองพลังการบำเพ็ญเพียรของเขาออกจึงไม่ได้คิดว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ในสายตาของพวกเขา คนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงที่สุด ณ ที่นั้นคือไป๋เจี่ยนจู๋และจินเฟยเหยา ไม่ได้สังเกตเห็นคนอื่นๆ
โต๊ะในโรงอาหารของสำนักตงอวี้หวงเป็นโต๊ะตัวยาว โต๊ะแต่ละตัวนั่งได้ยี่สิบคน เนื่องจากศิษย์ขั้นฝึกปราณมีมากเกินไป อาหารส่วนมากจึงใช้กล่องบรรจุและให้กระเรียนเซียนไปส่ง คนที่มากินข้าวที่โรงอาหารทุกวันคือศิษย์ที่มาฟังผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานบรรยาย
เมื่อจู๋ซวีอู๋แหวกฝูงชนออกอย่างยากเย็น และเบียดเข้าไปในประตูใหญ่โรงอาหารก็เห็นจินเฟยเหยากำลังนั่งใกล้ห้องครัว เบื้องหน้าเป็นข้าวที่ใช้ชามขนาดยักษ์บรรจุ บนพื้นเป็นถังข้าวอันว่างเปล่าใบแล้วใบเล่า
พั่งจื่อและต้านิวก็นั่งบนเก้าอี้ยาวอย่างเอาจริงเอาจัง ด้านหน้ามีชามขนาดยักษ์เช่นเดียวกัน เลียนแบบจินเฟยเหยาที่กำลังก้มหน้าจ้วงอาหาร
“ถอยหน่อย อาหารมาแล้ว!” ศิษย์ในห้องครัวตะโกนอย่างตื่นเต้น ยกอาหารที่ใส่ในอ่างล้างผักขนาดใหญ่มาและวางอ่างล้างผักขนาดใหญ่สี่ใบลงบนโต๊ะ
ชายชราร่างอ้วนขั้นสร้างฐานอายุห้าสิบกว่าปีที่เปลือยอกผู้นี้ ตบอกเอ่ยอย่างห้าวหาญ “เจ้ากินได้อย่างเต็มที่ ที่นี่ไม่มีคนในตระกูลทรมานเจ้า และไม่มีสำนักที่ใจดำใจร้าย สำนักตงอวี้หวงเราเลี้ยงเจ้าไหว เจ้ากินให้อิ่มอย่างวางใจเถอะ”
คนผู้นี้คือเว่ยอี้ พอดีเป็นหัวหน้าผู้ดูแลอยู่ในโรงอาหารของตำหนักฉวนฝ่า เขาไม่ชอบฝึกบำเพ็ญมาตลอดชีวิต เพียงชอบอาหารอร่อย หลังสร้างฐานแล้วจึงใช้เวลาทั้งหมดค้นคว้าด้านอาหารเลิศรส พลังการบำเพ็ญเพียรจึงรุดหน้าอย่างเชื่องช้ายิ่ง
คนเช่นนี้เหมาะสมจะเป็นศิษย์ทำธุระที่สุด ไม่รู้สึกว่าการรับภาระหน้าที่กินเวลาฝึกบำเพ็ญเพียร ถ้าให้พวกชอบฝึกบำเพ็ญและไม่ชอบทำธุระแบบไป๋เจี่ยนจู๋ไปทำงานจิปาถะ เป็นไปได้ว่าไม่กี่วันก็ทำเสียเรื่อง
ศิษย์พี่หลิวยืนอยู่ด้านข้างเว่ยอี้ เช็ดหางตาเอ่ยอย่างห่วงใยเช่นกัน “เจ้าค่อยๆ กิน ไม่ต้องรีบ น่าสงสารจริงๆ”
“พูดเรื่องอะไร ใครทรมานนาง?” จู๋ซวีอู๋มองอย่างไม่เข้าใจ มีอะไรหรือ ที่แท้ทำอะไรอีก คิดไม่ถึงว่าจะให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณและขั้นสร้างฐานสงสารและเห็นใจผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมได้
ไม่รอให้เขาไปหาไป๋เจี่ยนจู๋และถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไป๋เจี่ยนจู๋ก็เบียดมาอยู่ข้างกายเขาอย่างสงบนิ่งแล้ว “ซือจู่ ท่านมาแล้ว”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” จู๋ซวีอู๋เอ่ยถามอย่างงุนงง
ไป๋เจี่ยนจู๋มีสีหน้าจนปัญญา ได้แต่เล่าให้จู๋ซวีอู๋ฟังอย่างช้าๆ ที่แท้หลังจากพวกเขามาโรงอาหาร จินเฟยเหยาก็โยนพั่งจื่อและต้านิวออกมา เลือกนั่งโต๊ะที่ติดกับห้องครัวที่สุดเตรียมตัวกินอย่างเต็มที่
ศิษย์เหล่านั้นยังไม่ได้ยินเรื่องที่เมื่อวานจินเฟยเหยากินงานเลี้ยงของเจ้าสำนักอย่างสิ้นเปลือง และทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมสองคนที่ทำอาหารหมดสติไปทันที ดังนั้นเพียงถือเป็นผู้อาวุโสขั้นหลอมรวมมาตรวจสอบโรงอาหาร คิดไม่ถึงว่าหลังผู้อาวุโสท่านนี้นั่งลงก็ไม่จากไป จะกินอาหารกับพวกเขา
ถึงอย่างไรเว่ยอี้ก็เป็นผู้ดูแล เข้าใจทันทีว่าคนผู้นี้คือใครจึงไม่กล้าล่วงเกิน และรีบยกอาหารขึ้นโต๊ะอย่างรวดเร็ว
ราวกับคิดจะสร้างรากฐานให้ต่อไปตนเองได้อาศัยกินระยะยาว จินเฟยเหยาจึงกินพลางเล่าชีวิตวัยเยาว์อันแสนเศร้าของตนเอง ฟังแล้วก็ทำให้คนปวดใจ คนในตระกูลไม่ให้เจ้ากินข้าว หิวโหยจนผอมเหลือแต่กระดูก ได้แต่เก็บอาหารสุนัขกิน หลังขั้นฝึกปราณเข้าสู่สำนัก แต่ละวันถ้าตัดฟืนไม่ได้ห้าร้อยชั่งก็ห้ามกินข้าว ทั้งยังต้องช่วยบรรดาศิษย์พี่ล้างเท้า ซักเสื้อผ้ากวาดลานบ้าน ทำงานไม่ว่ายังต้องถูกทุบตีตลอด
เดิมทีศิษย์พี่หลิวเป็นคนมีเมตตา ได้ยินแล้วก็ตาแดงก่ำตรงนั้นทันที เอ่ยโน้มน้าวจินเฟยเหยาไม่หยุดให้กินเยอะๆ หน่อย ท่าทางการกินของจินเฟยเหยาทำให้คนตกตะลึง ครู่หนึ่งก็ดึงดูดให้ศิษย์ขั้นฝึกปราณเหล่านี้รู้สึกว่าต้องเป็นเคล็ดวิชาอันสูงส่งและลึกล้ำบางอย่างแน่ จึงบอกต่อๆ กัน จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อยแล้วทั้งหมดก็รวมตัวกันมา ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานได้ยินเรื่องเมื่อวานนานแล้ว จึงเร่งรุดมาดูเทพแห่งการกินท่านนี้โดยเฉพาะว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร
ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่เชื่อคำพูดของจินเฟยเหยาเลยสักนิด ถ้าแสนเศร้าขนาดนั้นจริง ตอนนางเล่ายังกินข้าวลงไปสิบกว่าถังได้อย่างไร?
“นางต้องพูดจาเหลวไหลแน่ อย่างนางหรือจะถูกรังแกจนเป็นเช่นนี้ได้? ไม่เอาสิ่งมีพิษใส่ในผ้านวมของคนในตระกูลก็นับว่าดีแล้ว ยังมีบรรดาศิษย์พี่ในสำนักที่รังแกนาง ต่อให้รังแกจริง แปดส่วนคงเป็นเพราะนางทำเรื่องชั่วก่อน” จริงเสียด้วย หลังจู๋ซวีอู๋ได้ฟังก็เอ่ยอย่างดูแคลนเช่นเดียวกัน
มองจินเฟยเหยากินอยู่ครู่หนึ่ง จู๋ซวีอู๋พลันรู้สึกเบื่อหน่าย คิดจะไปคุยกับศิษย์พี่เมี่ยวอวี่ขอยืมรถเฟิ่งเฉามาเล่นสักหลายวัน ถ้าไม่ให้ยืมจะส่งจินเฟยเหยาไปกินข้าวที่บ้านนาง เมื่อวานนางเพิ่งบอกว่ายินดีต้อนรับจินเฟยเหยาทุกเมื่อ
จู๋ซวีอู๋หัวเราะหึๆ เบียดออกจากกลุ่มคนไปหาเมี่ยวอวี่เจินเหรินผู้โชคร้าย
ส่วนไป๋เจี่ยนจู๋เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องของเขาแล้วจึงแอบมุดออกมาจากกลุ่มคนกลับไปปิดด่านกักตน เขาไม่คิดจะสนิทสนมกับจินเฟยเหยามากกว่านี้ ติดต่อกันน้อยๆ ได้เป็นดี ไม่มีอะไรก็ไม่อยากเป็นฝ่ายไปหานาง อย่าเห็นว่าจินเฟยเหยากำลังกินอย่างตั้งอกตั้งใจ ในใจกลับเริ่มคิดคำนวณแต่แรก
อาหารในโรงอาหารลงท้องของนางก็กลายเป็นปราณวิญญาณเล็กน้อยทันที ถึงจะเป็นอาหารที่มีพลังวิญญาณ ทว่ายังห่างไกลจากอาหารในงานเลี้ยงของเจ้าสำนักไม่ใช่แค่เพียงหนึ่งขั้น ข้าวสวยหลิงกู่[1]ในถังสูงสามฉื่อลงท้องไป พลังวิญญาณที่ได้ออกมามีน้อยนิดเท่าเส้นผมสามสี่เส้น ต่อให้บวกอาหารในอ่างล้างผักเหล่านี้ กินไปหนึ่งวัน พลังวิญญาณที่ดูดซับก็ใกล้เคียงกับประสิทธิภาพที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมธรรมดานั่งสมาธิหนึ่งวัน
ผู้อื่นนั่งไม่ขยับเขยื้อน ดูดซับปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินเล็กน้อยหรือเพิ่มยาและศิลาวิญญาณ จึงสามารถเพิ่มพลังการบำเพ็ญเพียรขนาดนี้ได้ ทว่าตนเองนั่งกินอาหารมากมายอยู่ที่นี่เจอข้าวแข็งเนื้อเหนียวยังเคี้ยวจนปวดกราม ระหว่างนี้ยังต้องทนถูกคนมุงดู เพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรได้เล็กน้อยแค่นี้คำนวณอย่างไรก็ไม่คุ้ม
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่คุ้ม จินเฟยเหยาพลันหยุดลง เช็ดปากและทักทายทุกคน แล้วหาทางกลับยอดเขาซวีชิงเองท่ามกลางสายตาแปลกใจของคนทั้งหมด
พอนางกลับมาถึงห้องฝึกบำเพ็ญในตึกหลิงหลงก็หยิบยาเม็ดหนึ่งออกมากินแล้วเริ่มใช้วิธีฝึกบำเพ็ญแบบปกติฝึกบำเพ็ญ
ทว่านางเพิ่งนั่งได้หนึ่งชั่วยามกว่า ท้องก็เริ่มส่งเสียงร้องโครกคราก และยังมีความรู้สึกหิวจนคลื่นไส้พุ่งขึ้นมา ทรวงอกอึดอัด แม้แต่สัตว์สีดำตัวน้อยๆ ในห้วงการรับรู้ยังเหาะขึ้นกลางอากาศและร้องคำรามไม่พอใจอย่างต่อเนื่อง
“ถุย นี่มันเรื่องอะไรกัน” จินเฟยเหยาทรมานอยู่ครู่หนึ่งจึงยืนขึ้น เรียกพั่งจื่อและต้านิวมาอย่างดุร้าย “ไป! ข้าจะไปกินให้สำนักตงอวี้หวงล่มจม ถ้ายังไม่กินอีก เกรงว่าต้องกินคนแล้ว”
เว่ยอี้และศิษย์พี่หลิวไม่ได้รู้สึกประหลาดใจที่จินเฟยเหยากลับมาใหม่ พวกเขาสองคนมองแวบเดียวก็รู้และยิ้มอย่างกระหยิ่ม ก่อนหน้านี้หลังจินเฟยเหยาจากไปกะทันหัน พวกเขาสองคนยังเคยหารือกันว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมคนนี้คงกินไม่อิ่ม อาจจะเพิ่งมาสำนักตงอวี้หวงจึงกินอย่างเกรงใจ ผ่านไปไม่นาน ถ้าหิวต้องกลับมากินอีกแน่
ใครให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่ชื่อจินเฟยเหยาคนนี้บอกว่า เนื่องจากตอนเด็กๆ หิวมากเกินไป ตอนนี้ขอเพียงไม่กินอาหารทุกวันก็จะหิวจนทรมาน ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมคนอื่นๆ ที่งดอาหารได้โดยสิ้นเชิง ต่อให้งดอาหารโดยสิ้นเชิงไม่ได้ท้องก็ไม่หิวโหย เพียงดื่มชาจิบสุราเล่นๆ เท่านั้น
หนึ่งวันผ่านไป เว่ยอี้และศิษย์พี่หลิวรู้สึกยินดีที่สามารถกรอกท้องของจินเฟยเหยาจนอิ่ม สามวันผ่านไป เว่ยอี้รู้สึกว่าโรงอาหารไม่ไหวแล้ว ปริมาณงานดูเหมือนจะมากเกินไป เจ็ดวันผ่านไป เว่ยอี้พบว่าวัตถุดิบอาหารที่เตรียมไว้สองเดือนหมดแล้ว หนึ่งเดือนต่อมา เว่ยอี้ทำหน้าอมทุกข์ไปหาผู้อาวุโสของตำหนักฉวนฝ่าเพื่อขอศิลาวิญญาณ ในโรงอาหารไม่มีศิลาวิญญาณแม้แต่ครึ่งก้อน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณทั้งหมดต้องเผชิญหน้ากับความหิวโหย วันหนึ่งในอีกสามเดือนต่อมา ผู้อาวุโสของตำหนักฉวนฝ่านำป้ายหยกบัญชีมาถึงตำหนักเซียวเทียน ต้องการให้เจ้าสำนักนำศิลาวิญญาณจากในคลังสำนักมาซื้ออาหารให้โรงอาหาร
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายพันปี ฉือชางเจินเหรินมองรายการบัญชีเหล่านั้น ตกตะลึงอย่างหนักจนหน้าถอดสีทันที ถ้ายังกินแบบนี้ต่อไป ใช้เวลาไม่ถึงสิบปีสำนักตงอวี้หวงคงต้องขายบ้านประทังชีวิต
ในใจฉือชางเจินเหรินเกิดโทสะขึ้นตบโต๊ะดังปัง ตัดสินใจปิดโรงอาหาร อาหารของศิษย์ขั้นฝึกปราณทั้งหมดให้แต่ละคนแก้ปัญหาเอาเอง โรงอาหารจะไม่มีอาหารฟรีให้อีกต่อไป ในใจเขาอดหัวเราะไม่ได้ ข้าปิดโรงอาหารแล้ว ดูสิว่าเจ้ายังจะไปกินข้าวที่ใดได้อีก!
จินเฟยเหยายังไม่รู้เรื่องนี้ ยามนี้กำลังอยู่หน้าตึกหลิงหลงรับนกปีกสวรรค์ที่ปล่อยให้บินไปหลายเดือนมา
เห็นนกปีกสวรรค์ตัวนี้บินไปหลายเดือนจึงกลับมา นางก็ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ “ยังบอกว่านกปีกสวรรค์ตัวนี้บินได้เร็วอีก หลายเดือนแล้วเพิ่งกลับมา ข้ายังนึกว่าถูกตัวอะไรข้างนอกกินไปแล้วเสียอีก”
จินเฟยเหยายกมือขึ้นให้นกปีกสวรรค์ร่อนลงบนมือ จากนั้นดึงแท่งหยกจากเท้าของมันลงมา ใช้การรับรู้กวาดดูด้านใน เห็นในนั้นมีตัวอักษรลอยออกมาหลายตัว “มีชีวิตอยู่ สบายดี กินดีอยู่ดี เหมือนกับเจ้า”
อ่านอย่างละเอียดกลับพบว่าด้านในไม่มีเนื้อหาอื่นๆ จินเฟยเหยาก็มีโทสะ อยู่ดีกินดีเหมือนกับข้า ข้าใช้แรงงานมาหกสิบปี ทั้งยังถูกขังไว้ในเจตจำนงหกเหลี่ยมตั้งหลายปี เกือบจะกลับมาไม่ได้ ตอนนี้ดียิ่ง ไม่ถามสภาพการณ์ของข้าสักคำ คิดไม่ถึงว่ายังพูดซ้ำเติมอีก
จินเฟยเหยายิ่งคิดก็ยิ่งมีโทสะ ใช้การรับรู้เขียนลงไปในแท่งหยก “ท่านลุงของเจ้าเป็นคนวิปริต ขังข้าไว้ตั้งหลายปี เจตจำนงหกเหลี่ยมนั่นไม่ใช่สถานที่ที่คนจะอยู่ได้ ถ้าเจ้ายินยอมข้าอยากเชิญเจ้าเข้าไปอยู่หลายๆ วัน อีกทั้งเจ้าหมอนั่นยังทุบตีข้า ไม่ให้ข้ากินข้าว บังคับให้ข้าใช้แรงงานตั้งหกสิบปี สุดท้ายหลังจากหลอกใช้ข้าเสร็จ ก็ใช้ฝ่ามือตบข้าไป ตอนนี้ร่างกายและจิตใจของข้าบาดเจ็บสาหัส สาเหตุเกิดจากเจ้าพาข้าไปกินข้าวที่บ้านเจ้า เพื่อชดเชยให้ข้า ข้าตัดสินใจให้เจ้าเลี้ยงข้าสิบปี ตอนนี้ข้าอยู่สำนักตงอวี้หวง รีบมารับข้า”
หลังเขียนเสร็จ นางก็ใส่แท่งหยกลงบนขาของนกปีกสวรรค์ คิดจะปล่อยให้มันบินไป ทว่านกปีกสวรรค์บินมาหลายเดือนจึงกลับมา จะยอมออกไปโดยไม่ดื่มน้ำสักอึกได้อย่างไร มันคอตกร่วงใส่หัวต้านิวแบบมีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรง และฉวยโอกาสหลับไป
“หลับไปแล้ว?” จินเฟยเหยารู้สึกเหมือนตนเองลืมเรื่องบางอย่างไป จึงหยิบกระดาษที่ปู้จื้อโหยวเขียนในตอนนั้นออกมาอ่าน จึงพบว่าบนนั้นมีคำพูดบรรทัดหนึ่งที่นางไม่ได้สังเกตมาตลอด นกปีกสวรรค์บินครั้งหนึ่งต้องพักผ่อนหนึ่งเดือน
มิน่าเล่าจึงใช้เวลานานกว่าจะกลับมา กลายเป็นว่าไปอาศัยอยู่กินกับปู้จื้อโหยวมาหนึ่งเดือน! พอคิดถึงตรงนี้ จินเฟยเหยาก็ยิ่งมีโทสะ รู้ชัดๆ ว่าต้องใช้เวลานานขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะนำคำพูดกลับมาเพียงประโยคเดียว ทว่าตัวนางเองกลับลืมไป ตอนแรกที่นางเขียนจดหมายไปหาก็เขียนเพียงประโยคเดียวว่า เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?
เทียบกับคำพูดประโยคนั้นของนาง จดหมายตอบกลับของปู้จื้อโหยวยังมีตัวอักษรมากกว่าตั้งหลายตัว
………………………………….
[1] หลิงกู่ คือ ธัญพืชวิญญาณ