คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 223 อนุภรรยาของท่านอ๋อง
ฝีมือสะเดาะกุญแจของจินเฟยเหยาย่ำแย่อย่างยิ่ง เรียนรู้จากปู้จื้อโหยวได้เพียงผิวเผิน เดิมทีคิดว่าหลังจากไปถึงภูเขาวั่นซั่นค่อยตั้งใจฝึกฝน น่าเสียดายเพิ่งไปถึงวันที่สองก็ถูกจอมมารหลงจับตัวไป
ที่จริงการเปิดกุญแจการป้องกัน เพียงใช้วัตถุจัดวางเป็นรูปวงเวทเล็กๆ บนการป้องกันแล้วให้หักล้างกันเอง
จินเฟยเหยาหยิบไม้วิญญาณและชิ้นเหล็กออกมากองหนึ่งวาดบนการป้องกันอยู่นาน ในที่สุดก็ปัดๆ มือลุกขึ้นยืน ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่ครึ่งวันนางยังเปิดกุญแจไม่ได้ สมควรจะใช้เรี่ยวแรงสัตว์ป่าเปิดออกนานแล้ว ยังจะใช้ฝีมืออะไรอีก
“เปิดนะ!” เห็นรอบด้านไร้ผู้คน นางก็กำหมัด พลังวิญญาณสีดำพุ่งขึ้นแล้วต่อยลงไปบนการป้องกัน
แสงสีขาวและสีดำปะทะกันจนสาดส่องไปรอบด้าน กุญแจการป้องกันค่อยๆ เปิดออก จินเฟยเหยาตบยันต์ซ่อนกายลงบนตัว ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชาแล้วเดินเข้าไป
หลังจากย่างเข้าไปในการป้องกัน การป้องกันที่ถูกบังคับให้เปิดออกก็ปิดเข้าหากันอีกครั้ง ด้านในเป็นอุโมงค์ที่สร้างขึ้นจากก้อนอิฐทั้งสาย ตรงมุมด้านหน้ายังมองเห็นว่ามีคนโผล่ศีรษะออกมาดูอย่างรวดเร็ว จากนั้นหายแวบเข้าไปในมุมอีก
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีวิธีทำลายการซ่อนกายหรือไม่ จินเฟยเหยาให้ทงเทียนหรูอี้กลายเป็นดาบขนาดใหญ่สองเล่ม และถือข้างละเล่ม แล้วเดินไปตรงมุมด้านหน้า
รอจนนางเดินไปถึงตรงมุมอย่างเงียบๆ และเอียงศีรษะมองอย่างระมัดระวัง ด้านหลังมุมมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสองคนนั่งยองๆ ชิดกำแพง คนนำหน้าผู้นั้นถือน้ำเต้าเล็กๆ สีเขียวที่ส่องแสงกระพริบ ดูแล้วเป็นสิ่งของที่มีระดับไม่ต่ำต้อย อย่างน้อยก็น่าจะเป็นของวิเศษชั้นล่าง ทว่ากระบี่บินที่คนผู้นั้นแบกอยู่บนหลังราวกับกำลังสั่นนิดๆ
คนทั้งสองสวมชุดแปลกประหลาดยิ่ง กลับมิใช่เสื้อผ้าที่แปลกอะไร ทว่าเป็นชุดข้ารับใช้ขุนนาง
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสวมชุดข้ารับใช้ขุนนาง ถ้าเดินออกไปต้องทำให้คนหัวเราะจนฟันร่วงแน่ หรือว่านี่คือคนของสำนักจวนอ๋อง เจ้าสำนักสนใจจะเป็นท่านอ๋องหรือคหบดี?
จินเฟยเหยาไม่ได้แหวกหญ้าให้งูตื่น เพียงยืนอยู่ห่างจากพวกเขาไม่ไกลนัก คิดจะดูสิว่าคนทั้งสองคิดจะทำอะไร จะได้ข้อมูลจากคำพูดหรือไม่
รออยู่นานก็ไม่เห็นพวกเขาสองคนมีความเคลื่อนไหว ตรงกันข้ามกลับเห็นพวกเขายิ่งตึงเครียดมากขึ้น
ผู้บำเพ็ญเซียนด้านหน้ากุมน้ำเต้าเล็กๆ แน่น ทั้งยังมีเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผาก คิ้วขมวดจนแทบจะผูกเข้าด้วยกัน ส่วนคนด้านหลังยิ่งมีปฏิกิริยารุนแรงเข้าไปใหญ่ ลมหายใจหนักหน่วง ไม่รู้ว่านั่งยองๆ นานเกินไปจนขาชาใช่หรือไม่ จึงยิ่งสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
“หลี่เอ้อร์ เพราะเหตุใดนางยังไม่เข้ามาอีก?” ผู้บำเพ็ญเซียนด้านหลังทนไม่ไหว ยื่นนิ้วมาจิ้มหลี่เอ้อร์ที่ถือน้ำเต้าอยู่ด้านหน้า
หลี่เอ้อร์ตกใจจนแทบกระโดด หันมาด่าทออย่างขุ่นเคืองเบาๆ “หวังอู่ เจ้าจิ้มข้าทำไม! ข้าตกใจแทบตาย!”
“ข้าเพียงอยากถามดู เพราะเหตุใดรออยู่นาน ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นหลอมรวมคนนั้นยังไม่เข้ามา” หวังอู่หดคอพลางเอ่ยถาม
“ไม่รู้! เจ้ารออยู่ดีๆ ได้หรือไม่ ถ้าพูดแบบนี้แล้วถูกนางได้ยินเข้าพวกเรายังมีชีวิตอยู่ได้หรือ!” หลี่เอ้อร์ถลึงตาใส่เขาอย่างอารมณ์ไม่ดี จากนั้นยื่นศีรษะออกไปมองการป้องกันตรงทางเข้าอีกครั้ง
หวังอู่เปลี่ยนท่านั่งยองๆ พลางเอ่ยเสียงเบาดังเดิม “ข้าไม่รีบ พวกเรารออยู่นานแล้ว อีกทั้งเมื่อครู่เพิ่งเกิดเสียงดังมิใช่หรือ แต่เพราะเหตุใดนางจึงไม่ยอมเข้ามา พวกเราก็ให้ความร่วมมือกับนางเปิดประตูแล้ว”
“เจ้าโง่ ไม่เข้ามาก็ยิ่งดี เจ้าคิดจะต่อสู้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมสักรอบหรือ?” หลี่เอ้อจ้องมองการป้องกันอยู่ตลอดเวลา เกรงว่าจะเกิดความผิดปกติ
หวังอู่เบ้ปากเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่อยากหรอก พอผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมลงมือพวกเราสองคนยังมีชีวิตอยู่หรือ เพียงแต่ท่านอ๋องไม่คิดแบบนี้ ดึงดันจะให้พวกเราจับตัวผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมคนนี้ ไม่เช่นนั้นใครอยากจะมา เจ้าอีกับลู่ลิ่วเจ้าเล่ห์นัก พาผู้บำเพ็ญเซียนร่างอ้วนขั้นสร้างฐานคนนั้นมาก่อน ทิ้งให้พวกเราสองคนจัดการกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม”
“อย่าปากมาก ขอเพียงนางเข้ามา เจ้าก็กระโดดออกไปดึงดูดความสนใจนาง จากนั้นข้าจะใช้น้ำเต้ามอมเมาจิตตรึงร่างนางไว้ แล้วใช้เชือกมัดเซียนมัดนางจะได้เสร็จสิ้นภารกิจ เพียงแต่เหตุใดนางยังไม่เข้ามา หรือว่าสตรีร่างอ้วนคนนั้นไม่สำคัญ หรือนางกลับไปนำกองหนุนมา?” หลี่เอ้อร์ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง โผล่ศีรษะออกไปดูการป้องกันนั้นต่อ
จินเฟยเหยาอดเกิดความสงสัยในสติปัญญาของคนทั้งสองไม่ได้ แผนการง่ายๆ แบบนี้ ยังกล้ามาจับตัวผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม แต่จากปากของพวกเขายังฟังออกว่าคนที่ให้พวกเขามาจับคนคือท่านอ๋องคนหนึ่ง เพียงแต่…โลกวิญญาณเป่ยเฉินไม่มีฮ่องเต้ เขตแดนทั้งหมดมีสำนักบำเพ็ญเซียนดูแล ท่านอ๋องคนนี้นับเป็นบุคคลของสำนักใด ต้องมีฮ่องเต้ ถึงจะมีท่านอ๋องได้
แต่น้ำเต้ามอมเมาจิตไม่เลวจริงๆ สามารถตรึงร่างผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมได้ ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ใจกล้าไม่เบา แต่จะจับข้าทำไม ข้าจำได้ว่าข้าไม่มีศัตรูนะ อีกทั้งผู้บำเพ็ญเซียนชื่อบ้านๆ แบบนี้ ตนเองต้องไม่รู้จักแน่ๆ ตั้งชื่อตามตัวเลข เป็นเจ้าอีหลี่เอ้อร์[1] ยังมีชื่อพวกจางซานเฉินซื่อใช่หรือไม่
ได้ยินหลี่เอ้อร์บอกว่านำกองหนุนมา หวังอู่ก็ร้อนใจรีบลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยว่า “นานขนาดนี้ยังไม่เข้ามา ต้องไปนำกองหนุนมาแน่ พวกเราไปดูข้างหน้าหน่อย ถ้านางไม่ได้อยู่ข้างนอก พวกเราก็รีบปิดการป้องกันดีกว่า”
หลี่เอ้อร์ครุ่นคิด เขาก็ไม่อยากเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมตรงๆ จึงเห็นด้วยกับความคิดของหวังอู่
คนทั้งสองคลำทางไปถึงข้างการป้องกันอย่างระแวดระวัง หยิบกระดาษยันต์ที่ส่องแสงสีขาวใบหนึ่งติดลงบนการป้องกัน การป้องกันที่ส่องแสงสีขาวมาตลอดเปลี่ยนเป็นโปร่งใสเผยให้เห็นสภาพด้านนอก
ในตรอกว่างเปล่า ไม่มีเงาคนเลยสักนิด ทั้งสองคนระบายลมหายใจโล่งอก ท่าทางผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมจะไปแล้วจริงๆ ในเวลานี้เอง ภายนอกตรอกพลันมีเสียงฝีเท้าวิ่งห้อดังมาทำให้คนทั้งสองตกใจจนลนลาน หรือว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมพาคนมา?
จากนั้นก็เห็นเด็กชายน้ำมูกไหลย้อยคนหนึ่งวิ่งลากว่าวมา หยุดตรงปากซอยแล้วเข้ามาปัสสาวะในซอย จากนั้นสูดน้ำมูกและวิ่งลากว่าวอีกครั้ง
“เจ้าเด็กบ้า ทำให้ข้าตกใจหมด” หวังอู่ยังเอ่ยอย่างหวาดกลัวไม่หาย
เมื่อครู่หลี่เอ้อร์ก็ถูกทำให้ตกใจ หลังเห็นว่าเป็นเด็กน้อยก็รู้สึกมีโทสะทันที เอ่ยอย่างเดือดดาล “ไม่จับแล้ว กลับไปก็บอกท่านอ๋องว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมคนนั้นจากไปแล้ว ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไร ไปฟังคำพูดของราชครูสุนัขนั่น อยากจับผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นหลอมรวมเป็นๆ คิดจะส่งพวกเราไปตาย ขังสตรีไว้เต็มบ้านแล้ว ขอเพียงสามารถให้กำเนิดเด็กน้อย พลังการบำเพ็ญเพียรขั้นใดก็เหมือนกัน!”
“เบาเสียงหน่อย ถูกราชครูได้ยินจะยุ่ง” หวังอู่รีบมองซ้ายมองขวา ใช้ข้อศอกกระทุ้งเขา
“ฮึ! คนชั่วช้าได้ดี ไปเถอะ” หลี่เอ้อร์ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา คลำด้านล่างการป้องกัน หยิบจานวงเวทชิ้นหนึ่งขึ้น
หลังจานวงเวทถูกเขาเก็บไป กุญแจการป้องกันก็หายตามไปด้วย ต่อให้มีคนมาในซอย และพังกำแพงนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหาอุโมงค์นี้พบอีก
ต่อมา จินเฟยเหยาแอบตามหลังพวกเขาสองคนไป และเดินผ่านทางเดินศิลาที่ราวกับเขาวงกต เจ็ดลดแปดเลี้ยว บางครั้งยังต้องลงบันได จินเฟยเหยาตามพวกเขาไปยิ่งเดินยิ่งลงไปข้างล่าง สุดท้ายออกจากทางเดินศิลามาถึงถ้ำใต้ดินขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง
ถ้ำนี้สูงเกือบสามสิบกว่าจั้ง กว้างร้อยจั้ง กลางถ้ำมีหลุมลึกที่เต็มไปด้วยลาวาแห่งหนึ่ง ลาวาสีแดงเพลิงด้านในกระเพื่อมไม่หยุด กลางลาวาเผยให้เห็นบางอย่างสีขาว ดูราวกับเป็นกระดูกสัตว์ปิศาจขนาดใหญ่ เนื่องจากเผยให้เห็นเพียงเล็กน้อย จินเฟยเหยาจึงจำไม่ได้ว่าเป็นกระดูกของสัตว์อะไร
ในหลุมลึกมีตึกสามชั้นสร้างจากศิลาอย่างประณีตหลังหนึ่ง มีแท่นราบกว้างสองจั้งยื่นออกมาจากตึกเล็กๆ ตั้งอยู่เหนือลาวา เวลานี้ในตึกยังมีเสียงเจิง[2]ดังมา ยังมีเสียงสตรีแปลกๆ กำลังร้องเพลงประหลาด
ส่วนบนกำแพงถ้ำกลับมีถ้ำหลายร้อยถ้ำราวกับรังผึ้ง ปากถ้ำทั้งหมดใช้รั้วเหล็กที่หลอมสร้างขึ้นล็อกไว้ ด้านหลังรั้วเหล็กจำนวนมากล้วนเป็นสตรีคนหนึ่ง ยื่นมือออกมาในสภาพผมเผ้ากระจายยุ่งเหยิง ร้องตะโกนโหยหวน ไม่เข้ากับเสียงเจิงในตึกอย่างยิ่ง
พอจินเฟยเหยาฟังอย่างละเอียดพบว่าเสียงร้องตะโกนของพวกนางแบ่งเป็นสองประเภท พวกหนึ่งกำลังร้องตะโกนช่วยด้วย ปล่อยข้าออกไป ส่วนที่อีกพวกหนึ่งตะโกนกลับทำให้นางรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง ถึงกับตะโกนว่าเจ้าเดรัจฉาน เจ้าต้องถูกกรรมตามสนอง ถ้าถูกคนกักขังแล้วอีกฝ่ายถูกกรรมตามสนองคงน่าเบื่อเกินไป
อีกทั้งสตรีเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียน นอกจากขั้นฝึกปราณ ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานนิดหน่อย ที่นี่อยู่ใต้ดิน ดังนั้นนอกจากลาวาสีแดงเพลิง ในถ้ำยังแขวนหินแสงราตรีขนาดใหญ่น้อยไว้จำนวนมาก พวกถ้ำที่ถูกรั้วเหล็กล็อกไว้ก็ไม่ยกเว้น มีคนอาศัยอยู่ก็ฝังหินแสงราตรี ดังนั้นพอจินเฟยเหยากวาดตามองก็ดูออกว่าถ้ำที่นี่ล้วนขังผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเอาไว้ แต่ในถ้ำมากมายก็ไม่มีคนร้องตะโกนตรงปากถ้ำ น่าจะถูกขังจนชินแล้ว
“ข้าเป็นคนของสำนักตงอวี้หวง พวกเจ้าใจกล้ามาก รีบปล่อยข้าออกไปนะ! ได้ยินหรือไม่! รีบปล่อยข้าออกไป!” ในถ้ำที่อยู่ใกล้ด้านล่างแห่งหนึ่งมีสตรีร่างอวบอ้วน ดึงและเขย่ารั้วเหล็กอย่างต่อเนื่อง
พอจินเฟยเหยามองดู เป็นอวี้จูพอดี
เห็นเสียงนางสดใส ใบหน้ามีเลือดฝาด มืออวบอ้วนดึงรั้วเหล็กจนส่งเสียงดัง ท่าทางจะไม่ได้ถูกทารุณอย่างไร้มนุษยธรรม แต่เป็นไปได้ว่ายังไม่ได้เริ่มทารุณ
“สำนักตงอวี้หวงนับเป็นตัวอะไร ท่านอ๋องของพวกเราเป็นสายเลือดราชวงศ์อย่างแท้จริง เป็นทายาทของต้งหวง[3]เมื่อหมื่นปีก่อน ให้พวกเจ้ามาเป็นอนุภรรยานับเป็นบุญวาสนาของพวกเจ้าแล้ว เจ้ายังอาละวาดอีก ตั้งใจรับใช้ท่านอ๋องของพวกเราให้ดี ให้กำเนิดเด็กออกมามากๆ ตอบแทนความเมตตาที่ท่านอ๋องมีต่อพวกเจ้า” ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสองคนที่สวมชุดบ่าวรับใช้ขุนนางเช่นเดียวกันยืนอยู่นอกถ้ำ น่าจะเป็นเจ้าอีกับลู่ลิ่วที่หวังอู่เอ่ยถึงก่อนหน้านี้กำลังข่มขู่อวี้จูอย่างดุร้าย
“ถุย!” น้ำลายของอวี้จูถ่มไปบนใบหน้าลู่ลิ่ว “ทายาทราชวงศ์อะไร! นั่นเป็นตัวอะไร! อยากจะให้ข้าเป็นอนุภรรยา ฝันไปเถอะ ชาติหน้าก็เป็นไปไม่ได้! รีบปล่อยข้าออกไป ไม่เช่นนั้นจะให้เจ้าได้เห็นดี!”
“เจ้าเก็บแรงเอาไว้เถอะ อีกเดี๋ยวค่อยไปใช้บนเตียง” ลู่ลิ่วเช็ดน้ำลายบนใบหน้า เอ่ยอย่างดูแคลน “มิใช่ไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า ใช้เวลาไม่นาน ก็ยังขึ้นเตียงท่านอ๋องของพวกเราแต่โดยดี ดูสิว่าเจ้าจะยังปากแข็งได้นานเพียงใด สำนักตงอวี้หวงนับเป็นตัวอะไร ตอนนั้นหลายสิบสำนักร่วมมือกันมาค้นหาพวกเรายังต้องกลับไปมือเปล่าเช่นกัน แค่สำนักตงอวี้หวงสำนักเดียวจะทำอะไรได้ ขนาดประตูก็ยังหาไม่เจอ”
อวี้จูเข้าใจขึ้นมา ที่แท้ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีทั้งหมดที่หายตัวไปรอบเมืองเซียนเหม่ยถูกคนเหล่านี้จับตัวไป
สตรีในถ้ำพวกนี้น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญสตรีที่หายสาบสูญทั้งหมด ค้นหาอยู่ร้อยปีก็ไม่พบ หรือว่าตนเองจะถูกขังไว้ที่นี่ตลอดไปจนกระทั่งตายสำนักก็ยังหาไม่พบ!
…………………………………….
[1] อี คือ หนึ่ง เอ้อร์ คือ สอง ซาน คือ สาม ซื่อ คือ สี่
[2] เจิง เป็นเครื่องดนตรีประเภทพิณ โบราณมีสิบสามหรือสิบหกสาย ปัจจุบันมียี่สิบห้าสาย พัฒนามาจากกู่ฉิน
[3] ต้งหวง แปลว่า จักรพรรดิต้งหวง