คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 229 ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง
บนถนนอี้ถิงที่คึกคักที่สุดในเมืองเซียนเหม่ย แต่ละวันต่างมีคนไปมาอย่างอึกทึก ตรงทางแยกใจกลางถนน ยังมีหอเฟยฮวาเจ็ดชั้นหลังหนึ่ง นั่งอยู่บนหอสามารถทอดสายตาชมทิวทัศน์เมืองเซียนเหม่ยทั้งหมดได้ ไกลๆ ยังมีเทือกเขาซึ่งทอดยาวต่อเนื่อง และผู้บำเพ็ญเซียนเหยียบอาวุธเวทบินผ่านเป็นประกายสดใสจับตาท่ามกลางแสงอาทิตย์
เวลานี้เป็นยามเที่ยงวันพอดี ในหอเฟยฮวามีแขกนั่งอยู่เต็ม พูดคุยและสนทนากันทุกเรื่อง ทันใดนั้น พื้นดินพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไม่รอให้คนในหอมีปฏิกิริยา พื้นก็พังถล่ม หอเฟยฮวาทั้งหลังร่วงลงมาทั้งคนทั้งหอ มีเสียงร้องอุทานอย่างตื่นตระหนกดังระงม
หอเฟยฮวาที่ยุบลงมาพลันหยุดลง เผยให้เห็นหลังคาตึกบนพื้น ถึงแม้ในตึกจะมีผู้บำเพ็ญเซียนอยู่จำนวนมาก ทว่าก็มีคนธรรมดาอยู่ไม่น้อย เสียงกรีดร้องในหอที่ติดอยู่ในดินซึ่งยุบตัวลงไปดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คนเดินถนนก็ตกใจที่แผ่นดินไหวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พากันถอยหลังไป จริงเสียด้วย หอเฟยเทียนที่ติดอยู่บนพื้นส่งเสียงครืนแล้วพังถล่มอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น มีหลายคนหลบไม่ทัน ร้องเสียงดังแล้วร่วงลงไป
หอเฟยฮวาและผิวถนนทั้งหมดพังถล่มลงไป เผยให้เห็นหลุมขนาดใหญ่ คนเดินถนนจำนวนไม่น้อยกระโดดเข้าไปในร้านค้าข้างถนนจึงไม่ตกลงไป
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
“หอเฟยฮวาร่วงลงไปแล้ว! ในนั้นยังมีคนจำนวนไม่น้อย!”
“พ่อไอ้หนู! ใครก็ได้ ช่วยด้วย!”
คนที่อยู่ข้างถนนร่ำไห้อย่างน่าเวทนา มีคนจำนวนมากยืนอยู่ข้างหลุมและจ้องมองหลุมขนาดใหญ่อย่างหวาดผวา เวลานี้มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเหยียบอาวุธเวทเหาะมา เกิดความเคลื่อนไหวประหลาดแบบนี้ขึ้นย่อมต้องมาดูเป็นธรรมดา
เพิ่งบินเข้ามาใกล้ก็เห็นแสงสีขาวสองสายเหาะออกมาจากในหลุม คนที่เพิ่งร่วงลงไปเมื่อครู่ กำลังนอนอย่างตื่นตระหนกอยู่บนพื้น เห็นแสงสีขาวสองสายนี้โยนคนบนพื้นไว้ในที่ปลอดภัยแล้วเหาะวูบเข้าไปในหลุมอีกครั้ง
จากนั้นก็เห็นหอเฟยฮวาที่ร่วงลงไปค่อยๆ ขึ้นมาจากหลุม รอจนหอเฟยฮวาขึ้นมาจากหลุมลึกทั้งหมดแล้ว ทุกคนจึงพบว่าใต้ฐานดินด้านล่างของหอเฟยฮวามีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่งใช้มือข้างเดียวยกหอเฟยฮวา มีเรี่ยวแรงมหาศาลจริงๆ หลังจากนางยกหอเฟยฮวาออกจากหลุมยังเหาะไปกลางอากาศและมองพินิจด้านล่าง จากนั้นเลือกพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งวางหอเฟยฮวาลง
หอเฟยฮวาเพิ่งวางลงอย่างมั่นคง คนในหอก็รีบวิ่งออกมา ชั่วพริบตาก็หนีออกมาจนหมด
ในเวลานี้เอง ยันต์ถ่ายทอดเสียงสามร้อยกว่าสายพุ่งออกมาจากในหลุมลึก บินวูบออกไปสี่ทิศแปดทาง
จินเฟยเหยามองดูรอบด้าน คิดไม่ถึงว่าวังต้งหวงจะตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เลวด้านล่างเมืองเซียนเหม่ย คนที่มุงดูรอบด้านมีมากเกินไป จินเฟยเหยาครุ่นคิด ชี้หอเฟยฮวาแล้วเอ่ยถาม “นี่เป็นร้านของผู้ใด?”
“ผู้อาวุโส นี่เป็นร้านค้าของผู้น้อยเอง ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีคำสั่งใด” ในฝูงชนมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่หัวไวและมีความสามารถคนหนึ่งก้าวออกมาคารวะจินเฟยเหยา
ในเมืองเหล่านี้ ขอเพียงเป็นร้านค้าที่มีขนาดใหญ่หน่อย ปกติล้วนมีผู้บำเพ็ญเซียนอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงไม่รู้สึกแปลกใจ โชคดีที่อีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเซียน แบบนี้จะได้พูดจาสะดวกหน่อย
จินเฟยเหยากวักมือเรียกเขาและตะโกนถามว่า “ข้าจะเช่าหอหลังนี้ของเจ้าใช้หน่อย ต้องการศิลาวิญญาณเท่าไร?”
“ถ้าผู้อาวุโสต้องการใช้ก็นำไปใช้ได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้” เถ้าแก่หอเฟยฮวายิ้มแย้มและเอ่ยอย่างสุภาพ
“โอ๋? ข้าว่าหอของเจ้ากลายเป็นแบบนี้แล้ว ต่อไปต้องสร้างขึ้นใหม่นะ หรือว่าเจ้าจะควักกระเป๋าตัวเอง? คำนวณดู รวมทั้งหมดต้องใช้ศิลาวิญญาณเท่าไร อีกสักครู่ก็บอกข้า เรียกพวกผู้รับใช้ของเจ้าให้เข้ามาทำอาหารและน้ำแกงร้อนๆ หน่อย จริงสิ เจ้าไปซื้อชุดสตรีสามร้อยยี่สิบชุดมาให้ข้า รูปแบบอย่างไรก็ได้แค่เป็นชุดที่สตรีสวมใส่ก็พอ รูปร่างใกล้เคียงกับข้าก็ได้ คำนวณศิลาวิญญาณทั้งหมดรวมกัน อีกสักครู่จะมอบให้เจ้า” ไม่ต้องให้จินเฟยเหยาควักศิลาวิญญาณ ย่อมต้องใจกว้างหน่อย
คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะสามารถชดใช้หอเฟยฮวาของตนเองได้ เถ้าแก่ของหอเฟยฮวาเห็นจินเฟยเหยาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมจึงเตรียมใจไว้แต่แรกแล้วว่าอีกฝ่ายจะไม่จ่ายสักแดง ตอนนี้สามารถได้ค่าชดเชย เขาย่อมปีติยินดี รีบวิ่งไปเรียกผู้รับใช้ที่หนีออกไปให้กลับมาแล้วส่งคนออกไปซื้อเสื้อผ้า
เห็นภายในหอเริ่มเตรียมตัวขึ้นมา จินเฟยเหยาก็บินกลับเข้าไปในหลุมอีก รับผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่อ่อนแอเหล่านั้นขึ้นมา แบ่งเป็นสิบรอบ และส่งไปรอคอยที่หอเฟยฮวา
อ่อนแอจนถึงขีดสุดจริงๆ ขนาดผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นสร้างฐานยังไม่มีเรี่ยวแรงจะเหาะขึ้นมาจากหลุมลึกหลายสิบจั้ง จินเฟยเหยาอดส่ายศีรษะไม่ได้
คนที่มุงดูเห็นกลุ่มขอทานใบหน้าสกปรกและผมเผ้ายุ่งเหยิงถูกผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมพาออกมาจากหลุมลึกกองแล้วกองเล่าก็รู้สึกไม่เข้าใจอย่างยิ่ง หรือว่าด้านล่างมีรังเก่าของขอทาน และไปยั่วโทสะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเข้าโดยไม่ระวังดังนั้นจึงถูกพาตัวขึ้นมาทั้งรัง แต่ว่าขอทานมีจำนวนมากเกินไปหน่อยกระมังจึงต้องขนถึงสิบรอบ
พาคนประมาณสามร้อยคนเหาะมาหอเฟยฮวา จินเฟยเหยาก็รอคนของแต่ละสำนักใหญ่เร่งรุดมาเงียบๆ ในบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเหล่านี้ มีคนของสำนักตงอวี้หวงเพียงคนเดียว หลังสอบถามอย่างละเอียดจึงรู้ว่าหลายปีนั้นมีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีตายไปจำนวนมาก ในผู้บำเพ็ญเซียนสตรีของสำนักตงอวี้หวงที่ถูกจับมามีเพียงคนนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่
ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงให้อวี้จูส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงไปสำนักตงอวี้หวง นี่เป็นความดีความชอบใหญ่หลวง ตนเองถือเป็นคนของสำนักตงอวี้หวงครึ่งหนึ่ง เรื่องได้หน้าแบบนี้ต้องให้พวกเขาได้ประโยชน์เล็กน้อย
เถ้าแก่หอเฟยฮวาเคลื่อนไหวอย่างว่องไว ในไม่ช้าก็ให้ผู้รับใช้นำอาหารและน้ำร้อนๆ มาบริการ ทั้งยังหอบเสื้อผ้าห่อใหญ่น้อยเข้ามา จากนั้นเขาสอบถามจินเฟยเหยา “ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้น คิดไม่ถึงว่าด้านล่างจะมีหลุมใหญ่ขนาดนี้ปรากฏขึ้น”
จินเฟยเหยากลัวคนอื่นลงไปวุ่นวายและทำลายสิ่งของด้านใน สุดท้ายให้คำอธิบายแก่แต่ละสำนักใหญ่ไม่ได้ ดังนั้นจึงให้พั่งจื่อ ต้านิว รวมทั้งอวี้จูยืนอยู่ตรงปากหลุม ห้ามคนอื่นลงไป ที่จริงด้านในถูกนางทำเสียหายเกือบหมดแล้ว ต่อให้ลงไป นอกจากถ้ำเล็กๆ เต็มผนังถ้ำก็เป็นซากศพกองหนึ่งที่ใช้สำหรับทำให้คนเชื่อถือ ไม่มีสิ่งของอย่างอื่น
“เมืองของพวกเจ้าเกิดเรื่องผู้บำเพ็ญเซียนสตรีสูญหายมาตลอดมิใช่หรือ คนเหล่านี้คือผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่สูญหาย พวกนางทั้งหมดถูกขังใต้ดินมาร้อยปี วันนี้ถูกข้าพบโดยบังเอิญและสังหารคนที่กักขังพวกนางทิ้งแล้วช่วยคนทั้งหมดออกมา” จินเฟยเหยาครุ่นคิดแล้วเล่าให้เถ้าแก่หอเฟยฮวาคนนี้ฟัง
“อะไรนะ!” เถ้าแก่หอเฟยฮวาตกตะลึงอย่างยิ่ง เรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนเหม่ยต่างรู้ดี ในเวลานั้นหลายสิบสำนักขุดดินสามฉื่อค้นหาก็ยังหาร่องรอยใดๆ ไม่พบ คิดไม่ถึงว่าจะอยู่ใต้หอเฟยฮวาของตนเอง
“ผู้อาวุโสร้ายกาจยิ่ง! ตอนนั้นคนเกือบพันขุดดินสามฉื่อก็ยังหาไม่พบ คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสจะพบเห็น” พูดจาดีๆ มากหน่อยก็ไม่เป็นไร ถ้าคนผู้นี้บอกว่าหอเฟยฮวาของตนเองเป็นทางเข้าออกของหลุมดินแห่งนี้ ตนเองมิต้องถูกสับทั้งเป็นหรือ
จินเฟยเหยาจงใจเอ่ยอย่างลึกล้ำ “ตอนนั้นพวกเขาขุดไม่ลึกพอ”
“ที่แท้เป็นปัญหาด้านความลึก…” เถ้าแก่หอเฟยฮวาพยักหน้าราวกับคิดอะไรอยู่ จากนั้นเอ่ยถามราวกับเป็นเรื่องดีงาม “ผู้อาวุโส คนเหล่านี้จับตัวสตรีมากมายไปทำไม เป็นโจรราคะหรือฝึกวิชาบำเพ็ญคู่ที่ชั่วร้าย?”
จินเฟยเหยารอให้เขาถามเช่นนี้อยู่ นางจึงยืมปากเขาถ่ายทอดให้คนที่เมืองเซียนเหม่ยรู้ว่าด้านล่างเกิดเรื่องอะไรขึ้น
นางจงใจเอ่ยอย่างลึกลับ “เจ้าเดาได้ถูกต้อง คนที่จับพวกนางเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายจริงๆ ทว่าไม่ใช่ฝึกบำเพ็ญคู่ คนผู้นั้นชอบบุรุษ ได้รับเคล็ดวิชาแขนงหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนบุรุษให้กลายเป็นสตรีได้ แต่ฝึกแล้วยุ่งยาก ต้องดูดพลังปราณ หยินแท้ของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีทุกวัน ดังนั้นจึงจับตัวผู้บำเพ็ญเซียนสตรีไปมากมายเพื่อให้กลายเป็นสตรีหลังขั้นหลอมรวม”
เห็นอีกฝ่ายท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จินเฟยเหยาก็เอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลน “คนผู้นั้นสวมชุดบุรุษก็ไม่เชิงสตรีก็ไม่ใช่ เอ่ยวาจายังบีบเสียง ทั้งยังมีคู่บำเพ็ญเป็นบุรุษขั้นหลอมรวมคนหนึ่ง ยังไม่พอเขายังเลี้ยงเด็กหนุ่มหน้าขาว[1]ไว้ไม่น้อย มีสามสี่สิบคน ใช้ชีวิตราชินีอยู่ด้านล่าง”
“น่าสะอิดสะเอียนอย่างยิ่งจริงๆ ดังนั้นข้าจึงสังหารหมดแล้ว ซากศพยังกองอยู่ด้านล่าง หลังคนของแต่ละสำนักใหญ่มาค่อยจัดการ” จินเฟยเหยาเบ้ปากเอ่ยอย่างหงุดหงิด
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เถ้าแก่หอเฟยฮวาไม่กล้ารบกวนมากจึงเดินออกจากหอเฟยฮวา ครู่หนึ่ง เรื่องนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองเซียนเหม่ย หลังจากรู้ว่าไม่มีอันตรายแล้ว คนเกือบทั้งเมืองก็กรูกันมาคิดจะดูคนวิปลาสที่จับผู้บำเพ็ญเซียนสตรีไปเพื่อตนเองเปลี่ยนเป็นสตรี
จินเฟยเหยาก็ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง รวมเศษซากของราชครูเข้าด้วยกัน ตำแหน่งที่ร้ายแรงที่สุดท่ามกลางเลือดเนื้อเลอะเลือนใช้ผ้าม่านปิดไว้ เพียงให้คนโดยรอบเห็นบุรุษที่แต่งกายเป็นสตรีทั้งยังมีหน้าตาอัปลักษณ์รางๆ ก็พอ
บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีได้เสื้อผ้าที่จินเฟยเหยาให้เถ้าแก่หอเฟยฮวาไปซื้อมา เสื้อผ้าของพวกนางล้วนขาดรุ่งริ่ง มีกลิ่นเหม็นตลบอบอวล ถึงแม้จะไม่มีเวทชักนำน้ำมาชำระกายตนเอง แต่ยังพอใช้น้ำร้อนเช็ดได้
ทุกคนไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าตนเองเหม็นและสกปรก จึงเช็ดตัวอย่างง่ายๆ ถอดชุดขอทานทิ้งและเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ที่จำสัมผัสไม่ค่อยได้แล้วภายในหอเฟยฮวา จากนั้นหวีสางเส้นผมที่ยุ่งเหยิงราวกับหญ้า สภาพจิตใจก็ดีขึ้นมาก
เวลานี้ เถ้าแก่หอเฟยฮวาส่งเสียงถามที่ประตู หลังจากรู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนสตรีทั้งหมดเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็ให้ผู้รับใช้ยกอาหารมารับรอง
ยามนี้จินเฟยเหยาอิ่มท้องแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตนเองตะโกนให้นำอาหารมาขึ้นโต๊ะด้วยความเคยชิน ทว่าตนเองไม่รู้สึกอยากกินอาหารเลยสักนิด หันมามองผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณเหล่านั้น ล้วนมีสีหน้าและแววตาดุร้ายใกล้เคียงกับตนเองก่อนหน้านี้ คิดๆ ดู ท่านอ๋องหมาจื่อยากจนปานนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ยางดอาหารทุกคนแน่ๆ คนเหล่านี้น่าจะหิวโหยเป็นประจำ
“พวกเจ้ารีบกินเถอะ อ่อนแอจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว กินยางดอาหารตลอดไม่ได้” จินเฟยเหยารีบให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณกินอาหารนิดหน่อย จากนั้นจึงเอ่ยกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเหล่านั้นอีก “พวกเจ้าก็กินหน่อยเถอะ ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน ผอมจนหนังหุ้มกระดูกแล้วต่อไปร่างกายฟื้นฟูค่อยงดอาหาร”
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานยิ้มอย่างขมขื่น หยิบตะเกียบขึ้นกินอาหาร
เรื่องราวที่นี่แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็มีผู้บำเพ็ญเซียนเหยียบอาวุธเวทพุ่งมาหน้าหอเฟยฮวาอย่างเร่งร้อน สาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามาในหอ ตะโกนเรียกผู้บำเพ็ญเซียนสตรีด้านในอย่างร้อนใจ “หลิงฝาน หลิงฝานเจ้าอยู่ที่นี่หรือไม่!”
“ส่งเสียงเอะอะทำไม เจ้ามาหาใคร” จินเฟยเหยาเหล่มองผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงปลายคนนี้ รู้กฎระเบียบหรือไม่
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนนี้พบว่าจินเฟยเหยานั่งอยู่ตรงประตูจึงรีบคารวะนาง หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความกังวลใจ “ผู้น้อยเสียมารยาท ผู้อาวุโสโปรดให้อภัย”
ไม่รอให้จินเฟยเหยาเอ่ยตอบ มีคนหนึ่งในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีร้องตะโกนขึ้นอย่างยินดี “ศิษย์พี่หลิ่ว!”
…………………………………
[1] เด็กหนุ่มหน้าขาว หมายถึง ชายบำเรอของสตรี