คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 230 แต่ละสำนักมารวมตัว
ในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีมีคนผู้หนึ่งยืนขึ้น กลางหน้าผากมีไฝแดง เป็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่สูญเสียบุตรชายไปเมื่อสองวันก่อนพอดี
“ศิษย์พี่หลิ่ว…เป็นท่านจริงๆ หรือ?” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ชื่อหลิงฝาน แหวกกลุ่มคนเดินมาหาผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษที่เข้ามาอย่างสงสัย
ทั้งสองคนสบสายตากัน ปากก็บอกชื่อตนเองเบาๆ เดินเข้ามาหาอีกฝ่ายทีละก้าวแล้วโอบกอดกันราวกับแสดงละครบนเวที
หลิงฝานร่ำไห้อย่างเสียใจสุดซึ้ง ร้องไห้พลางบอกเล่าความโชคร้ายของตนเอง “ศิษย์พี่ ข้านึกว่าจะไม่ได้เห็นท่านอีกแล้ว”
“ศิษย์น้องหลิงฝาน เจ้าหายตัวไปถึงยี่สิบกว่าปีเต็มๆ พวกเรานึกว่าเจ้าประสบเหตุไม่คาดฝัน คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าอีกครั้ง เมื่อครู่ข้าได้ยินคนเดินถนนเล่าลือกันจึงรุดมาอย่างเร่งร้อน” ศิษย์พี่หลิ่วแสดงความรู้สึกออกมา โอบกอดหลิงฝานแนบแน่น หากมิใช่ที่นี่มีคนนั่งอยู่เต็มไปหมดและจ้องมองพวกเขาสองคนราวกับพยัคฆ์จับจ้องเหยื่อ เกรงว่าคงทำเรื่องร้อนแรงระหว่างบุรุษสตรีออกมา
“ศิษย์พี่”
“หลิงฝาน”
“ขอโทษนะ ขอรบกวนพวกเจ้าสองคนหน่อย พวกเจ้าจะจากไปตอนนี้หรือจะรอคนในสำนักมาแล้วค่อยไป” จินเฟยเหยาทนดูต่อไปไม่ได้ รอบด้านยังมีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีจำนวนมากที่ยังไม่ได้พบคนรู้จักนั่งรออยู่ สองคนนี้ยืนกอดกันอยู่ตรงกลางจะทำให้คนไม่ชอบใจนะ ท่าทางในอดีตคงมีสัญญาแต่งงานหรือเป็นคู่ที่รักกันหวานชื่นเสียแปดส่วน
“ผู้อาวุโส นี่คือศิษย์พี่ของข้า” หลิงฝานออกจากอ้อมกอดของศิษย์พี่หลิ่ว ทั้งสองคนกุมมือกันและยืนอยู่ด้วยกันอย่างไม่ทอดทิ้งไม่พรากจาก
“อ้อ พวกเจ้าจะไปตอนนี้เลย?” จินเฟยเหยาตอบรับ นางไม่ใส่ใจว่าเป็นศิษย์พี่หรืออาจารย์ เพียงใส่ใจว่าจะได้สิ่งของตอบแทนหรือไม่
“ศิษย์น้อง เจ้าแจ้งอาจารย์แล้ว?” ศิษย์พี่หลิ่วมองหลิงฝานอย่างห่วงใย หลิงฝานพยักหน้า
แจ้งสำนักแล้ว ถ้าจากไปแบบนี้ มิทำให้บรรดาอาจารย์ลุงอาจารย์อาในสำนักมาเสียเที่ยวหรือ คงต้องอยู่รอ ดังนั้นศิษย์พี่หลิ่วจึงเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส พวกเรารอคอยคนในสำนักอยู่ที่นี่ก่อน ข้าอยากไปดูสถานที่กักขังหน่อย ที่แท้เป็นผู้ใดจึงกระทำเรื่องเช่นนี้ได้ สมควรสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น!”
“เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน รอแต่ละสำนักมากันเกือบหมดแล้วทุกคนค่อยไปดู เรื่องบางอย่างในนั้นเจ้าสามารถถามศิษย์น้องดูได้ ชั้นบนยังว่าง พวกเจ้าขึ้นไปรอก่อนเถอะ ด้านล่างมีคนมากมาย” จินเฟยเหยาพยักพเยิดไปที่บันไดทางขึ้นชั้นบน เป็นความหมายให้ทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน
“ศิษย์พี่ ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับท่าน” หลิงฝานมองจินเฟยเหยาแวบหนึ่ง ดึงศิษย์พี่ไปด้านข้างแล้วเอ่ยกระซิบ
ศิษย์พี่หลิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงหยิบตานสัตว์ปิศาจขั้นห้าเม็ดหนึ่งออกมาจากถุงเฉียนคุน เดินไปประคองส่งถึงเบื้องหน้าจินเฟยเหยา “ผู้อาวุโส นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อย ท่านโปรดรับไว้ ขอบคุณที่ท่านช่วยศิษย์น้องของข้าออกมา ถึงแม้จะมีราคาไม่กี่ศิลาวิญญาณ แต่ก็เป็นสิ่งที่มาจากใจของข้า”
จินเฟยเหยามองตานสัตว์ปิศาจขั้นห้าเม็ดนั้น สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน นี่เป็นสมบัติก้อนใหญ่แล้ว พวกเขาคิดจะล่าสังหารสัตว์ปิศาจขั้นห้าตัวหนึ่งไม่ง่ายดาย ดูออกว่าใจกว้างอย่างยิ่ง ทว่าสำหรับนางแล้วตานสัตว์ปิศาจขั้นห้าไม่ค่อยมีค่านัก
มีผลประโยชน์ก็เอาเปรียบหรืออีกสักครู่จะหาเงินก้อนใหญ่ดี? จินเฟยเหยาครุ่นคิดอยู่สองอึดใจก็ตัดสินใจได้ ยื่นมือไปปฏิเสธตานสัตว์ปิศาจเม็ดนี้
“ข้าก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสของพวกเจ้าจะเอาสิ่งของของผู้เยาว์ได้อย่างไร นี่จะหยามเกียรติข้าหรือ? สิ่งของของพวกเจ้า ถ้าจะขอบคุณข้าจริงๆ ย่อมมีสำนักของพวกเจ้ากระทำแทน พวกเจ้าไม่ต้องสิ้นเปลือง ศิษย์น้องของเจ้าเพิ่งหนีออกมาจากเภทภัยได้ เจ้าใช้กับร่างของนางดีกว่า ดูแลนางให้ดี” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างมีเหตุผล
คำพูดนี้เอ่ยอย่างมีเหตุมีผล มีหลักการ ทั้งยังห่วงใยผู้เยาว์รุ่นหลัง ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนสตรีในที่นั้นไม่รู้สึกซาบซึ้ง พวกนางรู้ดี ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมคนนี้รอของขวัญชิ้นใหญ่จากสำนัก ถ้ารับซองอั่งเปาเล็กๆ อาจจะทำให้เสียของขวัญชิ้นใหญ่ หนังหน้าของคนผู้นี้หนาอย่างประหลาด อีกสักครู่ถ้าไม่ให้ของขวัญตอบแทนแก่นาง ผู้ใดจะรู้ว่านางจะทำอะไรขึ้นมา
ศิษย์พี่หลิ่วได้แต่เก็บตานสัตว์ปิศาจ หลังจากเอ่ยขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงพยุงศิษย์น้องหลิงฝานขึ้นชั้นบน ไม่ใช่เขาคิดจะหาสถานที่ไม่มีคนกระทำเรื่องใด หลักๆ คือชั้นหนึ่งมีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีนั่งเบียดเสียดอยู่เต็มไปหมดจริงๆ ทุกคนไม่ยอมขึ้นชั้นบน ทว่านั่งรอคนมารับอยู่ด้านล่างอย่างกระวนกระวาย
บรรยากาศในตำหนักซวีชิงแห่งสำนักตงอวี้หวง คงจู๋อู๋เดินไปเดินมาในตำหนักอย่างร้อนใจ เห็นได้ชัดว่าหงุดหงิด ศิษย์ส่วนมากต่างก็ยืนอยู่ในตำหนักมองดูเขาเดินไปเดินมา
“อาจารย์ ไม่ต้องออกไปค้นหาหรือ?” โม่อวี่จู๋เอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
คงจู๋โหย่วก็เอ่ยกับศิษย์พี่ของตนเองที่ลำบากลำบนมาทั้งวัน “ข้าว่านะศิษย์พี่ ท่านหยุดเดินได้หรือไม่ ท่านเดินไปเดินมาแบบนี้ ทำให้ข้าหงุดหงิดแล้ว หลายวันก่อนท่านเพิ่งบอกให้วางใจ ไม่ต้องสนใจนาง นางอยากจะทำอะไรก็ตามใจ ตอนนี้แค่ยังไม่กลับมาสามวัน ท่านจะร้อนใจอะไร”
“ไม่ใช่ข้าคิดจะร้อนใจ เจ้าสำนักและผู้อาวุโสของแต่ละตำหนักบอกให้ข้ามอบคนออกมา พวกเขาอยากสอบถามนาง ข้าอยากรีบหานางให้พบ คิดจะเตี๊ยมบทสนทนาให้เหมือนกันก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าให้พวกเราชดใช้ค่าสัตว์ภูติเหล่านั้น ถึงตอนนั้นคงให้พวกเจ้ามอบไผ่ซวีชิงในมือมาขายใช้หนี้” คงจู๋อู๋ขมวดคิ้วแน่น รู้สึกปวดศีรษะ
“ไม่ได้ ถ้ามอบไผ่ซวีชิงออกไปแล้วพวกเราจะใช้อะไร? สิ่งนี้หลอมเป็นของวิเศษแก่นชีวิตแล้ว ถ้าจะมอบก็ได้แต่มอบไผ่วั่นคง ส่วนไผ่ซวีชิงไม่ได้เด็ดขาด” พอคำพูดนี้ออกมา ศิษย์ด้านล่างไม่ยินยอมทันที
ในเวลานี้ มีแสงสีทองสายหนึ่งวูบเข้ามาในตำหนัก บินมาหาคงจู๋อู๋ทันที
“ยันต์ถ่ายทอดเสียง?” คงจู๋อู๋ยื่นมือไปรับยันต์ถ่ายทอดเสียงแล้วฉีกออก ในนั้นมีเสียงของจินเฟยเหยาส่งออกมา
จินเฟยเหยาให้อวี้จูส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงถึงสำนักตงอวี้หวง ส่วนตนเองก็ส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงให้คงจู๋อู๋หนึ่งใบ สถานการณ์เช่นนี้มีคนรู้จักมาจะดีกว่า ถือว่าเป็นคนหนุนหลัง
ฟังคำพูดของจินเฟยเหยาจบ ภายในตำหนักซวีชิงก็เงียบกริบ ทุกคนคิดไม่ถึง พวกนางออกจากสำนักไปครั้งเดียวยังทำความดีได้ ทั้งยังเป็นคดีปริศนาร้อยปี ครั้งนี้ทำความดีความชอบครั้งใหญ่เจ้าสำนักของพวกเขาคงไม่ทำให้นางลำบากเกินไปภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีหลักฐาน
“แย่แล้ว! พวกเรารีบไป ถ้าสำนักเหล่านั้นจะเลี้ยงอาหารนาง สำนักซวีชิงคงต้องไปเสียหน้าข้างนอก” คงจู๋โหย่วตะโกนขึ้นมาอย่างกะทันหัน
พอทุกคนได้ฟังก็คิดเห็นเหมือนกัน จะให้นางทำเรื่องขายหน้าไม่ได้ต้องรีบไปเฝ้านางไว้
คงจู๋อู๋พาศิษย์หลายคนไปเมืองเซียนเหม่ยอย่างเร่งร้อน ไป๋เจี่ยนจู๋ลังเลเล็กน้อยก็ถูกเฟิงอวิ๋นจู๋ที่อยากไปดูความครึกครื้นฉุดดึงและลากไปด้วยกัน เพิ่งออกจากประตูสำนักก็พบคนของตำหนักเซียวเทียน พวกเขาก็ได้รับยันต์ถ่ายทอดเสียงของอวี้จู นี่เป็นเรื่องใหญ่ ตามขนาดของสำนักแล้ว พวกเขาต้องไปจัดการที่เกิดเหตุ ดังนั้นทั้งสองกลุ่มจึงไปเมืองเซียนเหม่ยด้วยกัน
รอคนของสำนักตงอวี้หวงรุดมาถึงเมืองเซียนเหม่ยก็เห็นใบหน้าคุ้นเคยจำนวนมากไกลๆ ทั้งหมดบินมาถึงหน้าหอเฟยฮวา ส่วนด้านข้างก็เป็นหลุมลึกขนาดยักษ์
“คนของสำนักตงอวี้หวงมาแล้ว”
“ได้ยินว่าครั้งนี้คนที่ลงมือช่วยเหลือเป็นคนของตำหนักซวีชิงแห่งสำนักตงอวี้หวง”
“สำนักมากมายหาคนเหล่านี้ไม่พบ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะถูกคนของสำนักตงอวี้หวงช่วยเหลือ ทำความดีครั้งใหญ่จริงๆ”
ชื่อเสียงของสำนักตงอวี้หวงภายนอก เพิ่งปรากฏขึ้นก็เรียกคำชมและความเห็นได้นับไม่ถ้วน คนของสำนักทั้งหมดล้อมวงเอ่ยทักทายกัน
คนที่เป็นตัวแทนสำนักมาในครั้งนี้คือหลู่หงกวงของตำหนักเซียวเทียน วาระเช่นนี้ยังไม่ถึงรอบของเจ้าสำนักและผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ออกหน้า ดังนั้นผู้ที่มาต่างเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมของแต่ละสำนัก
เขาถูกห้อมล้อมอยู่ในกลุ่มคน ฟังคำชมสำนักตงอวี้หวงของพวกเขาต่างๆ นาๆ จึงอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
ส่วนคนของตำหนักซวีชิงไม่ได้อารมณ์ดีอย่างเขา รู้สึกว่าเจอเรื่องอะไรในใจก็กระสับกระส่าย ในขณะที่หลู่หงกวงนำทุกคนเดินเข้าไปในหอเฟยฮวา คนของสำนักตงอวี้หวงก็ตะลึงงันทันที
จินเฟยเหยานั่งอยู่หลังโต๊ะตัวหนึ่ง ด้านหน้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่เป็นผู้นำของแต่ละสำนักส่งมอบหญ้าวิญญาณ ตานสัตว์ปิศาจ หรือศิลาวิญญาณจึงสามารถนำผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ช่วยออกมาคนหนึ่งจากไปได้ มือหนึ่งส่งมอบเงินอีกมือหนึ่งส่งมอบคน และกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี
คงจู๋อู๋เห็นฉากนี้ก็ชะงักฝีเท้าทันที นำศิษย์ตำหนักซวีชิงเข้าไปปะปนอยู่ในกลุ่มคนมุงดู ส่วนไป๋เจี่ยนจู๋ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ยายนี่ทำความดีแต่ตอนนี้กลับวางท่าทางแบบนี้ มิเสียชื่อเสียงอันดีงามไปเปล่าๆ หรือ
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นก็เห็นคนของสำนักตงอวี้หวง ทว่าไม่รอให้นางทักทายก็เห็นคงจู๋อู๋พาคนเบียดเข้ามาในฝูงชนก็รู้สึกว่าน่าขำทันที
นางเห็นชุดของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเบื้องหน้ามีอักษรเซียวตัวเล็กๆ จึงรู้ว่านี่เป็นคนที่ตำหนักเซียวเทียนส่งมา ดังนั้นนางจึงตะโกนเสียงดัง “ศิษย์พี่ ท่านมาได้อย่างไร!”
หลู่หงกวงไม่อยากมีศิษย์น้องแบบนี้เลยสักนิด เห็นจินเฟยเหยาทักทายเขาก็ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา
จินเฟยเหยาไม่ได้กระอักกระอ่วน ยังยืนขึ้นและเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ศิษย์พี่ คิดไม่ถึงว่าท่านจะมา เจ้าสำนักสบายดีหรือไม่ ข้าสามารถให้ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีกลับไปได้ทันที พวกเขายืนกรานอยากจะตอบแทนข้า ข้าก็รู้สึกขัดเขิน แต่พอคิดว่า ถ้าไม่รับไว้จะมิเป็นการไม่ไว้หน้าสำนักใหญ่และตบหน้าผู้อื่นหรือ แต่ข้าเคยบอกกับทุกคนแล้ว ศิลาวิญญาณชั้นกลางและหญ้าวิญญาณร้อยปีนั้นให้ได้ อย่างมากให้ตานสัตว์ปิศาจขั้นหกขึ้นไปเป็นน้ำใจเล็กน้อยก็พอ พวกหญ้าวิญญาณพันปีและศิลาวิญญาณชั้นบนถึงตายข้าก็ไม่ยอมรับ พวกท่านวางใจเถอะ”
นางไม่รู้จักหลู่หงกวงเลยสักนิด ทว่าน้ำเสียงและสีหน้าราวกับปกติคุ้นเคยเป็นอย่างดี
พอหลู่หงกวงได้ยินก็เข้าใจทันที ยายนี่รับสิ่งของของผู้อื่นจึงปล่อยคน แถมยังคิดจะใช้ชื่อเสียงของสำนักตงอวี้หวงทำให้คนเหล่านี้พูดอะไรไม่ได้ จะให้นางทำสำเร็จได้อย่างไร เรื่องขโมยสัตว์ภูติก็ยังไม่รู้แน่ชัดเลย
เขาตีสีหน้าเย็นชาบริภาษทันควัน “นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่! ยังไม่รีบนำสิ่งของคืนให้ทุกท่านอีก พวกเราทำเรื่องเล็กน้อยก็เป็นเรื่องสมควร ใครให้เจ้ารับของ เจ้าทำเช่นนี้ กลับไปให้รับการลงโทษทันที!”
เดิมทีแต่ละสำนักใหญ่ก็ไม่ค่อยพอใจนักที่ต้องใช้สิ่งของมาแลกเปลี่ยนกับคน สำนักตงอวี้หวงทำเกินไปแล้ว ช่วยคนโดยไม่กินแรงคิดไม่ถึงว่าจะแลกเปลี่ยนกับสิ่งของ เป็นพวกละโมบโดยแท้ ได้ยินหลู่หงกวงพูดแบบนี้ก็เข้าใจทันทีว่าเป็นเพียงความคิดของสตรีผู้นี้ไม่ใช่ความคิดของสำนักตงอวี้หวง ทุกคนจึงพร้อมใจกันใช้สายตามองดูจินเฟยเหยา
…………………………………