คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 232 พูดคุยข้างน้ำพุร้อน
ไม่ว่าพวกเขาจะแก้ไขเรื่องป้ายหยก เด็กทารกหลายคน ถนนที่ถูกทำลาย และหนี้ของหอเฟยฮวาอย่างไร จินเฟยเหยาก็กลับมาถึงตำหนักซวีชิงอย่างอิสระและไร้กังวลแล้ว
สามวันแล้ว จินตันที่นางกินลงไปยังยันไหวอยู่ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หิว ไม่รู้ว่าจินตันของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงปลายหนึ่งเม็ดจะสามารถทำให้ตนเองอิ่มได้กี่วัน ไม่ว่าจะนานเพียงใด ทำอย่างไรจึงจะได้จินตันอื่นๆ มาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของจินเฟยเหยา
“พั่งจื่อ เจ้าว่าจะทำอย่างไรดี? คนของตำหนักซวีชิงนิสัยไม่เลว ข้าแอบไปสังหารคนของสำนักตงอวี้หวงไม่ได้ แบบนี้จะเพิ่มความยุ่งยากให้พี่จู๋” จินเฟยเหยาแช่ในน้ำพุร้อนของไป๋เจี่ยนจู๋ เอ่ยถามพั่งจื่อที่แช่ในน้ำเช่นเดียวกัน แต่โผล่เพียงตากบออกมา
ก่อนหน้านี้ไม่นาน พั่งจื่อใช้ศิลาวิญญาณชั้นกลางสองก้อนที่จู๋ซวีอู๋ใช้แลกกับผลไม้หมดแล้วจึงพอฝืนเลื่อนเป็นขั้นห้าได้ ตอนนี้พวกมันสองตัวต่างมีมุกล้ำค่าบนหัว เผยดวงตาขาวเนียนนุ่มสุดเปรียบปานให้เห็น ปากกำลังพ่นฟองอยู่ในน้ำ มองจินเฟยเหยาอย่างหมดวาจา
จินเฟยเหยาไม่เคยคิดจะพึ่งพาเจ้าสองตัวนี้ให้แก้ไขปัญหาอะไร นางพลิกตัวในน้ำพุร้อน นอนริมสระคิดไปคิดมาก็หลับไป
ไป๋เจี่ยนจู๋ติดตามอาจารย์จึงกลับมาภายหลัง หลู่หงกวงมีโทสะสูงเสียดฟ้าแต่ทำอะไรไม่ได้ หลังจากมอบป้ายหยกสองชิ้นให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่จับตามองเขาอยู่ด้านหลังเห็นผ่านตา เขาก็ทำลายป้ายหยกสองชิ้นนี้อย่างเที่ยงธรรม
ที่จริงสิ่งของนี้ต่อให้จินเฟยเหยาไม่ได้ลบเนื้อหาไปบ้าง และให้คนหนึ่งคนใดในพวกเขานำกลับไปก็ไม่ไปหลอมสร้างทารกสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ทารกหนึ่งหมื่นคน ใครทำเรื่องนี้ก็วอนโดนอัดทั้งนั้น สำนักอันเที่ยงธรรมจะยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
และส่วนที่จินเฟยเหยาลบก็เป็นส่วนที่เอ่ยถึงว่าต้องใช้ทารกที่มีสายเลือดตนเองจึงสามารถหลอมสร้างได้ จากนั้นก็เป็นคัมภีร์แตกกิ่งก้านอันน่าขยะแขยง เห็นได้ชัดว่าเป็นเคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่ คิดไม่ถึงว่ายังสามารถที่ทำให้คนอุ้มท้องได้แน่นอน จะไม่ทำลายทิ้งได้อย่างไร
เอ่ยถึงเรื่องนี้ จินเฟยเหยาไม่อยากคิดเลยสักนิด ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเหล่านั้นสกปรกจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว ท่านอ๋องหมาจื่อยังทำลงได้อย่างไร สัมผัสทั้งห้าของผู้บำเพ็ญเซียนเฉียบคมอย่างยิ่ง ยิ่งเป็นขั้นหลอมรวม มีคนผายลมห่างออกไปสิบจั้ง ขอเพียงเจ้ายอมได้กลิ่นก็จะได้กลิ่นอย่างชัดเจน กลิ่นแป้งหอมในหอน้อยเข้มข้นขนาดนั้น ไม่แน่ว่าเพื่อกลบกลิ่นเหม็น
ไป๋เจี่ยนจู๋กลับถึงถ้ำเซียนของตนเองก็รู้ทันทีว่าจินเฟยเหยายึดครองน้ำพุร้อนของเขาอีกแล้ว ตั้งแต่วันที่สามที่นางย้ายเข้ามาก็พัวพันให้จู๋ซวีอู๋สร้างการป้องกันน้ำพุร้อนขึ้นใหม่ บอกว่าการป้องกันนี้ให้คนสองคนสามารถเข้าได้ ให้ทุกคนใช้ร่วมกัน บอกว่าใช้ร่วมกันสุดท้ายนางก็ใช้คนเดียว ทั้งยังพากบสองตัวเข้าไปอีก
คิดถึงเรื่องทั้งหมดที่ยายนี่โยนให้หลู่หงกวง ตนเองกลับนำสิ่งของที่รับไว้หนีมา คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ยังอยู่ในน้ำพุร้อนอย่างวางมาด ไร้มโนธรรมจริงๆ ไม่กลัวถูกหลู่หงกวงใส่ความทำลายชื่อเสียงกับเจ้าสำนักหรือ ไป๋เจี่ยนจู๋ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา เตรียมกลับไปห้องฝึกบำเพ็ญ
หมุนตัวเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาหยุดฝีเท้าลงอีกครั้ง หลังจากครุ่นคิดก็ตัดสินใจพูดคุยกับจินเฟยเหยาดีๆ ไปเจี่ยนจู๋สาวเท้าเดินมาข้างน้ำพุร้อน เขาเปิดปากเอ่ยวาจาทั้งๆ ที่กั้นด้วยกำแพงที่สร้างขึ้นจากไผ่เขียว “เจ้าอย่าขโมยสัตว์ภูติในสำนักอีกได้หรือไม่? ตอนนี้คนทั้งสำนักตงอวี้หวงตื่นตระหนก น่าจะมีคนมากมายสงสัยว่าเจ้าเป็นคนทำ เจ้าทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์กับตนเอง ข้าจะไปบอกอาจารย์ ให้เขาเปิดโรงอาหารที่ตำหนักซวีชิงให้เจ้าโดยเฉพาะ ถ้าเจ้าไม่เลือกมาก แต่ละวันสามารถทำให้เจ้ากินอิ่มได้”
ไป๋เจี่ยนจู๋ไหนเลยจะรู้ว่าจินเฟยเหยาสามารถกินได้มากเพียงใด เพียงแต่คำนวณตามปริมาณที่เห็นกินยามปกติ รู้สึกว่าอาศัยสมบัติของซือจู่ ต้องหาธัญพืชและผักได้อย่างไม่มีปัญหา ทุกสิบวันหรือครึ่งเดือนออกไปล่าสัตว์ปิศาจสักครั้ง น่าจะทำให้จินเฟยเหยากินอิ่มได้
เขาเสนอความคิดด้วยเจตนาดีและรอคำตอบของจินเฟยเหยาอยู่นอกกำแพงไผ่ ทว่าเขายืนตากลมราตรีอยู่นานก็ไม่เห็นจินเฟยเหยาเอ่ยตอบ
ไป๋เจี่ยนจู๋รู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง ปกติจินเฟยเหยาไม่ใช่คนแบบนี้ ถ้ามีคนพูดกับนาง นางจะยิ้มและเอ่ยตอบ เหตุใดวันนี้นานขนาดนี้ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว หรือว่าได้รับบาดเจ็บหนักตอนจัดการกับผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายจึงหมดสติไป?
คิดถึงตรงนี้ ไป๋เจี่ยนจู๋ก็ไม่สนใจว่าจินเฟยเหยายังอาบน้ำอยู่ ใช้การรับรู้กวาดมองเข้าไปด้านใน จากนั้นก็เห็นจินเฟยเหยากำลังนอนหลับสนิทอยู่ริมสระน้ำพุร้อน ปากยังพูดว่า “ข้ากินอิ่มแล้ว กินไม่ไหวแล้ว” ส่วนกบสองตัว กลับนอนหงายท้องลอยอยู่บนผิวน้ำ ท่าทางเหมือนต้มสุกแล้ว
คิดไม่ถึงว่ากำลังหลับอยู่! ไป๋เจี่ยนจู๋ถ่ายทอดเสียงไป “ตื่น! กินข้าว!”
“กินข้าว?” น้ำเสียงของไป๋เจี่ยนจู๋ดังขึ้นข้างหูจินเฟยเหยาราวกับอัสนีบาต ทำให้นางตกใจจนเงยหน้าขึ้นมองรอบด้าน
หลังจากเห็นชัดเจนว่าตนเองอยู่ในน้ำพุร้อน นางก็ยืดเอวบิดขี้เกียจ คว้าเส้นผมที่ยุ่งเหยิงเอ่ยพึมพำกับตนเอง “ไม่ได้กินอิ่มขนาดนี้นานแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะนอนโดยไม่ระแวดระวังเลยสักนิด ทั้งยังฝันว่าไป๋เจี่ยนจู๋เรียกข้ากินข้าว เสียงเหมือนจริงมาก ท่าทางข้าจะแก่ชรา ใช้ไม่ได้เสียแล้ว”
“ไม่ใช่ความฝัน ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่” นางพูดกับตนเองอย่างเกียจคร้าน ไป๋เจี่ยนจู๋ย่อมได้ยิน คนเช่นนี้ไม่มีแม้แต่ความคิดจะปล่อยการรับรู้ไประแวดระวัง ไม่รู้จริงๆ ว่าปกติอยู่ได้อย่างไร
“เอ๋? ศิษย์พี่ไป๋ เหตุใดวันนี้จึงคิดมาแอบดูข้าอาบน้ำได้?” จินเฟยเหยาขยี้ตาพลางเอ่ยถาม
เวลานี้ไป๋เจี่ยนจู๋สำนึกเสียใจแทบตาย ทำไมตนเองต้องยุ่งไม่เข้าเรื่องด้วย จะไปสนใจนางทำไม!
เห็นไป๋เจี่ยนจู๋ไม่เอ่ยวาจา จินเฟยเหยาก็วิ่งออกจากน้ำพุร้อน แนบร่างกับกำแพงไผ่แล้วโผล่ศีรษะกับไหล่ออกมายิ้มให้เขา “ศิษย์พี่ไป๋ มาหาข้ามีธุระอะไร?”
ผิวพรรณของจินเฟยเหยาถือว่าไม่เลว มีสีขาวผ่องภายใต้แสงจันทร์และมองเห็นกระดูกไหปลาร้าใต้ลำคอได้อย่างชัดเจน ไป๋เจี่ยนจู๋เลื่อนสายตาออกไป เอ่ยอย่างแค้นเหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า “เจ้าสวมเสื้อผ้าได้หรือไม่ มีใครเขาปีนกำแพงคุยกับบุรุษอย่างเจ้าบ้าง?”
“ข้ายังไม่กลัว ท่านจะกลัวอะไร ขอเพียงท่านอย่าใช้การรับรู้มองข้าก็พอ” จินเฟยเหยายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เมื่อครู่แช่น้ำไปนอนหลับไป น้ำพุร้อนร้อนลวกมาก ตอนนี้ตากลมราตรีเย็นสบายจริงๆ
ไป๋เจี่ยนจู๋เก็บการรับรู้กลับมานานแล้ว เขายังไม่เบื่อหน่ายถึงขั้นนั้น เห็นจินเฟยเหยาไม่ยอมไปสวมเสื้อผ้า เขาก็ได้แต่ปล่อยตามใจนาง แต่ก็จำต้องพูดธุระ ถึงดูแล้วจะแปลกๆ ทว่าก็สามารถพูดธุระต่อได้
ดังนั้น เขาจึงหลุบตาลงเอ่ยว่า “ข้าคิดจะหารือกับเจ้าหน่อย เจ้าอย่าจับสัตว์ภูติในสำนักอีกได้หรือไม่ พวกมันไม่ได้มีไว้กิน ถ้ากินจริงๆ คงไม่ค่อยอร่อย”
“ข้ายังนึกว่าเรื่องอะไร ไม่มีปัญหา ต่อไปข้าไม่กินแล้ว” จินเฟยเหยาตอบรับอย่างเบิกบาน ถึงอย่างไรตอนนี้นางต้องกินจินตันกินหยวนอิง ไม่อยากกินสัตว์ภูติแล้ว อีกทั้งระดับขั้นสัตว์ภูติที่นางจับในสำนักตงอวี้หวงก็ไม่สูง สัตว์ภูติที่มีตานสัตว์ปิศาจมีไม่ถึงหนึ่งส่วนและตานสัตว์ปิศาจยังมีขนาดเพียงเม็ดลำไย คิดจะแลกศิลาวิญญาณชั้นกลางก็ไม่ได้
จับสัตว์ภูติที่มีระดับขั้นสูงต้องใช้เวลา ความเคลื่อนไหวใหญ่โต ทั้งยังอยู่ข้างกายเจ้าของตลอดเวลา คิดจะกินก็จับยาก ตอนนี้พอดีเลยจะได้ลดความยุ่งยากลง
ไป๋เจี่ยนจู๋คิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยาจะรับปาก เขายังนึกว่าต้องเปลืองคารมไม่น้อยจึงสำเร็จ นี่ทำให้คำพูดที่เขาเตรียมไว้ไม่มีที่ให้ใช้ ชั่วขณะก็ไม่รู้ว่าจะพูดต่อจากนางว่าอย่างไรดี หลังหยุดครู่หนึ่ง เขาจึงถามว่า “แล้วต่อไปเจ้าจะกินอะไร?”
จินเฟยเหยายิ้มแย้ม “กินคน”
“กินคน?” ไป๋เจี่ยนจู๋ขมวดคิ้ว คำพูดเมื่อครู่ล้อเล่นจริงๆ ด้วย นางไม่เคยพูดอย่างจริงจัง
“ท่านรอสักครู่” จินเฟยเหยาบอกแล้วกระโดดลงจากกำแพงไผ่ จากนั้นคลุมเสื้อผ้าแล้ววิ่งออกมา
นางวิ่งมาถึงเบื้องหน้าไป๋เจี่ยนจู๋ ยื่นมือมาชี้ไป๋เจี่ยนจู๋แล้วเอ่ยว่า “อย่างเช่นกินท่าน ศิษย์พี่ไป๋ต้องอร่อยมากแน่ๆ”
เห็นสายตาประหลาดใจของไป๋เจี่ยนจู๋ นิ้วของจินเฟยเหยาก็ไถลลงมา ชี้หน้าท้องน้อยของไป๋เจี่ยนจู๋แล้วเอ่ยว่า “ตรงนี้ต้องอร่อยมากแน่ เลิศรสอย่างยิ่ง มิสู้ ท่านให้ข้ากินดีกว่า”
ใบหน้าของไป๋เจี่ยนจู๋บัดเดี๋ยวเขียวคล้ำบัดเดี๋ยวขาวซีดทันที จากนั้นเขาก็ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้อย่างดุร้าย “คนไม่รู้จักอาย!” จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
เห็นเขาเดินจากไปอย่างเดือดดาล จินเฟยเหยาก็ลูบศีรษะเอ่ยอย่างงุนงง “ท่านเป็นคนถามข้าชัดๆ ว่าต่อไปจะกินอะไร ข้าก็บอกตามตรงแล้วว่ากินคน อีกอย่าง ข้าก็ไม่ได้ชี้ผิด จินตันก็อยู่ตรงตันเถียน ทำไมต้องด่าข้าว่าไม่รู้จักอาย จริงๆ เลย ไม่ฟังเหตุผลบ้าง หน้าตาดีแล้วยอดเยี่ยมนักหรือไร ใครอยากจะกินท่าน”
จินเฟยเหยาพกพาความไม่พอใจเต็มท้อง เก็บของกลับตึกหลิงหลงของตนเอง
สีของท้องฟ้ามืดลง ทว่าตำหนักเซียวเทียนกลับยังมีแสงไฟสว่างจ้า
หลู่หงกวงยืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้าง คนที่นั่งบนตำแหน่งสูงคือฉือชางเจินเหรินผู้เป็นเจ้าสำนัก เขาขมวดคิ้วแน่น เคาะนิ้วบนเท้าแขนเก้าอี้เบาๆ อย่างต่อเนื่อง
ด้านล่างของเขายังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ห้าหกคนนั่งอยู่ตรงนั้นมองดูฉือชางเจินเหรินเงียบๆ กลางดึกกลางดื่นไม่พักผ่อน มารวมตัวกันต้องไม่มีเรื่องดีงามอะไรแน่
“ทุกคนพูดมาหน่อย ต้องทำอย่างไรจึงสามารถกำจัดตัวหายนะได้” ครุ่นคิดอยู่นาน ฉือชางเจินเหรินก็ยังคิดหาวิธีไม่ได้
“สังหารทิ้ง?” หลู่หงกวงเสนอแนะอย่างอำมหิต
เขาก็ถูกฉือชางเจินเหรินใช้สายตาแหลมคมกวาดมองจนเป็นใบ้ทันที “เจ้าอยากให้จู๋ซวีอู๋บิดศีรษะเจ้าลงมาเป็นลูกบอลสินะ”
ผู้อาวุโสของตำหนักเล่ออี้ครุ่นคิด และเอ่ยอย่างช้าๆ “มิสู้ฉวยโอกาสที่ศิษย์น้องจู๋ยังไม่กลับมา ขับไล่นางไป”
“ขับไล่อย่างไร? ผู้อื่นเพิ่งทำความดี ตอนนี้จะใช้ข้ออ้างอะไรมาขับไล่นาง คงบอกไม่ได้ว่าเนื่องจากนางกินมากเกิน ดังนั้นจึงขับไล่นางไป โลกภายนอกไม่รู้ว่านางสามารถกินได้มากเพียงใด ถึงตอนนั้นคงบอกว่าขนาดคนเพียงคนเดียวสำนักตงอวี้หวงเราก็ยังเลี้ยงไม่ไหว อีกอย่างศิษย์น้องจู๋กลับมา เขาจะไม่อาละวาดหรือ?” ฉือชางเจินเหรินส่ายศีรษะ
“พวกเราสามารถโกหกได้ หาเรื่องให้นางช่วยเหลือ หลอกนางไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่กลับมาไม่ได้ อย่างน้อยเป็นสถานที่ซึ่งกลับมาไม่ได้ชั่วคราวหลายสิบปี ถ้านางกลับมา ค่อยคิดหาวิธีอีก” มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอีก
พอฉือชางเจินเหรินได้ฟัง ก็รู้สึกว่าวิธีการนี้ดูเหมือนจะใช้ได้ เพียงแต่จะเอานางไปไว้ที่ใดจึงไม่กลับมาหลายสิบปีหรือไม่กลับมาชั่วชีวิตได้ “มีสถานที่ใดเหมาะสม?”
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ข้าคิดถึงสถานที่แห่งหนึ่งได้ รับประกันว่านางต้องยอมไป ทั้งยังไม่กลับมาง่ายๆ” ผู้อาวุโสตำหนักเล่ออี้พลันเงยหน้าขึ้นและเอ่ยอย่างยินดี
“สถานที่ใด?” ทุกคนมองมาทางเขา ขอเพียงสามารถไล่จินเฟยเหยาไปได้ และจู๋ซวีอู๋ไม่อาละวาดอย่างหนัก ถึงจ่ายค่าตอบแทนมากหน่อยก็ไม่เป็นไร
ผู้อาวุโสตำหนักเล่ออี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “โลกระดับเทพ!”
…………………………..