คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 233 คนวิ่งเต้น
หลังกลับจากเมืองเซียนเหม่ยก็ไม่มีคนมาหาเรื่องจินเฟยเหยา ไป๋เจี่ยนจู๋ก็ปิดประตูไม่ออกมา ไม่รู้ว่าทำอะไรทั้งวัน ไม่มีใครจับตาดูนาง จินเฟยเหยาใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างอิสรเสรี
ปากนางอมสิ่งของที่เป็นผลึกใส กัดทางซ้ายแล้วก็เปลี่ยนมาเลียด้านขวา กำลังเตรียมเขียนจดหมายถึงปู้จื้อโหยว นกปีกสวรรค์พักผ่อนเพียงพอแล้วกำลังกระโดดเล่นไปมาบนทุ่งหญ้า
จินเฟยเหยาไม่ต้องเขียนอะไร เพียงแค่ลบคำพูดของตนเองที่ให้ปู้จื้อโหยวมารับแล้วเปลี่ยนเป็นเรื่องตนเองจะไปจากสำนักตงอวี้หวง นางล่วงเกินคนมากมายในสำนักตงอวี้หวง ถึงคนเหล่านี้ยังไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าสัตว์ภูติถูกนางกิน แต่ไม่ได้แสดงว่าต่อไปจะไม่พบ
อีกทั้งตอนนี้จินเฟยเหยาก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ นางกำลังแทะศิลาวิญญาณ หลังกลืนยาและตานสัตว์ปิศาจก็พบว่าสามารถใช้แทนจินตันและหยวนอิงของมนุษย์ได้
สิ่งที่ราวกับลูกอมในปากจินเฟยเหยาพอดีเป็นตานสัตว์ปิศาจเม็ดเล็กๆ นางทดลองกินตานสัตว์ปิศาจลงไป กลับไม่เหมือนจินตันที่พอเข้าปากก็ละลายทันที ทว่าเป็นเม็ดแข็งๆ ถูกดูดซับอยู่ในปากทีละนิดๆ ลงไปอย่างช้าๆ
ไม่รู้ว่าเนื่องจากตานสัตว์ปิศาจเหล่านี้อยู่ในร่างสัตว์ปิศาจนานเกินไปหรือไม่ รสชาติจึงย่ำแย่อย่างยิ่ง มีกลิ่นคาวจัด รสชาติจืดชืด ไม่เหมือนจินตันและหยวนอิงของเผ่ามนุษย์ที่เหมือนอาหารมื้อใหญ่เลิศรส ทำให้คนได้กลิ่นแล้วน้ำลายสอ แต่ก็สามารถกรอกท้องแทนจินตันได้ เพียงแต่กลืนตานสัตว์ที่ใหญ่เกินไปไม่ค่อยลง จินเฟยเหยาไม่อยากให้คนอื่นเห็นตนเองเคี้ยวเต็มปากจนแก้มพองออกมาเหมือนกระรอก
“มิน่าเล่าข้าถือตานสัตว์ปิศาจก็ไม่มีความคิดอยากจะกินพวกมัน รสชาติของสิ่งนี้ไม่อร่อยอย่างยิ่ง” จินเฟยเหยากัดตานสัตว์ปิศาจที่แข็งสุดเปรียบปานกร้วมๆ กินต่างลูกอม เขียนจดหมายหาปู้จื้อโหยวเสร็จ นางก็นำแท่งหยกใส่บนขาของนกปีกสวรรค์ ตบศีรษะของมันแล้วปล่อยออกไป นกปีกสวรรค์กระพือปีกแล้วบินวูบหายลับไปจากที่เดิม
เห็นนกปีกสวรรค์บินจากไป จินเฟยเหยาก็ลูบคางเอ่ยว่า “เพิ่มความเดือดร้อนให้พี่จู๋มากมายถึงเพียงนี้ ข้าสมควรจะทิ้งสิ่งของอะไรไว้ให้ตำหนักซวีชิงหน่อยจึงถูกต้อง เช่นนั้นก็ทิ้งสิ่งของที่ข้าชอบที่สุดไว้ให้เขาก็พอ”
ในขณะที่จินเฟยเหยาเตรียมจะค้นถุงเฉียนคุน อวี้จูก็ขี่อินทรีสีขาวหิมะตัวหนึ่งมาหานาง “ดียิ่งนัก ผู้อาวุโสอยู่พอดี” นางลงจากอินทรีสีขาวหิมะมาคารวะจินเฟยเหยาก่อน
วันนั้นเมื่อกลับถึงสำนักตงอวี้หวง อวี้จูก็ถูกเรียกไปตำหนักเซียวเทียน ได้ยินว่าถูกไต่สวนถึงสองชั่วยามกว่าเต็มๆ หานเฟิงเฉินผู้อาวุโสของตำหนักตงไถต้องไปด้วยตนเองจึงสามารถนำนางกลับมาได้ แต่ต่อมาเจ้าสำนักก็ไม่เคยมีความเคลื่อนไหวอะไร มีท่าทางเหมือนคลื่นลมสงบนิ่งมาโดยตลอดราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
“มาหาข้ามีธุระอะไร?” จินเฟยเหยาถามอย่างสงสัย หรือคิดจะมาหาเฟิงอวิ๋นจู๋อีก?
อวี้จูมองจินเฟยเหยาที่กำลังเคี้ยวลูกอมกรุบๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสกินอาหารอีกแล้ว ครั้งนี้กินของดีอะไร”
“ของสิ่งนี้ให้เจ้าไม่ได้ กินแล้วจะตายเอา” จินเฟยเหยาอมตานสัตว์ปิศาจพลางเอ่ยวาจา
“ผู้อาวุโสชอบล้อเล่นจริงๆ ครั้งนี้ข้ามาเชิญผู้อาวุโสไปตำหนักเซียวเทียน” อวี้จูรู้ดีว่าขอแบ่งของกินจากนางได้ยากยิ่งจึงเพียงแต่ยิ้ม
จินเฟยเหยากระพริบตาปริบๆ คิดไม่ถึงว่าตำหนักเซียวเทียนจะข้ามหัวตำหนักซวีชิง ให้อวี้จูที่มีการคบหากับตนเองอยู่บ้างมาตามตนเอง หรือว่ามีแผนการร้าย? ในใจคิดเช่นนี้ นางจึงเอ่ยถามตรงๆ ว่า “เจ้าเป็นคนของตำหนักตงไถมิใช่หรือ? ตำหนักเซียวเทียนไม่มีคนแล้วหรือจึงให้เจ้ามาตามข้า มีหลุมพรางจะให้ข้ากระโดดลงไปใช่หรือไม่ ดังนั้นจึงใช้คนรู้จักของข้ามาตาม”
“ไม่มีเรื่องเช่นนั้น ไม่ใช่เช่นนั้น” อวี้จูรีบอธิบายพลางโบกไม้โบกมือ “เจ้าสำนักมีธุระคิดจะเชิญท่านไปสักครา ข้าเห็นพวกเขามีใบหน้าอ่อนโยนยิ้มแย้ม ต้องไม่มีแผนการร้ายแน่ อีกทั้งต่อหน้าคนมากมาย เจ้าสำนักจะทำเรื่องเลวร้ายกับผู้อาวุโสได้อย่างไร”
เห็นอวี้จูท่าทางร้อนใจ จินเฟยเหยาก็ปิดปากหัวเราะ “ล้อเจ้าเล่นหรอก ดูเจ้าร้อนใจเข้าสิ ไปเถอะ ข้าอยากไปดูหน่อยว่ามาตามข้ามีธุระอะไร”
“ผู้อาวุโสชอบล้อเล่นจริงๆ คำพูดที่ท่านพูดเมื่อครู่ทำให้ข้าตกใจแทบแย่” อวี้จูปาดเหงื่อบนหน้าผาก
จินเฟยเหยาพาพั่งจื่อและต้านิวนั่งพรมบินติดตามด้านหลังของอินทรีสีขาวหิมะของอวี้จูบินไปยังตำหนักเซียวเทียนด้วย
ระหว่างทางเห็นขนาดร่างกายอินทรีสีขาวหิมะของอวี้จูมีท่วงท่าดีอย่างยิ่ง จินเฟยเหยาจึงเอ่ยชม “อวี้จู อินทรีสีขาวหิมะตัวนี้ของเจ้าหน้าตาไม่เลว แต่เนื้อของสัตว์ปิศาจประเภทนกต้องอายุน้อยๆ จึงจะอร่อย อย่างพลังการบำเพ็ญเพียรของอินทรีสีขาวหิมะตัวนี้ เนื้อต้องเหนียวมากแน่ ได้แต่ต้มเป็นน้ำแกงดื่ม”
“หา!” อวี้จูแทบร่วงจากอินทรีสีขาวหิมะ นางเคยได้ยินข่าวลือมาว่าสัตว์ปิศาจที่หายสาบสูญในสำนักทั้งหมดถูกผู้อาวุโสจินกิน ถ้าเป็นการกระทำของนางจริงๆ นี่หมายความว่านางหมายตาอินทรีสีขาวหิมะของข้า!
“เจ้าเป็นอะไรไป?” จินเฟยเหยามองนางพลางเอ่ยถาม
อวี้จูรีบส่ายศีรษะเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรๆ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดอวี้จูก็ทนไม่ไหว เอ่ยถามอย่างระแวดระวัง “ผู้อาวุโสจิน ท่านชอบกินสัตว์ภูติหรือไม่?”
“สัตว์ภูติ? รสชาติยังพอใช้ได้ ทว่ากินแล้วยุ่งยาก อีกทั้งบางครั้งสัตว์ภูติบางตัวไม่อร่อย เนื้อทั้งแห้งแข็งทั้งเหม็นเปรี้ยว เทียบกันแล้ว ข้ารู้สึกว่าคนน่ากินมากกว่า น่าเสียดายที่เจ้าเด็กเกินไป ยังกินไม่ได้ ไม่เช่นนั้นข้าต้องหาโอกาสกินเจ้าแน่” จินเฟยเหยาจ้องมองอวี้จูด้วยสายตาคลุมเครือพลางเลียริมฝีปาก
อวี้จูรู้สึกขนลุกชันทั้งตัว อดตัวสั่นเทาไม่ได้ หรือว่าผู้อาวุโสจินท่านนี้ชอบสตรีด้วยกัน!
ในชีวิตคนเรามักจะมีเรื่องแบบนี้เสมอ ตอนเจ้าพูดเรื่องหนึ่ง คนฟังอดคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งไม่ได้ จินเฟยเหยาไม่รู้ว่าคำพูดเช่นนี้ของตนเองทำให้อวี้จูคิดถึงเรื่องอื่น ดังนั้น นอกจากโจรที่แอบขโมยกินสัตว์ภูติแล้ว ยังเพิ่มหัวข้อสนทนาแพร่สะพัดออกไปอย่างลับๆ อีกเรื่อง
ทั้งสองคนมาถึงตำหนักเซียวเทียน อวี้จูหาข้ออ้างหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เห็นนางกระโดดขึ้นอินทรีสีขาวหิมะอย่างลนลานจนเกือบจะตกลงมาอย่างอเนจอนาถ จินเฟยเหยาก็เบ้ปากและบ่นพึมพำ “ข้าก็บอกนางแล้วว่าเด็กเกินไป จะไม่กินนาง ยังกลัวจนกลายเป็นแบบนี้ทำไม อย่างน้อยก็ต้องควบรวมจินตันจึงสามารถกินได้”
เดินเข้าห้องโถงประชุมของตำหนักเซียวเทียน วันนี้จินเฟยเหยาพบว่ามีคนมาไม่มาก นับรวมเจ้าสำนักฉือชางเจินเหรินแล้ว ทั้งหมดมีเพียงห้าคน อีกทั้งพวกเขายังมีสีหน้าอ่อนโยนยิ้มแย้ม ดูแล้วไม่เหมือนระดมกำลังมาปราบปรามจริงๆ
“ศิษย์น้องเล็กมาแล้ว เชิญนั่ง” เจ้าสำนักเรียกนางว่าศิษย์น้องเล็กอย่างขัดเขิน เรื่องนี้มอบให้ลั่วฝานเจินเหรินแห่งตำหนักฉางเล่อซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่อีกคนหนึ่ง
ลั่วฝานเจินเหรินหน้าตาซื่อสัตย์จริงใจ ทักทายจินเฟยเหยาอย่างกระตือรือร้น
จินเฟยเหยาที่ถูกปั้นหน้าเย็นชาใส่มาตลอด รู้สึกตกใจที่ได้รับความโปรดปราณอย่างคาดไม่ถึง ไม่มีอะไรก็มาทำดีด้วยมิใช่มีเจตนาร้ายก็คงคิดจะขโมยของ[1] คนเหล่านี้วางแผนบ้าๆ อะไรอีกล่ะ
จินเฟยเหยานั่งลงบนเก้าอี้ มองคนทั้งห้าอย่างระแวดระวัง คงมิใช่จะจับข้าที่นี่ จากนั้นฉวยโอกาสที่จู๋ซวีอู๋ไม่อยู่สับข้าหรอกนะ
เห็นนางตื่นตัวและระวังป้องกัน ลั่วฝานเจินเหรินก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็กไม่ต้องเครียด พวกเราเรียกเจ้ามาเพราะมีเรื่องอยากจะขอร้อง”
เรื่องนี้ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกเหนือความคาดหมาย ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เหล่านี้ยังมีเรื่องมาขอร้องข้าได้? หรือว่าเป็นเรื่องนี้!
จินเฟยเหยาหลุดปากเอ่ยถามว่า “มีใครล่วงเกินพวกท่านใช่หรือไม่ พวกท่านจึงคิดจะให้ข้าไปกินจนพวกเขาล้มละลาย?”
ลั่วฝานเจินเหรินชะงักไปนิดหนึ่งจึงแย้มยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ไม่ใช่เรื่องนี้ พวกเราคิดจะให้ศิษย์น้องเล็กช่วยไปส่งสิ่งสำคัญชิ้นหนึ่งให้พวกเรา”
“ส่งสิ่งของ? เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องตามข้านะ ในสำนักมีคนตั้งมากมาย คนวิ่งเต้นมีอยู่ทั่วไป” จินเฟยเหยากระพริบตาปริบๆ มองพวกเขาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“คนย่อมมีอยู่มากมาย ทว่าสถานที่ที่ต้องไปไม่ใช่สถานที่ซึ่งคนธรรมดาสามารถไปได้” ลั่วฝานเจินเหรินเอ่ยเบาๆ
ครั้งนี้จินเฟยเหยาไม่ได้ส่งเสียง เพียงมองดูนาง คิดจะดูว่านางยังพูดอะไรอีก
ลั่วฝานเจินเหรินมองจินเฟยเหยาพลางเอ่ยว่า “ต้องไปโลกระดับเทพ”
“โลกระดับเทพ?” จินเฟยเหยาได้ฟังก็ตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าต้องไปโลกระดับเทพ
อ้อ จริงสิ โลกระดับเทพอยู่ไกลจากโลกระดับวิญญาณ จึงให้ข้าไปส่งสิ่งของพอดี จะได้เอาข้าไปโยนทิ้งไว้ที่โลกระดับเทพง่ายๆ สามารถไล่ข้าไปได้ ทั้งยังไม่ต้องกลัวคนของตำหนักซวีชิงจะอาละวาด กินอาหารตั้งมากมายไปฟรีๆ ให้เจ้าวิ่งเต้นหน่อยคิดไม่ถึงว่าจะไม่ยินยอม หนังหน้าหนาแบบนี้เจ้ายังอยู่ที่สำนักตงอวี้หวงต่อได้หรือ?
จินเฟยเหยาใช้นิ้ววาดบนเท้าแขนเก้าอี้ ดูลวดลายบนนั้นพลางเอ่ยถามอย่างสงสัย “โลกระดับเทพ…ไม่ใช่ข้าไม่อยากช่วย ข้อสำคัญคือข้าไม่เคยไป อีกทั้งยังซื้อตั๋วโดยสารเรือไปโลกระดับเทพไม่ไหว ไม่มีตั๋วเรือข้าก็ไปไม่ได้ และกลับมาไม่ได้ อีกทั้งข้ายังตัดใจไปจากศิษย์พี่ทุกท่านที่สำนักตงอวี้หวงไม่ได้”
เจ้าตัดใจจากชีวิตดีๆ ที่นี่ไม่ได้ต่างหาก!
ลั่วฝานเจินเหรินเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “ถ้าศิษย์น้องเล็กไม่ยอมช่วยเหลือ เช่นนั้นก็ย่ำแย่แล้ว นี่เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของโลกเผ่ามนุษย์ เป็นข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเผ่ามารฉบับหนึ่ง ต้องส่งถึงเมืองซันจือที่โลกระดับเทพ ถ้าตั๋วเรือ พวกเราสามารถหาเส้นสายส่งศิษย์น้องเล็กไปโลกระดับเทพได้โดยไม่ต้องใช้ตั๋วเรือ เพียงแต่ไม่ได้ขึ้นเรือที่เมืองวั่นเซียนสุ่ย”
“ไปเรือส่วนตัว?” จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองนาง
“ไม่ใช่ไปเรือส่วนตัว ทว่าเป็นเรือส่วนตัวของหอฉีเทียน พวกเขามีคนกลุ่มหนึ่งจะไปโลกระดับเทพพอดี ดังนั้นพวกเราจึงขอให้พวกเขาเหลือที่นั่งไว้ที่หนึ่ง”
จินเฟยเหยาพยักหน้าราวกับครุ่นคิด “ข้าได้ยินว่าเมืองวั่นเซียนสุ่ยเดินเรือไปโลกระดับเทพ ผู้บำเพ็ญเซียนหนึ่งคนต้องจ่ายหนึ่งแสนศิลาวิญญาณชั้นกลาง ถ้าเบียดไปกับเรือของหอฉีเทียนก็สามารถประหยัดศิลาวิญญาณได้มาก”
ลั่วฝานเจินเหรินสบตากับเจ้าสำนัก แล้วพยักหน้านิดๆ จากนั้นเอ่ยกับจินเฟยเหยาว่า “ถ้าศิษย์น้องเล็กยินยอมไปสักครา พวกเรายินดีเพิ่มศิลาวิญญาณหนึ่งพันก้อนให้เป็นค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางของศิษย์น้องเล็ก”
ศิลาวิญญาณชั้นกลางหนึ่งพันก้อน ตระหนี่จริงๆ จินเฟยเหยาอดตำหนิในใจไม่ได้
เห็นจินเฟยเหยาไม่ส่งเสียง ฉือชางเจินเหรินก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้าต้องการอะไรจึงยอมไป สามารถบอกมาให้ฟังได้”
จินเฟยเหยาเอานิ้วชี้สองนิ้วมาจิ้มกัน พลางเอ่ยอย่างขัดเขิน “ข้าต้องการตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นสิบพวง ถ้าเป็นศิลาวิญญาณชั้นกลางก็ประมาณนี้ พวกเราต่างก็คุ้นเคยกันดี อีกทั้งทุกคนยังดูแลข้าเป็นอย่างดี ศิลาวิญญาณชั้นกลางหนึ่งพันก้อนเพียงพอแล้ว ข้ายังจะกล้ารับมากมายได้อย่างไร”
ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นสิบพวง พูดจาวางโตนัก! พอเปิดปาก คนทั้งห้าในที่นั้นก็อดขมวดคิ้วก่นด่าบิดามารดาที่ให้กำเนิดจินเฟยเหยาในใจหลายรอบไม่ได้
………………………………
[1] ไม่มีอะไรก็มาทำดีด้วยมิใช่มีเจตนาร้ายก็คงคิดจะขโมยของ หมายถึง โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี คนที่มาทำดีกับคุณอาจจะมีเรื่องขอร้องหรืออยากได้ผลประโยชน์จากคุณ หรืออาจจะวางแผนร้ายกับคุณอยู่