คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 234 เจรจาการค้า
ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่น เป็นการเปลี่ยนสภาพของตานสัตว์ปิศาจขั้นเจ็ด ตานสัตว์ปิศาจที่เดิมทีเป็นเม็ดเดี่ยวๆ เม็ดเดียวจะกระจายเป็นหลายเม็ดและเรียงร้อยเข้าด้วยกันราวกับพวงองุ่น เปรียบเทียบกับตานสัตว์ปิศาจทั้งเม็ด ขณะที่ใส่ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นลงในยาสามารถแบ่งใช้ได้หลายชุด ไม่เหมือนตานสัตว์ปิศาจทั้งเม็ดที่ต้องแบ่งปริมาณยาในเตาหลอมออกมามากหน่อย ส่วนตานสัตว์ปิศาจที่แบ่งออกมาแล้วก็จะใช้ไม่ได้อีก
บวกกับตานสัตว์ปิศาจขั้นเจ็ดหนึ่งหมื่นตัวอย่างมากที่สุดมีเพียงตานสัตว์ปิศาจตัวสองตัวที่จะมีรูปร่างเป็นพวงองุ่น ย่อมมีราคาแพงมากกว่าตานสัตว์ปิศาจขั้นเจ็ดธรรมดาไม่น้อย
ส่วนจินเฟยเหยาพอเอ่ยปากก็ต้องการสิบพวง ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าหาไม่ได้ ต่อให้หามาได้ สำนักตงอวี้หวงก็ตัดใจมอบให้ไม่ได้
ฉือชางเจินเหรินถลึงตาใส่ลั่วฝานเจินเหริน ถ่ายทอดเสียงไป ลั่วฝานเจินเหรินได้แต่ฝืนเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็ก ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นสิบพวงมากเกินไป เจ้าจะนำตานสัตว์ปิศาจมากมายขนาดนี้ไปทำอะไร? มีเพียงตอนหลอมยาที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่กินจึงจำเป็นต้องใช้ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่น เจ้านำไปก็ไม่มีประโยชน์”
จินเฟยเหยาเอ่ยด้วยสีหน้าเปิดเผยและจริงใจ “ข้านำมากิน ไม่ได้นำมาหลอมยา”
ลั่วฝานเจินเหรินหมดวาจา คำโกหกนี้พูดเสียถูกต้องชอบธรรมทำให้ตอบนางลำบาก สุดท้ายก็ได้แต่ปรึกษาหารือ “พวกเราไม่มีมากขนาดนั้น มิสู้ให้ตานสัตว์ปิศาจธรรมดาขั้นหกสิบเม็ดแก่เจ้าเป็นอย่างไร”
ตานสัตว์ปิศาจธรรมดาขั้นหกปกติล้วนมีขนาดเท่าเหอเทา ตานสัตว์ปิศาจที่ใหญ่เกินไปบางอันถ้าควบรวมได้ไม่ดีจะมีขนาดใหญ่เท่ากำปั้น จินเฟยเหยาครุ่นคิด ขนาดเท่าเหอเทายังสามารถอมในปากและดูดซับอย่างช้าๆ ถ้าตานสัตว์ปิศาจขนาดเท่ากำปั้นจะยัดลงไปและกินอย่างไร แต่ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นสิบพวงมากเกินไปหน่อย เกรงว่าคนเหล่านี้คงตัดใจไม่ได้
ดังนั้นนางจึงฝืนเอ่ยว่า “เช่นนี้เถอะ ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นห้าพวง ตานสัตว์ปิศาจขั้นหกห้าสิบเม็ดเอาขนาดเท่าเหอเทา”
ลั่วฝานเจินเหรินสูดลมหายใจเย็นเยียบ “ตานสัตว์ปิศาจขั้นหกห้าสิบเม็ดมากเกินไป สามารถให้เจ้าได้สิบห้าเม็ด ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นให้ไม่ได้ ตัวข้าเองก็ยังไม่มีเลย”
“ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นสี่พวง ตานสัตว์ปิศาจขั้นหกห้าสิบเม็ด” จินเฟยเหยาจนปัญญา ได้แต่ยอมถอยให้หนึ่งก้าว
“ตานสัตว์ปิศาจขั้นหกสามสิบเม็ด ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นไม่ได้จริงๆ” ลั่วฝานเจินเหรินกัดไม่ปล่อย ได้แต่ยอมถอยเรื่องตานสัตว์ปิศาจขั้นหก
“ห้าสิบเม็ด ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นสามพวง”
“สามสิบห้าเม็ด ไม่มีพวงองุ่น”
“อย่าทำแบบนี้สิศิษย์พี่ ข้าถอยให้ก้าวสุดท้าย พวงองุ่นสองพวง ขั้นหกห้าสิบเม็ด”
“ไม่ได้!”
“ศิษย์พี่ ท่านก็ช่วยข้าอีกหน่อยเถอะ”
“ถึงเจ้าตะโกนเรียกศิษย์พี่ก็ไม่มี ไม่มีตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นก็คือไม่มี ตานสัตว์ปิศาจขั้นหกสี่สิบเม็ด จะเอาหรือไม่ก็ตามใจเจ้า” ลั่วฝานเจินเหรินมีโทสะแล้ว มีชีวิตอยู่มาจนป่านนี้ นางไม่เคยต่อราคาราวกับแม่ค้าหาบเร่มาก่อน คิดจะบีบให้คนตายโดยแท้
“ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นหนึ่งพวง ตานสัตว์ปิศาจขั้นหกห้าสิบเม็ด ถ้าไม่ได้พวกท่านก็ไปหาคนอื่นเอง ถึงอย่างไรข้าก็ชอบสำนักตงอวี้หวง ยังไม่คิดจะออกไป” จินเฟยเหยาใช้สองมือกอดอก เอนพิงเก้าอี้ไม่เอ่ยวาจาอีก
“ฮึ!” ลั่วฝานเจินเหรินตบเก้าอี้และยืนขึ้นอย่างเดือดดาล เห็นฉือชางเจินเหรินส่ายศีรษะ จึงได้แต่กล้ำกลืนเพลิงโทสะนั่งลงอย่างแรง
ฉือชางเจินเหรินสะกดความไม่พอใจเต็มท้อง มีเพียงสามารถไล่นางออกจากสำนักตงอวี้หวงได้ ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นก็ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่น! ถึงอย่างไรก็แพงกว่าตานสัตว์ปิศาจธรรมดาขั้นเจ็ดเท่าหรือสองเท่า ยังไม่ถึงขั้นต้องเฉือนเนื้อ “ก็ได้ ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นหนึ่งพวง ตานสัตว์ปิศาจขั้นหกห้าสิบเม็ด ทว่าเจ้าต้องเดินทางทันที เรื่องนี้ล่าช้าไม่ได้”
จินเฟยเหยายิ้มจนตาหยี ตบอกเอ่ยรับประกัน “ท่านวางใจเถอะ ข้าได้สิ่งของแล้วจะไปเก็บของทันที พรุ่งนี้เช้าก็ไปได้ เพียงแต่รบกวนตอนท่านเลือกตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นให้เลือกพวงใหญ่ๆ ทางที่ดีเป็นแบบที่มียี่สิบสามสิบเม็ด ตานสัตว์ปิศาจขั้นหกข้าขอแค่ขนาดเหอเทา ที่จริงยิ่งเล็กยิ่งดี ข้าไม่ต้องการอันที่มีขนาดใหญ่กว่าเหอเทา”
“…! เจ้าไปเก็บของก่อน พรุ่งนี้ก่อนออกเดินทางค่อยมอบให้เจ้า” ฉือชางเจินเหรินถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล พลางเอ่ยเสียงเข้มงวด
จินเฟยเหยาลูบจมูกเอ่ยด้วยสีหน้าทะเล้น แล้วรีบวิ่งออกจากตำหนักเซียวเทียน
“ถ้ามิใช่เห็นแก่หน้าของศิษย์น้องจู๋ ข้าฟาดนางตายไปนานแล้ว!” หลังจินเฟยเหยาจากไป ลั่วฝานเจินเหรินที่แลดูใจดีมีเมตตาก็เอ่ยอย่างเดือดดาล
“พอแล้ว จะไปถือสาเด็กน้อยขั้นหลอมรวมคนหนึ่งขนาดนี้ทำไม พวกเราเป็นสำนักอันเที่ยงธรรมที่มีชื่อเสียง สิ่งที่กระทำปกติคือเรื่องอันถูกต้องเปิดเผย ฟาดนางให้ตายก็แค่หาความยุ่งยากใส่ตัวเท่านั้น” โทสะของฉือชางเจินเหรินสงบลงแล้ว เขาเป็นเจ้าสำนักแห่งหนึ่ง เคยจัดการเรื่องที่ซับซ้อนและตึงมือมามากมาย ถ้าใส่ใจเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังจะเป็นเจ้าสำนักที่ดีมีชื่อเสียงเลื่องลือภายนอกได้อย่างไร
ลั่วฝานเจินเหรินได้ยินคำพูดของเขาก็เอ่ยพึมพำเสียงค่อย “ศิษย์น้องจู๋ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นที่โลกระดับดิน ไม่เห็นจะมีจิตใจสง่าผ่าเผยสักเท่าไรเลย”
“เจ้าจะรู้อะไร!” ครั้งนี้ฉือชางเจินเหรินมีโทสะจริงๆ แล้ว จึงด่าทออย่างอารมณ์เสีย “เขาทำแบบนั้นเพราะมีสาเหตุ เจ้ามีสมองเสียเปล่าจริงๆ เผ่ามารควบคุมระดับสูงของสำนักโลกระดับดินมากมาย ทั้งยังซุ่มซ่อนอยู่นับร้อยปี เผ่ามารที่คลุมเปลือกนอกเป็นผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์เหล่านั้นคิดจะทำให้โลกระดับดินกลายเป็นสวนหลังบ้านของพวกเขา!”
“การสู้รบวุ่นวายทำลายแผนการของพวกเขา ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากที่ถูกเผ่ามารควบคุมตกตายในสนามรบ ตอนแรกโลกระดับวิญญาณส่งผู้บำเพ็ญเซียนลงไปจำนวนไม่น้อยจึงเข้าใจแผนการร้ายของเผ่ามารอย่างถ่องแท้ ถ้ามิใช่ศิษย์น้องจู๋ของเจ้า พวกเจ้าจะสามารถควบคุมดินแดนในโลกระดับดินทั้งหกอีกได้อย่างไร ถึงโลกระดับดินจะไม่มั่งคั่งเท่าโลกระดับวิญญาณแต่ก็ถือว่าเป็นดินแดนของตนเอง ดีกว่าได้ครอบครองขุนเขาลูกเดียวที่โลกระดับวิญญาณมากนัก!” ฉือชางเจินเหรินถลึงตาใส่นางอย่างดุร้าย
เนื่องจากยึดครองดินแดนโลกระดับดินหกใบ ดังนั้นสำนักตงอวี้หวงจึงเตรียมก่อตั้งสำนักสาขาที่โลกระดับดิน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ที่ชื่อสยงเทียนคุนไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังจริงๆ ภายใต้การสนับสนุนของพวกเขาสามสิบเจ็ดสำนัก สามารถยึดครองดินแดนหนึ่งในสามของโลกระดับดินได้ ฉือชางเจินเหรินถือว่าพอใจกับผลลัพธ์นี้ ดินแดนซึ่งถูกคนที่สำนักอื่นๆ คัดเลือกมาช่วงชิงและยึดครองส่วนใหญ่ใกล้เคียงกัน ขอเพียงไม่โจมตีกันเอง รอให้สถานการณ์สงบลง สำนักที่เข้าร่วมสงครามได้ดินแดนก็สามารถกำหนดเขตได้
จู๋ซวีอู๋สร้างความชอบ นอกจากความแข็งแกร่งแล้วก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ถูกฉือชางเจินเหรินมองด้วยสายตาที่แตกต่างออกไปและใส่ใจเป็นพิเศษ
ลั่วฝานเจินเหรินถูกด่าทอยกหนึ่ง รู้ตัวว่าพูดผิดไป ได้แต่เงียบไม่กล้าระบายโทสะ
ส่วนจินเฟยเหยาพอออกจากตำหนักเซียวเทียน ก็กลับตำหนักซวีชิงอย่างยินดี และวิ่งไปหาคงจู๋อู๋
พอคงจู๋อู๋ได้ยินก็พูดไม่ออกทันที ตำหนักเซียวเทียนถึงกับข้ามหัวพวกเขา ใช้วิธีนี้ขับไล่นางไป โลกระดับเทพไม่ใช่สถานที่ที่อาศัยอยู่ได้ง่ายๆ เห็นท่าทางยินดีอย่างยิ่งของนาง เกรงว่าคงไม่รู้สภาพการณ์ของโลกระดับเทพเลยสักนิด
“ข้าคิดว่าเจ้าหาข้ออ้างปฏิเสธเรื่องนี้ดีกว่า พวกเขาจงใจฉวยโอกาสตอนที่อาจารย์ไม่อยู่ คิดจะไล่เจ้าไป” คงจู๋อู๋เอ่ยเตือน
จินเฟยเหยาค้นถุงเฉียนคุนพลางเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าพวกเขาจงใจ ถ้าไปโลกระดับเทพแล้วคิดจะกลับมาเกรงว่าคงไม่ง่ายดาย ในเวลาสั้นๆ ข้าคงซื้อตั๋วเรือที่เมืองวั่นเซียนสุ่ยไม่ไหวแน่”
“แล้วเจ้ายังจะรับปาก?” คงจู๋อู๋เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“ที่จริงเดิมทีข้าคิดจะจากไป ข้าอยู่ที่นี่รบกวนพวกท่านมานานมากแล้ว ทำเอาพวกท่านแตกตื่นไปหมด ทั้งยังกินสัตว์ภูติไปมากมาย ต่อไปต้องถูกคนหาหลักฐานได้แน่ ข้าต้องทำงานกี่ปีจึงสามารถชดใช้ได้ ย่อมต้องฉวยโอกาสนี้จากไป” จินเฟยเหยายิ้มแย้ม
คงจู๋อู๋หลุดปากออกมาโดยไม่รู้ตัว “ที่แท้เจ้าก็รู้ว่าเจ้าทำเรื่องงามหน้า”
พอหลุดปาก เขาก็รู้ว่าพูดเกินไปราวกับตนเองรำคาญนางอย่างยิ่ง
จินเฟยเหยาไม่ใส่ใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างเบิกบาน “ข้าไม่ใช่คนโง่ ข้าย่อมรู้ว่าตนเองหาเรื่องยุ่งยากมาให้พวกท่านมากมายเพียงใด ถ้าถูกพบว่าข้ากินสัตว์ภูติ ต่อให้ข้าไม่ใช่ศิษย์ของตำหนักซวีชิง ก็ทำให้พวกท่านพัวพันไปด้วยเนื่องจากพี่จู๋พาข้ากลับมา อีกทั้งข้ายังกินมากเกิน ถ้าอยู่ต่อไปอาจจะเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้น”
“เจ้ารู้ชัดๆ ยังขโมยสัตว์ภูติกิน” คงจู๋อู๋ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี นางรู้ว่าเรื่องที่ตนเองทำก่อความเดือดร้อนมากเพียงใดมาตั้งแต่ต้นจนจบ คิดไม่ถึงว่ายังจะทำ
“ข้าไม่มีทางเลือก ข้าต้องกินอาหาร แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว ข้าหาของกินอย่างอื่นได้แล้ว เพื่อพวกท่านข้าจากไปจะดีกว่า” ในที่สุดจินเฟยเหยาก็ได้สิ่งของที่ต้องการออกมาจากถุงเฉียนคุน และโยนทั้งหมดไว้บนพื้น
พอคงจู๋อู๋เห็น สิ่งที่นางล้วงออกมาเป็นของกินกองหนึ่ง เพียงแต่ลักษณะแปลกประหลาดเป็นพิเศษ มีขนาดใหญ่มากไม่เหมือนผลไม้ธรรมดา
“เจ้าบอกว่าเปลี่ยนอาหาร ก็คือสิ่งของเหล่านี้หรือ?” เห็นโปหลัว[1]ขนาดใหญ่ราวกับภูเขาลูกย่อมๆ คงจู๋อู๋ก็เอ่ยถามอย่างตกตะลึง
“ไม่ใช่ๆ” จินเฟยเหยาโบกไม้โบกมือและอ้าปากให้คงจู๋อู๋ดู “ตอนนี้ข้ากินอย่างอื่น ท่านดู ก็คือสิ่งนี้”
พอคงจู๋อู๋มองดู ในปากของนางอมตานสัตว์ปิศาจขนาดเท่าเม็ดลำไยเม็ดหนึ่งถูกน้ำลายทำให้ส่องแสงวิบวับ การรับรู้ของเขาให้คำอธิบายเรื่องนี้แก่เขาไม่ได้ ได้แต่มองจินเฟยเหยาอย่างหมดวาจา เอาตานสัตว์ปิศาจใส่ไว้ในปากอมไปอมมาราวกับลูกอม
“สิ่งของเหล่านี้ข้าถือว่าเป็นสิ่งล้ำค่าเก็บสะสมไว้และตัดใจกินไม่ได้ ศิษย์พี่ไม่เคยเห็นผลไม้ที่ใหญ่ขนาดนี้สินะ นี่ข้าได้มาจากผู้ฝึกบำเพ็ญขั้นแปลงจิต ไม่มีที่อื่น ข้ารบกวนพวกท่านมานานและยังเกือบคิดจะกินพวกท่าน รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง จึงมอบผลไม้ที่ข้าชอบที่สุดให้พวกท่าน ท่านอย่าดูถูกผลไม้เหล่านี้ ตอนนั้นพี่จู๋ใช้ศิลาวิญญาณชั้นบนสองก้อนจึงแลกผลไม้สีแดงไปได้สองผล พวกท่านอย่าเชิญคนมากินล่ะ เก็บไว้ให้พี่จู๋หน่อย อย่างอื่นได้แต่มอบให้พวกศิษย์พี่ตำหนักซวีชิงกิน” จินเฟยเหยาชี้ผลไม้สีแดงหลายสิบผลบนพื้น กลัวคงจู๋อู๋จะไม่รู้จักสิ่งของ ให้คนกินตามสบาย
คงจู๋อู๋มองผลไม้สีแดงขนาดเท่าศีรษะสิบกว่าผล ใหญ่นั้นใหญ่อยู่ แต่เรื่องใช้ศิลาวิญญาณชั้นบนมาแลกเปลี่ยน มีเพียงอาจารย์เขาที่ทำลง เป็นลูกล้างผลาญโดยแท้ โชคดีที่คลังสมบัติของตำหนักซวีชิงมีข้ากับศิษย์น้องดูแล ไม่เช่นนั้นเกรงว่าแม้แต่ตัดชุดให้บรรดาศิษย์ผลัดเปลี่ยนสักหลายชุดคงทำไม่ได้
เรื่องเล็กน้อยที่เขาคิดในใจ ถ้าให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นได้ยินเข้าต้องมีโทสะจนกระอักโลหิตแน่
เสื้อผ้าที่ศิษย์ของตำหนักซวีชิงสวมใส่ทั้งหมดเป็นของวิเศษ แม้แต่ชุดของบรรดาศิษย์ขั้นสร้างฐานก็เป็นของวิเศษ ส่วนบรรดาศิษย์ขั้นฝึกปราณที่เพิ่งเข้าสู่สำนัก ถึงแม้ชุดที่สวมใส่จะเป็นอาวุธเวทชั้นยอด ทว่าเครื่องป้องกันบนร่างต่างก็มีของวิเศษหนึ่งถึงสองชิ้น ทำให้ศิษย์ตำหนักอื่นๆ อิจฉาริษยา ลับหลังต่างเรียกตำหนักซวีชิงเป็นตำหนักสมบัติ
……………………………
[1] โปหลัว คือ สับปะรด
*****