คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 240 เจ้าบุญทุ่ม
จินเฟยเหยากระพริบตา ลูบเส้นผมพลางเอ่ยด้วยสีหน้าผู้บริสุทธิ์ “ไม่เคย ข้าไม่เคยเรียนเคล็ดวิชาประหลาดมาก่อน ถ้าเป็นสัตว์ปิศาจ ที่จริงไม่มีสัตว์ปิศาจที่หน้าตาปกติเลยสักนิด ก็รูปร่างแปลกประหลาดเกือบทั้งหมดนะ”
“อย่างเช่น แบบที่กินได้ทุกอย่าง” สยงเทียนคุนขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามอีก
“ไม่มีๆ ข้าไม่เคยเห็นสัตว์ปิศาจที่กินเก่งกว่าสุกรมาก่อน พวกสุกรคงไม่ถือว่าเป็นสัตว์ปิศาจหรอกนะ พี่สยง เหตุใดท่านจึงถามข้าเรื่องนี้ เมื่อครู่ท่านยังเล่าไม่จบเลย พลังการบำเพ็ญเพียรของท่านเป็นเรื่องราวใดกันแน่” จินเฟยเหยารีบโบกไม้โบกมือ จากนั้นเอียงศีรษะ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยดวงตาเป็นประกาย
สยงเทียนคุนมองนางอย่างตั้งใจ มองจนจินเฟยเหยารู้สึกไม่สบายใจจนแย้มยิ้มโง่งมออกมาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเขาเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “พลังการบำเพ็ญเพียรเพิ่มรวดเร็วขนาดนี้ เนื่องจากได้พบเรื่องโชคดีอย่างคาดไม่ถึง”
“อ้อ โชคดีจริงๆ จากนั้นล่ะ?” จินเฟยเหยาพยักหน้าอย่างอิจฉา
“ไม่มีแล้ว จากนั้นข้าก็เป็นขั้นกำเนิดใหม่ ไม่มีใครกล้ามายั่วยุข้าตามใจชอบในโลกระดับดิน” สยงเทียนคุนกลับคืนสู่รอยยิ้มตอนแรกเริ่ม
“…” จินเฟยเหยามองเขาอย่างหมดวาจา เจ้าหมอนี่ไม่อยากพูด จริงสิ เมื่อครู่ดูเหมือนจะมีเสียงคนตวาดลั่น ฟังแล้วเหมือนชายชรา เป็นใครกันนะ?
“เจ้ามองอะไร?” เห็นจินเฟยเหยาหมุนตัวมองไปรอบด้าน สยงเทียนคุนที่ซ่อนความลับเอาไว้ก็เอ่ยถามอย่างหวาดระแวง
จินเฟยเหยาลูบใบหน้าพลางเอ่ยด้วยสีหน้างุนงง “เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงตวาดของชายชรา น่าจะได้ยินไม่ผิด อาจจะมีคนซ่อนตัวอยู่รอบๆ เพื่อความปลอดภัย หาดูให้ละเอียดหน่อยก็ดี แต่ข้าใช้การรับรู้ค้นหาดูกลับไม่พบเห็นอะไร”
สยงเทียนคุนเม้มปากเอ่ยว่า “เจ้าต้องหูฝาดแน่ ตอนนั้นเจ้าสติเลอะเลือนมิใช่หรือ ในใจเจ้าอาจจะมีสิ่งต้านทานอะไรคอยหยุดยั้งตอนเจ้าทำผิด”
เห็นสยงเทียนคุนพูดโกหกจนหน้าแดงหูแดง คนโง่ยังดูออก จินเฟยเหยาจึงถอนหายใจยาว ทุกคนต่างมีความลับ ก็ให้เขาซ่อนเร้นไว้เถอะ
จินเฟยเหยาไม่เอ่ยถึงเรื่องเสียงประหลาดอีก แต่ถามเขาว่ามาปล้นชิงที่โลกระดับวิญญาณโดยเฉพาะหรือ?
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบัง สยงเทียนคุนจึงเล่ารายละเอียดทั้งหมด จินเฟยเหยารับฟังจนปากอ้าตาค้าง
ที่แท้โลกระดับดินของสยงเทียนคุนถูกสามสิบเจ็ดพันธมิตรหมายตา เบื้องหลังสนับสนุนให้เขาตีชิงดินแดนหนึ่งในสาม ทว่าดินแดนเหล่านี้นอกจากตัวเขาเองได้แบ่งมาขนาดโลกสามใบแล้ว ส่วนอื่นๆ ก็ให้คนเหล่านี้เอาไปแบ่งกันทั้งหมด ทว่าพวกเขาตกลงยินยอมส่งมอบศิลาวิญญาณและวัตถุดิบส่วนหนึ่งให้ทุกสิบปีถือเป็นค่าเหนื่อยของเขา
ส่วนดินแดนเหล่านี้ ตอนนี้อยู่ภายใต้นามของสยงเทียนคุน ถือเป็นแคว้นผู้บำเพ็ญเซียนอันสมบูรณ์แบบแห่งหนึ่ง ดูจากภายนอก ศูนย์กลางคือสถานที่ซึ่งสยงเทียนคุนอยู่ ไม่ว่าเรื่องอะไรสุดท้ายล้วนต้องรายงานมาที่เขา ที่จริงมอบอำนาจให้แต่ละสำนัก เขาเองก็มีสำนักแห่งหนึ่ง และเป็นราชันย์ตามธรรมเนียมเท่านั้น
ส่วนที่สยงเทียนคุนมาโลกระดับเทพในครั้งนี้ หลักๆ คือถือโอกาสปล้นชิงและสังหารแพะอ้วนไม่กี่วันเพื่อหาค่าใช้จ่ายสักก้อนหนึ่ง
จินเฟยเหยาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง “ในเมื่อพวกเขาบอกจะให้ท่านทุกสิบปี คาดว่าคงสามารถมอบสิ่งของที่ตกลงกันไว้จากโลกระดับดินได้ ไยท่านต้องแล่นมาเก็บที่นี่ ท่านเองก็มีโลกสามใบ หรือว่าไม่มีเหมืองศิลาวิญญาณชั้นล่างสักแห่ง?”
“เหมืองศิลาวิญญาณมีหกแห่ง มีสองแห่งที่มีปริมาณมากหน่อย อีกสี่แห่งมีปริมาณแค่ปานกลาง เจ้าก็รู้ว่าเดิมทีผลผลิตศิลาวิญญาณของโลกระดับดินไม่สูงนัก ไม่เช่นนั้นตอนนั้นเจ้าคงซื้อกระเป๋าเก็บของไหว” สยงเทียนคุนเอ่ยอย่างจนใจ
จินเฟยเหยาเบ้ปาก “เรื่องสมัยไหนแล้ว ยังเอ่ยถึงอีก”
สยงเทียนคุนยิ้ม “ตอนนี้สำนักจินคุนของข้าเพียงแค่ศิษย์ขั้นฝึกปราณก็มีถึงสี่พันกว่าคน ศิษย์ขั้นสร้างฐานมีถึงหกร้อยกว่าคน ขั้นหลอมรวมขึ้นไปยังไม่นับ เพียงค่าใช้จ่ายแต่ละปีของศิษย์ขั้นฝึกปราณและขั้นสร้างฐานก็เป็นศิลาวิญญาณก้อนใหญ่ ศิษย์ขั้นฝึกปราณแต่ละคนหนึ่งเดือนใช้ศิลาวิญญาณเพียงสองก้อน ศิษย์ขั้นสร้างฐานปีละไม่ถึงหนึ่งร้อยก้อน ทว่าก็มีคนมากจนจ่ายไม่ไหว”
เขาหยุดนิดหนึ่งจึงเอ่ยต่อ “อีกทั้งก่อนหน้านี้ระหว่างโลกระดับดินมีความขัดแย้งมากเกินไป ระหว่างดินแดน วันนี้ยึดครองพรุ่งนี้ก็ถูกคนช่วงชิงไปบ่อยๆ ดังนั้นสิ่งของที่ตกลงไว้ว่าจะมอบให้จึงไม่ได้รับมาตลอด เกือบสิบปีแล้วจึงเพิ่งจะสงบลงบ้าง แต่สำนักเหล่านี้เพียงแค่เตรียมตัว ปีนี้จึงอาจจะส่งศิษย์ลงมาเปิดสำนักสาขาที่โลกระดับดิน ถึงตอนนั้นข้าจึงได้รับศิลาวิญญาณ แต่ตอนนี้ที่สำนักมีศิลาวิญญาณไม่เพียงพอ ถ้ายังไม่ได้รับของอีกคงรั้งศิษย์ไว้ไม่ได้ ถึงตอนนั้นข้าตัวคนเดียวจะต้านทานสำนักสาขาที่โลกระดับวิญญาณส่งมาได้อย่างไร”
“ก็แค่ศิลาวิญญาณชั้นล่างไม่ถึงสองแสนก้อน เหตุใดจึงยากจนจนกลายเป็นเช่นนี้ จัดการไม่เป็นใช่หรือไม่ เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่ท่านพูดว่าอะไรนะ? สำนักจินคุน?” จินเฟยเหยาพลันสังเกตเห็นว่าเหตุใดชื่อสำนักที่เขาเอ่ยจึงคุ้นหูขนาดนี้
สยงเทียนคุนเห็นจินเฟยเหยาสังเกตเห็นชื่อสำนัก จึงเอ่ยอย่างขัดเขิน “เป็นการรวมชื่อของพวกเราสองคน ข้ารู้สึกว่าเหมาะสมดีจึงนำมาเป็นชื่อสำนัก สำนักแห่งนี้ครึ่งหนึ่งเป็นของเจ้า ข้าเก็บยอดเขาที่มีปราณวิญญาณดีที่สุดลูกหนึ่งไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ ห้ามทุกคนสร้างถ้ำเซียนบนนั้น ต่อไปเจ้ากลับมาได้ทุกเมื่อ เจ้าอยากดูแลสำนักก็ให้เจ้าดูแล ไม่อยากดูแล เจ้าเพียงใช้ชีวิตอย่างอิสระก็พอ”
จินเฟยเหยาครุ่นคิด ไม่เลวจริงๆ แบบนี้ตนเองก็มีหนทางถอยสายหนึ่ง ถ้าถูกคนตามล่าสังหารจนไม่มีที่จะหลบหนี ก็แอบหลบไปสำนักจินคุน ด้วยความสัมพันธ์ของตนเองกับสยงเทียนคุน เขาต้องช่วยตนเองปิดบังแน่ ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าข้าจะไปซ่อนตัวที่นั่น
พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ จินเฟยเหยาก็รู้สึกสนใจขึ้นมาจึงสอบถามรายละเอียด นางพบว่าสำนักจินคุนของสยงเทียนคุนยากจนจริงๆ ตอนเขาออกมา ทั้งสำนักมีศิลาวิญญาณชั้นล่างเก็บไว้สามหมื่นกว่าก้อน ถ้าหนึ่งปีให้หลังไม่กลับไปอาจจะต้องปิดสำนัก
ถึงแม้เขาจะปล้นชิงของวิเศษได้ไม่น้อย ทว่าก็ใช้แทนศิลาวิญญาณไม่ได้จึงเตรียมขายทิ้งเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณที่นี่ ตอนนี้ที่โลกระดับดินไม่มีเมืองขนาดใหญ่ มีเพียงสถานที่ค้าขายเล็กๆ ยิ่งหาศิลาวิญญาณได้ยากขึ้น
ถ้าต่อไปในโลกระดับดินไม่มีการสู้รบอีก สามารถเปิดร้านค้า เปิดเหมือง และล่าสัตว์ปิศาจได้ชีวิตคงไม่ลำบาก ข้อสำคัญคือตอนนี้กำลังเริ่มพัฒนา ถ้าจะหาเงินได้ก้อนใหญ่ก็ต้องฉวยโอกาสขณะที่สำนักเหล่านี้ยังไม่ได้ลงมาเปิดสำนักสาขารีบสร้างเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่งแบบเมืองลั่วเซียน แค่เก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมืองก็สามารถทำเงินได้จำนวนมาก
สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้ศิลาวิญญาณ ทว่าดันเป็นสิ่งที่สยงเทียนคุนขาดแคลนที่สุด มิน่าเล่าเขาจึงล่อลวงผู้บำเพ็ญเซียนมาสังหารระหว่างเดินทาง ขนาดผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ยังไม่ละเว้น และไม่เกรงกลัวว่าตนเองต้องจ่ายค่าตอบแทน
ดังนั้นจินเฟยเหยายืนกัดนิ้วครุ่นคิดอยู่ด้านข้างเนิ่นนาน สุดท้ายนางยืนขึ้น พุ่งไปเบื้องหน้าเหรินเยี่ยนและตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่งก่อน เมื่อแน่ใจว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาในระยะเวลาสั้นๆ ทว่านางยังไม่วางใจ หยิบวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจออกมากาง โยนเหรินเยี่ยนไว้ในการป้องกันของวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจ แล้วให้พั่งจื่อและต้านิวเฝ้าเขาไว้
สุดท้ายจินเฟยเหยาจึงหยิบอ่างมายาจิ่งเทียนออกมาวางบนพื้น ลากสยงเทียนคุนที่ไม่รู้เบื้องหลัง หายวูบเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียน
หลังจินเฟยเหยาเข้าไปแล้วก็ใช้พลังวิญญาณทำให้ตนเองลอยอยู่เหนือศิลาวิญญาณ ส่วนเท้าของสยงเทียนคุนกลับเหยียบอยู่บนศิลาวิญญาณจึงจมลงไปลึกเกินเข่าทันที
“นี่คืออะไร!” ศิลาวิญญาณชั้นล่างเต็มไปหมด ทำให้ดวงตาของสยงเทียนคุนพร่าพราย เขามองไปรอบด้านอย่างประหลาดใจ นี่คือพื้นที่มิติ เพียงแต่ขนาดเล็กหน่อย ยังมีศิลาวิญญาณที่ลึกเกินเข่า นี่มีศิลาวิญญาณมากเพียงใดกัน เขานับไม่ถ้วนจริงๆ
จินเฟยเหยาคว้าศิลาวิญญาณกำมือหนึ่งปาใส่สยงเทียนคุน “พื้นที่มิติอันนี้ข้าตั้งชื่อว่าอ่างมายาจิ่งเทียน เอาเปรียบมาได้จากชายชราคนหนึ่งที่เมืองลั่วเซียน เดิมทีใช้ไม่ได้ ข้าซ่อมสำเร็จโดยบังเอิญ เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีพื้นดินปลูกหญ้าวิญญาณไม่ได้ เดิมทีบนพื้นเป็นทรายสีดำ ทว่าตอนนี้ถูกทำลายจนกลายเป็นเช่นนี้ ทรายก็ไม่มีแล้ว ทว่ามีศิลาวิญญาณมากมาย ศิลาวิญญาณเหล่านี้น่าจะเพียงพอให้สำนักของท่านใช้ได้หลายปี”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” สยงเทียนคุนได้สติคืนมา เอ่ยถามอย่างสงสัย
“ท่านบอกว่าสำนักจินคุนอะไรนั่นครึ่งหนึ่งเป็นของข้า ข้าย่อมทนเห็นมันปิดสำนักไม่ได้” จินเฟยเหยาลูบคลำศิลาวิญญาณเหล่านี้ที่ทำให้นางตื่นเต้นในตอนแรก พลางยิ้มเอ่ยว่า “ท่านนำอ่างใบนี้กับศิลาวิญญาณในนี้ไปเถอะ ไปสร้างเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ไม่แพ้เมืองลั่วเซียนหน้าประตูสำนักจินคุน พวกเราก็เก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมืองและค่าเช่าที่ ให้ศิษย์สวมชุดดีๆ และใช้สิ่งของดีๆ หน่อย จะได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและรับศิษย์ที่ดียิ่งขึ้นได้”
“ไม่ได้ ข้าเอาสิ่งของของเจ้าไปไม่ได้ แบบนี้ข้ายังจะนับเป็นบุรุษได้อย่างไร” สยงเทียนคุนเก็บรอยยิ้ม เอ่ยอย่างจริงจังผิดปกติ
เขาต้องการศิลาวิญญาณอย่างยิ่ง มีศิลาวิญญาณเหล่านี้ ไม่กี่ปีก็สร้างเมืองขนาดใหญ่ที่ไม่แพ้เมืองลั่วเซียนได้สำเร็จ สำนักก็เจริญรุ่งเรือง ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย ทว่านี่เป็นสิ่งของของจินเฟยเหยา ตนเองจะนำมันไปได้อย่างไร
จินเฟยเหยาเล่นศิลาวิญญาณในมือ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ การซื้อของวิเศษที่โลกระดับวิญญาณต้องใช้ศิลาวิญญาณชั้นกลางทั้งหมด โดยพื้นฐานแล้วศิลาวิญญาณชั้นล่างเป็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาใช้ มีศิลาวิญญาณมากมายขนาดนี้เสียเปล่า ซื้อได้แต่พวกหญ้าวิญญาณกากๆ ยังเป็นผียากไร้อยู่”
สยงเทียนคุนมาถึงโลกระดับวิญญาณจึงพบเห็นปัญหานี้ ที่นี่ศิลาวิญญาณชั้นล่างไม่มีค่า ทุกคนใช้ศิลาวิญญาณชั้นกลางซื้อขายสินค้า ผู้มีชื่อเสียงในโลกระดับดินอย่างเขามาถึงที่นี่ก็ยากจนเหมือนขอทาน ไม่ถูกสิ ที่โลกระดับดินเขาก็เป็นเพียงคนยากไร้ เพียงแต่ไม่มีผู้ใดรู้เท่านั้น
จินเฟยเหยาเห็นคำพูดและการกระทำของเขาขัดแย้งกันเองก็ไม่เร่งเร้าเขา เพียงแค่ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ได้มอบให้ท่านเปล่าๆ ต้องเก็บภูเขาลูกนั้นไว้ให้ข้า ต่อไปข้าก็ต้องเป็นซือจู่ น่าเกรงขามจริงๆ ถ้าสำนักที่มีชื่อของข้ากลายเป็นสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงไม่ได้ยังมีความหมายใด ถึงท่านไม่นำไปศิลาวิญญาณเหล่านี้ก็ถูกทิ้งให้ฝุ่นจับอยู่ที่นี่”
“นี่เป็นคนละเรื่อง เอามารวมกันไม่ได้” สยงเทียนคุนยังคงส่ายศีรษะ
“ท่านครุ่นคิดดูหน่อย ข้าคิดว่าผ่านไปครู่หนึ่งท่านคงคิดได้ปรุโปร่ง อีกทั้งข้ายังมีเงื่อนไข ต่อไปข้าอาจจะต้องหนีภัยไปหา ถึงตอนนั้นท่านจะไล่ข้าไปไม่ได้นะ” จินเฟยเหยาแข็งใจมอบให้เขา ถึงอย่างไรนางเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ อีกทั้งตนเองบรรจุศิลาวิญญาณชั้นล่างจนเต็มกระเป๋าเก็บของหลายใบนานแล้ว ปกติก็ไม่มีประโยชน์อะไร
สยงเทียนคุนเหาะขึ้นจากในศิลาวิญญาณแล้วเดินบนศิลาวิญญาณอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้น เขาก็หยุดฝีเท้าแล้วเอ่ยถาม “เจ้ามีเคล็ดวิชาอะไรที่อยากได้หรือมีจุดที่ไม่เข้าใจในเวทมนตร์อะไรหรือไม่?”
“หืม?” จินเฟยเหยากระพริบตา คิดไม่ถึงว่าเขาจะให้ผลประโยชน์แก่ข้าเพื่อให้ผ่านด่านมโนธรรมได้ ที่แท้เป็นเรื่องโชคดีไม่คาดฝันอะไรนะ
……………………………………