คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 243 อัสนีห้าสายผ่ากลางศีรษะ
บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักฉีเทียนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ถ้าไม่นั่งบนเบาะกลมก็นั่งอยู่บนพื้น พวกเขาหลับตา ร่างกายและจิตใจจมอยู่ในภาวะฝึกบำเพ็ญ ปราณวิญญาณรวมตัวอยู่รอบด้านและถูกดูดซับเข้าสู่ภายในร่างอย่างช้าๆ
ทว่า ในห้องสินค้าที่กลมเกลียว มีคนธรรมดากำลังก่อกวนความเงียบสงบ
“ศิษย์พี่อู๋ ท่านว่าพวกเราจะโยนนางลงไปดีหรือไม่ เช่นนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อทุกคน” ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งพลันลืมตา เอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“ศิษย์น้องตู้ จิตใจต้องสงบ” ผู้บำเพ็ญเซียนชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างเขาส่ายศีรษะพลางเอ่ยโน้มน้าว
“นางไปทำอะไรที่โลกระดับเทพ หรือว่าสำนักตงอวี้หวงจงใจ?”
“กลิ่นในห้องเก็บสินค้าเข้มข้นมาก เหม็นจนทนไม่ไหว หายใจไม่ได้เลยสักนิด! ในปราณวิญญาณที่ข้าดูดซับเข้ามามีกลิ่นเนื้อ จะให้คนสงบจิตใจได้อย่างไร!”
มีผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ถูกเสียงพูดคุยตัดบทการฝึกบำเพ็ญก็เข้าร่วมหารือด้วย
จินเฟยเหยาที่อยู่ห่างไกลกลับยกชามกินพลางฟังพวกเขาด่าว่านางอย่างถูกต้องเปิดเผย
จินเฟยเหยาไม่เข้าใจ ตนเองแค่นั่งกินอาหารที่นี่หกเจ็ดวันเท่านั้น บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักฉีเทียนจำเป็นต้องว่าตนเองแบบนี้ด้วยหรือ? อีกทั้ง นางย่นจมูกสูดดมรอบด้าน หอมออก เหตุใดจึงบอกว่าทำให้คนหายใจไม่ได้
มีเสียงดังปัง มีคนยืนขึ้นกระทืบพื้นอย่างหนักหน่วง ด่าทออย่างดุร้าย “วันนี้ต้องให้นางออกไปให้ได้! ต่อให้ต้องใช้กำลัง ก็จะให้นางอยู่ในห้องเก็บสินค้าไม่ได้!”
ได้ยินคำพูดนี้จินเฟยเหยาก็ไม่พอใจ ถือตะเกียบชี้ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านมีเหตุผลหรือไม่ ข้าไม่ได้ผายลมในห้องเก็บสินค้าสักหน่อย ท่านมีสิทธิ์อะไรจะให้ข้าออกไป! กลิ่นหอมขนาดนี้ ถ้าท่านรับไม่ได้ก็ออกไปเอง ข้าให้ท่านดมกลิ่นหอมเปล่าๆ โดยไม่เก็บศิลาวิญญาณ ท่านยังมารังเกียจข้าอีก!”
“ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมอย่างเจ้ายังจะกินอาหารทำไม! ทั้งยังไม่หยุดกินสักเค่อ เจ้าจะพอได้หรือยัง เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทำลายหม้อของเจ้า!” ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นลุกขึ้นยืน ร่างกายสูงใหญ่และล่ำสันแข็งแกร่งอย่างยิ่ง พอเห็นก็รู้ว่าก่อนสร้างฐาน ต้องเป็นบุคคลที่กินข้าวมื้อละแปดชามแน่ๆ
จินเฟยเหยาทำปากยื่น เอ่ยอย่างไม่พอใจ “พวกท่านไม่ได้กินข้าวมาหลายร้อยปี หรือว่าห้ามผู้อื่นกินด้วย? บ้าอำนาจจริงๆ เหตุใดจึงไม่เห็นพวกเจ้ารังเกียจศิลาวิญญาณ หลอมยาแล้วจากนั้นแบ่งให้ผู้อื่น ตั้งข้อเรียกร้องกับผู้อื่นสูง ตนเองกลับกำเริบเสิบสาน เกินไปกระมัง”
“เถียงข้างๆ คูๆ!” ดวงตาของผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นโตปานกระดิ่งทองแดง มีโทสะจนอยากจะกินคน
“ฮึ ถ้าอยู่ไม่ได้เจ้าก็ออกไปตากลม ไม่มีใครรั้งเจ้าไว้เสียหน่อย” นางยักไหล่อย่างไม่เห็นเป็นอะไร พลางเอ่ยยิ้มๆ
เพิ่งสิ้นเสียงของนาง ก็ได้ยินเสียงตูมนอกห้องสินค้า มีสายฟ้าผ่าลงมาบนเรือเหาะ รู้สึกได้ว่าตัวเรือสั่นไหว ทุกคนหยุดปากเงยหน้าขึ้นฟังความเคลื่อนไหวภายนอกอย่างเงียบๆ
“ไม่รู้จะทำอย่างไรกับพวกท่านจริงๆ ตื่นตระหนกเกินไป” จินเฟยเหยามองพวกเขาแวบหนึ่งแล้วหันหน้ามากินอาหารต่อ
ภายในห้องเก็บสินค้ามีเสียงโต้เถียงไม่หยุด ส่วนภายนอกมีสายฟ้าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งจิบชา ก็มีสายฟ้าสายหนึ่งผ่าลงมาบนเรือเหาะ หลังเสียงดังชี่ๆ สถานที่ซึ่งถูกสายฟ้าฟาดบนเรือก็ปรากฏรอยไหม้เกรียม
ถึงแม้บนตัวเรือจะวาดคาถาอันแข็งแกร่งอยู่เต็มไปหมด ทว่าก็ได้แต่ไม่ให้ฟ้าผ่าเข้ามาในห้องเก็บสินค้า อีกทั้งบนตัวเรือยังเป็นรอยสีดำสนิทที่เคยถูกสายฟ้าผ่ามาก่อน
ฮึ ข้างนอกล้วนเป็นสายฟ้า! คิดไม่ถึงว่าจะให้ข้าออกไปหาที่ตาย ข้าไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย จินเฟยเหยาด่าทอในใจ ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักฉีเทียนพูดอะไร นางก็จะไม่ออกจากห้องเก็บสินค้า
สามวันก่อน จินเฟยเหยาพบว่าเรือเหาะกำลังตรงขึ้นไป ผ่านชั้นเมฆมาถึงระดับความสูงที่ตอนผู้บำเพ็ญเซียนเหยียบของวิเศษไม่เคยมาถึง ด้านล่างตัวเรือเป็นทะเลเมฆสุดอลังการ เมฆขาวราวกับแพะฉางหลิงที่นางเคยเลี้ยงแนบติดกันสนิทก้อนต่อก้อน แสงอาทิตย์สาดส่องลงบนทะเลเมฆ แสดงทัศนียภาพอันงดงามราวกับแดนเซียนออกมา
ในขณะที่จินเฟยเหยาเพิ่งเห็นไม่กี่แวบ ยังไม่ได้ชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามให้ละเอียด ก็เห็นผู้บำเพ็ญเซียนของหอฉีเทียนที่ยืนอยู่บนดาดฟ้ามาตลอดแย่งกันวิ่งกรูกันเข้าไปในห้องเก็บสินค้าราวกับกลัวจะล้าหลัง ส่วนดาดฟ้าด้านหลังพลันปรากฏคาถาสีเงินแน่นขนัด แสงสีเงินกระพริบวาบ ท่าทางน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
ในเวลาเดียวกัน นางก็มองเห็นปลายด้านหนึ่งของชั้นเมฆมีสีดำทะมึนปรากฏขึ้นแถบใหญ่และเข้ามาใกล้เรือเหาะลำนี้อย่างรวดเร็ว
ถึงอย่างไรจินเฟยเหยาก็นั่งเรือไปโลกระดับเทพเป็นครั้งแรก จึงยืนดูอย่างสงสัยครู่หนึ่ง จากนั้นก็เห็นนกสีแดงเพลิงตัวใหญ่สองจั้งกลุ่มหนึ่งบินเข้ามาใกล้ นกตัวใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าอ้าปากพ่นเปลวไฟดวงหนึ่งมาโจมตีจินเฟยเหยาที่อยู่บนเรือเหาะทันที
นกขนาดใหญ่เหล่านี้เป็นสัตว์ปิศาจขั้นเจ็ดทั้งหมด มีปริมาณมากถึงหมื่นตัว ทำให้จินเฟยเหยาตกใจจนต้องวิ่งเข้าไปในห้องเก็บสินค้า
ผู้บำเพ็ญเซียนสำนักฉีเทียนกำลังเตรียมจะปิดประตู เห็นจินเฟยเหยาพุ่งมาจึงเหลือที่ด้านข้างให้นาง หลังจากนางเข้ามาจึงปิดประตูสนิท จากนั้นเรือเหาะก็อาศัยคาถาบนตัวเรือ ฝ่าเข้าไปในเปลวเพลิงของนกขนาดใหญ่นับหมื่นตัวราวกับเป็นซาลาเปาเหล็กเคลื่อนที่ได้
ใช้เวลาสองวันจึงหลุดพ้นฝูงนกยักษ์ จากนั้นก็เข้าไปในชั้นเมฆดำอีก นกหมดแล้ว ทว่าอยู่ในชั้นเมฆดำ มีสายฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างอย่างต่อเนื่องราวกับฝนตก ทุกครั้งที่เรือเหาะถูกสายฟ้าโจมตีก็สั่นสะเทือนไม่หยุดราวกับจะร่วงตก ไม่กี่อึดใจจึงหยุดลงแล้วคลื่นสายฟ้าระลอกถัดไปก็ผ่าลงมาอีก ทำให้จินเฟยเหยายังหวาดกลัวไม่หาย
แต่จิตใจอันหยาบกระด้างของนางเพิ่งตึงเครียดได้ไม่นาน ก็โยนอันตรายเบื้องหน้าออกจากสมองไปจนหมดสิ้น ใช้ชีวิตเหมือนในอดีตต่อไป
บางครั้งจินเฟยเหยาก็ครุ่นคิด พี่สยงเพิ่งได้ตะเกียงดวงจิตไป จากนั้นพริบตาก็เห็นตะเกียงดับลง นั่นก็น่าขำเกินไปจริงๆ ก่อนจะตายต้องกินเยอะๆ หน่อยจะได้เป็นผีอิ่มตาย ไม่เช่นนั้นถ้าถึงเวลาพี่สยงไม่สลักซาลาเปาบนภาพเหมือน แต่สลักดอกจวี๋แทนก็จบสิ้นกัน
นางคิดตกแล้ว ทว่าศิษย์สำนักฉีเทียนยังคิดไม่ตก ถึงแม้สายฟ้าเหล่านี้จะมีอานุภาพด้อยกว่าตอนผ่านด่านเคราะห์มาก แต่ถ้าโดนสายฟ้าผ่าเข้าสักสายก็สามารถเอาชีวิตน้อยๆ ของพวกเขาได้ เดิมทีก็ไม่ยินยอมพร้อมใจจะขึ้นเรืออยู่แล้ว ถ้าต้องเสียชีวิตอีกจะเคียดแค้นปานใด
พวกเขาตึงเครียดแทบตาย แน่นอนว่าก็มีผู้บำเพ็ญเซียนที่สงบนิ่ง ทว่าต้องไม่มีคนยินดีแน่ ดังนั้นท่าทางเอ้อระเหยของจินเฟยเหยาจึงทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ ขณะที่สายฟ้าผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง จิตใจของพวกเขาก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นทุกทีตามเสียงสายฟ้า
“พวกเจ้าอย่าทะเลาะกัน ขอเพียงมีอาจารย์ลุงโจวอยู่ สายฟ้าเหล่านี้ก็ผ่าเข้ามาในห้องเก็บสินค้าไม่ได้ ทุกคนนั่งลงให้ดี” บุรุษสีหน้าเคร่งขรึมคนหนึ่งตรงมุมพลันส่งเสียงเอ่ยวาจา
ฟังคำพูดของเขาแล้วสีหน้าของคนจำนวนไม่น้อยผ่อนคลายลง ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนคนที่ด่าทอจินเฟยเหยาเมื่อครู่กลับไม่ฟังเลยสักนิด ชี้หน้าจินเฟยเหยาแล้วตะโกนต่อไป “ถึงอย่างไรข้าก็เห็นนางเป็นที่ขัดตา ให้สายฟ้าผ่านางตายไปเลย!”
เปรี้ยง! สิ้นเสียงของเขา สายฟ้าสีม่วงสายหนึ่งก็ผ่าลงมาบนดาดฟ้าเรือฟาดเปรี้ยงต่อหน้าต่อตาทุกคน จากนั้นเศษไม้ก็ปลิวว่อนเข้ามาในห้องเก็บสินค้า ตัวเรือเหาะปริแตกออกจากตรงกลางและค่อยๆ แผ่ขยายออกไปสองฟาก
ทนการโจมตีไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว! ทุกคนมองฉากนี้อย่างปากอ้าตาค้าง จินเฟยเหยายิ่งตะลึงงัน
นางเงยหน้าขึ้นมอง นอกห้องสินค้าเป็นเมฆสีดำทะมึน พวกเขากำลังอยู่ในเมฆดำเหล่านี้ สายฟ้าแต่ละสายวาบขึ้นในเมฆดำไม่หยุดราวกับมังกรม่วง แลดูยิ่งใหญ่อลังการสุดเปรียบปาน
จินเฟยเหยานั่งถือชามอยู่ในห้องเก็บของที่เอียง เห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนหนึ่งบินออกมาจากรอยแตก ตะโกนดังลั่นไปทั่ว “คาถาเรือพังแล้ว! ทุกคนเสี่ยงชีวิตหนีไปทางตะวันตก อย่าได้หยุดชะงัก!”
“อาจารย์ลุงโจว!” บรรดาศิษย์สำนักฉีเทียนได้ยินเสียงตะโกนของเขาราวกับดาวช่วยชีวิต
จากนั้นก็เห็นสายฟ้าสีม่วงอันงดงามพร่างพรายอย่างน่าประหลาดผ่าลงมาบนร่างของอาจารย์ลุงโจวพอดี หลังสายฟ้าผ่านพ้น อาจารย์ลุงโจวก็ยืนอยู่กลางอากาศด้วยร่างสีดำสนิท โชคดี ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่จึงต้านทานสายฟ้าที่ผ่าลงมาโดนได้
อาจารย์ลุงโจวพลิกมือวูบ ปีกสีดำสนิทคู่หนึ่งก็ทะลุออกจากร่าง เห็นบนปีกสีดำมีแสงดาวกระพริบ พอกระพือปีก อาจารย์ลุงโจวก็หายวับไปจากที่เดิม ขณะที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็อยู่ห่างออกไปร้อยจั้งแล้ว
อาจารย์ลุงโจวที่เป็นขั้นกำเนิดใหม่หนีไปแล้ว…
ผู้บำเพ็ญเซียนสำนักฉีเทียนมีปฏิกิริยารวดเร็ว แต่ละคนนำเวทหลบหนีคุ้มครองชีวิตออกมาใช้ แล้วหลบหนีออกไปในเมฆสีดำมุ่งไปทางทิศตะวันตก
คนจะซวยดื่มน้ำเย็นก็ยังติดฟัน! จินเฟยเหยาด่าทออย่างแค้นใจประโยคหนึ่งแล้วยื่นมือไปคว้าพั่งจื่อและต้านิวโยนใส่ถุงสัตว์ภูติ ร่างกลายเป็นไฟนรกโดยไม่สนใจว่าจะถูกพบเห็นหรือไม่ ใช้เวทหนีไฟนรกห้อตะบึงไปทางทิศตะวันตก
นางลากปราณสีดำเป็นสายยาวบินผ่านข้างกายผู้บำเพ็ญเซียนสำนักฉีเทียนไป ครู่หนึ่งก็กระโดดมาถึงเบื้องหน้า
ทุกคนมองเปลวเพลิงสีดำพวยพุ่งด้วยสีหน้าประหลาด นี่คืออะไร พลังวิญญาณสีดำผสมไอปิศาจลอยกระจายออกไปรอบด้าน? แปลกประหลาดเกินไปจริงๆ
ถึงแม้จะไม่เข้าใจจินเฟยเหยา ทว่าเห็นนางพุ่งวูบไปข้างหน้า ตนเองยิ่งต้องรีบพุ่งออกจากชั้นเมฆดำ ถ้ายังรั้งอยู่ที่นี่เพิ่มอีกหนึ่งอึดใจคือรนหาที่ตาย
“อ๊า!” ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมคนหนึ่งร้องโหยหวน ถูกสายฟ้าผ่าโดนเข้าก็เหลือเพียงเศษซากสีดำทันที
จินเฟยเหยาที่แขวนสมองไว้บนก้นมาตลอด เวลานี้ย้ายสมองกลับมาที่เดิมแล้ว ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวแบบนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่พบจอมมารหลงเป็นครั้งแรกก็ยังไม่รู้สึกวิกฤติแบบนี้ ในสมองของนางมีเพียงความคิดเดียว ต้องหนีออกไป หนีออกไปจากเขตสายฟ้าผืนนี้
ทว่า จินเฟยเหยารู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างวาบ ตลอดร่างเจ็บชา ตามมาด้วยได้กลิ่นไหม้
ข้าจะตายแล้วหรือ? จินเฟยเหยาพกพาความสงสัยเช่นนี้หมดสติไป
สองวันให้หลัง มีข่าวแพร่สะพัดไปทั่วโลกวิญญาณเป่ยเฉิน สำนักฉีเทียนสูญเสียเรือเหาะอีกลำหนึ่งในชั้นเมฆดำของโลกระดับเทพ นี่เป็นเรือลำที่สิบเอ็ดซึ่งสูญเสียในชั้นเมฆดำในรอบร้อยปีของพวกเขา
หลายครอบครัวยินดีหลายครอบครัวเสียใจ ขณะที่สำนักอื่นๆ กำลังแอบหัวเราะ สำนักฉีเทียนกลับเสียใจแทบตาย นอกจากสูญเสียเรือเหาะไปลำหนึ่ง พวกเขายังสูญเสียศิษย์ขั้นหลอมรวมไปสิบเจ็ดคน บวกกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนหนึ่งที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นหรือตาย
ส่วนสำนักตงอวี้หวงหลังจากได้ยินข่าวนี้แล้ว ฉือชางเจินเหรินมีความรู้สึกสับสนปนเป เพียงเพื่อส่งจินเฟยเหยาไปกลับทำให้นางต้องไปตาย หรือว่านี่คือมติสวรรค์ ขนาดสวรรค์ยังทนดูต่อไปไม่ได้
“เจ้าสำนัก ผู้อาวุโสจู๋กลับมาแล้ว!” ในขณะที่ฉือชางเจินเหรินกำลังจะพูดอะไรเพื่อทอดถอนใจสักหน่อย นอกประตูก็มีเสียงศิษย์รายงานดังมา
จากนั้นก็ได้ยินจู๋ซวีอู๋เดินหัวเราะเสียงดังเข้ามา เอ่ยกับฉือชางเจินเหรินอย่างเบิกบาน “ศิษย์พี่ ท่านได้ยินหรือไม่ เรือเหาะของกลุ่มสุนัขเฒ่าแห่งสำนักฉีเทียนถูกฟ้าผ่าในชั้นเมฆดำอีกแล้ว ฮ่าๆๆ ครั้งนี้พวกเขายังสูญเสียศิษย์ไปจำนวนไม่น้อย เจ้าโจวปินเป็นตายไม่ทราบแน่ชัด ไม่รู้ว่าตกลงไปในรังสัตว์ปิศาจใดหรือไม่ ฮ่าๆๆ!”
…………………………………..