คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 246 ไม่ใช่สถานที่ที่คนอยู่
แต่จะเริ่มเดินทางจากตรงไหนดี? จินเฟยเหยากางร่มหนังสัตว์คันหนึ่งในสายฝน นี่เป็นร่มที่นางทำขึ้นอย่างง่ายๆ เพื่อกันฝน นางครุ่นคิด จำได้ว่าวันนั้นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่แซ่โจวแห่งสำนักฉีเทียน วิ่งมาคำรามใส่ทุกคนว่าให้ทุกคนหนีไปทางทิศตะวันตก คาดว่าเมืองซันจือที่เป็นจุดหมายปลายทางน่าจะอยู่ทางทิศตะวันตก ถึงแม้ไม่รู้ว่าที่นี่ใช่โลกระดับเทพหรือไม่ แต่ไปทางทิศตะวันตกน่าจะไม่มีปัญหา
“ทิศตะวันตก ทิศตะวันตกคือทางใด?” หลังตัดสินใจได้ จินเฟยเหยาก็กางร่มค้นหา แต่ทิศตะวันตกอยู่ทางไหน? เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือศีรษะ ยังมีฝนตกลงมา ไม่เคยเห็นท้องฟ้าสดใสสักวัน หากมิใช่ที่นี่แตกต่างออกไป จินเฟยเหยายังสงสัยว่าตนเองกลับไปอยู่ในเจตจำนงหกเหลี่ยมอีกหรือไม่ ฝนที่นี่ตกลงมาอย่างไม่สิ้นสุดเหมือนในนั้นจริงๆ
ฝนไม่หยุดก็ไม่มีแสงอาทิตย์ ไม่มีแสงอาทิตย์จะแยกแยะทิศทางได้อย่างไร จินเฟยเหยาเพิ่งตะโกนด้วยปณิธานยิ่งใหญ่เสร็จสิ้น ยังไม่ได้ออกเดินทางสักครึ่งก้าวก็ถูกกักขังอยู่ที่เดิม พั่งจื่อและต้านิวที่นั่งอยู่บนไหล่มองนางด้วยสายตาเย็นชา เจ้าคนปัญญาอ่อน
“ขอข้าคิดดูหน่อย” จินเฟยเหยาลูบคางย้อนนึก ไม่ว่าฝนจะตกทุกวันหรือไม่ ตอนที่มีฝนมักจะมีเมฆบางๆ เมฆบางๆ…
“ข้านี่โง่จริง! ฝนตกยังจะกลัวอะไร ข้าก็เหาะทะลุชั้นเมฆขึ้นไปโดยตรง จากนั้นค่อยมองดวงอาทิตย์ว่าอยู่ทิศทางใดก็พอ” จินเฟยเหยายิ้มแย้ม จริงๆ เลย เหตุใดจึงลืมเรื่องนี้ไปได้
นางตบถุงเฉียนคุนคิดจะหยิบพรมบินออกมา พลันจำได้ว่าสองปีนี้ตนเองไม่เคยคิดจะหลอมสร้างพรมบินขึ้นใหม่ เจ้าสิ่งนั้นยังสกปรกดังเดิม จินเฟยเหยาครุ่นคิด เก็บมือกลับมาแล้วอ้าปากคายทงเทียนหรูอี้ออกมาให้กลายเป็นเรือเล็กๆ เรียวยาวและขึ้นไปนั่ง
เจ้าสิ่งนี้ส่องแสงสีขาวสว่างไสว ทั้งยังไม่กลัวสกปรก ทงเทียนหรูอี้อันที่พังไปตอนนี้ยังหล่อเลี้ยงอยู่ในทะเลสีดำภายในห้วงการรับรู้ ตอนนี้จินเฟยเหยาจึงใช้ทงเทียนหรูอี้ได้เพียงอันเดียว
เรือทงเทียนหรูอี้เหาะขึ้นกลางอากาศ พั่งจื่อและต้านิวก็ลงจากบนร่างของนาง นั่งอยู่บนเรือเล็กๆ ทะลุต้นไม้อันแน่นขนัดเหาะถึงกลางอากาศ
จินเฟยเหยาฉวยโอกาสที่ทงเทียนหรูอี้กำลังไต่ระดับ มองไปรอบด้านไกลๆ ป่าทึบที่ทอดตามองไปไม่เห็นขอบเขตเลือนรางอยู่ในสายฝนพรำราวกับหมอกลง มองเห็นได้ไม่ไกลนัก แต่ชั้นเมฆกลางท้องฟ้าไม่ถือว่าสูงเกินไป ครู่หนึ่งทงเทียนหรูอี้ก็บินถึงเมฆฝนและทะลุเข้าไป
เปรี้ยง!
จินเฟยเหยาเพิ่งเข้าไปในเมฆฝน สายฟ้าก็ผ่าลงมาตรงสถานที่ที่ไม่ห่างจากนางนัก
“มารดามันเถอะ! นี่คือชั้นเมฆดำ!” สายฟ้าสายนี้ทำให้จินเฟยเหยาตกใจแทบตาย นางใช้เวลาสองปีจึงฟื้นฟูร่างกายได้ อีกทั้งตอนนี้ยังใช้เวทหนีไฟนรกไม่ได้ ถ้าถูกสายฟ้าผ่าอีกครั้งเกรงว่าคงไม่มีแม้แต่โอกาสพักฟื้น
นางกวาดตามองไปรอบด้าน เป็นชั้นเมฆดำจริงๆ สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนผ่าแปลบปลาบอยู่ในนั้นอย่างต่อเนื่อง ไม่แตกต่างอะไรกับเมื่อสองปีก่อนเลยสักนิด ทำให้จินเฟยเหยาหวาดกลัวจนกระทืบทงทียนหรูอี้ให้มุดลงไปด้านล่างแล้วปรากฏขึ้นใต้เมฆฝนอีกครั้ง
มองเห็นสายฝนพรำอันคุ้นเคย จินเฟยเหยาก็ปาดเหงื่อเย็นเยียบ “นี่มันเรื่องอะไรกัน ที่แท้ด้านบนเป็นชั้นเมฆดำ ในนั้นยังมีสายฟ้าอย่างต่อเนื่อง ส่วนด้านนอกชั้นเมฆดำกลับเป็นชั้นเมฆฝน ส่วนด้านล่างก็เป็นป่าทึบผืนหนึ่ง”
จินเฟยเหยาตะลึงงัน นางพลันรู้สึกว่าผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักฉีเทียนล้วนโง่งม ทำไมต้องไปชั้นเมฆดำด้วย ไปด้านล่างชั้นเมฆดำสะดวกกว่ามาก ถึงแม้ที่นี่จะมีสัตว์ปิศาจแต่ก็ดีว่าสายฟ้ามากนัก
นึกถึงตนเองอยู่ที่นี่มาสองปีและยังเกือบตาย เนื่องจากฝีมือของเจ้าพวกโง่แห่งสำนักฉีเทียน จินเฟยเหยาจึงด่าทอคนของสำนักฉีเทียนมาตลอดทาง อาศัยบางตำแหน่งบนท้องฟ้าขณะมีฝนพรำและเมฆบางๆ จะมีสีดำมากกว่าตำแหน่งอื่น นางจึงฝืนใจเลือกทิศทางหนึ่งเหยียบทงเทียนหรูอี้รีบเหาะไปทางด้านนั้น
“สำนักฉีเทียนคงไม่ได้จงใจส่งศิษย์ไปตายหรอกนะ เส้นทางนี้เดินทางง่ายจริงๆ” จินเฟยเหยายืนอยู่บนเรือทงเทียนหรูอี้ สองมือกอดอกพลางเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ
นางบินบนท้องฟ้ามาครึ่งชั่วยามกว่า เดินทางอย่างราบรื่นมาตลอดทาง ไม่เกิดเรื่องอะไรเลยสักนิด ทำให้นางอดสงสัยแรงจูงใจของสำนักฉีเทียนไม่ได้ รู้ชัดๆ ว่าเส้นทางนี้เดินทางง่ายเหตุใดจึงต้องไปชั้นเมฆดำที่เป็นเส้นทางแห่งความตายด้วย
ในขณะที่นางไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ในป่าเบื้องหน้าพลันมีบางอย่างสีขาวขึ้นมา และบินเข้าหาจินเฟยเหยาด้วยความเร็วอันน่าตกตะลึง
“นก? สัตว์ปิศาจ?” จินเฟยเหยาขมวดคิ้วพลางเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ
รอจนบางอย่างสีขาวบินเข้ามาใกล้ ดวงตาของจินเฟยเหยาก็เคร่งเครียด เหยียบทงเทียนหรูอี้ร่อนลงอย่างรวดเร็วทันที หัวทิ่มลงไปในป่า จากนั้นนางก็ตั้งอกตั้งใจหนีเข้าไปในป่าอย่างไม่คิดชีวิต หลบในป่าทึบเบื้องหน้าทั้งยังเร่งความเร็วในการเหาะเหิน
ด้านหลังของจินเฟยเหยามีสัตว์ปิศาจรูปร่างยาวขนาดสามฝ่ามือปริมาณนับล้าน กระพือปีกอย่างรวดเร็วจนตาเนื้อมองไม่เห็นไล่กวดนางมาอย่างกระชั้นชิด ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือสัตว์ปิศาจเล็กๆ ที่มีขนาดหยาบใหญ่เท่านิ้วมือและยาวสามฝ่ามือพวกนี้มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นหกทั้งหมด
เหนือหัวด้านหน้าของพวกมันมีแสงสีเงินกระพริบก็ปักทะลุลำต้นของต้นไม้ในป่าทึบฟุ่บๆ แม้แต่ก้อนหินก็ถูกพวกมันโจมตีทะลุอย่างง่ายดาย ไล่ตามมาอย่างไม่ลดละและไม่ล้าหลังเลยสักตัว
จินเฟยเหยาเข้าใจทันทีว่าเพราะเหตุใดสำนักฉีเทียนจึงเสี่ยงอันตรายเดินทางในชั้นเมฆดำ สัตว์ปิศาจที่เหมือนตะเกียบพวกนี้เป็นดาวข่มของเรือเหาะโดยแท้ ถ้าให้เจ้าพวกนี้สัมผัสโดน หลังจากเรือเหาะพบพวกมันคงกลายเป็นตะแกรง ยังจะไปถึงโลกระดับเทพได้อย่างไร!
แต่ตอนนี้จะทำอย่างไรดี หรือว่าไม่มีวิธีหลุดพ้นจากเจ้าพวกนี้!
ขณะหน้าสิ่วหน้าขวานคงใส่ใจเรื่องความสะดวกสบายไม่ได้แล้ว ทงเทียนหรูอี้ที่จินเฟยเหยาเหยียบเปลี่ยนเป็นรูปกระบี่อย่างรวดเร็ว เก็บพั่งจื่อและต้านิวใส่ถุงสัตว์ภูติ นางบุกทะลวงในป่าคนเดียวอย่างบ้าคลั่ง คิดจะหลบหลีกสัตว์ปิศาจเล็กๆ ที่ไม่ทราบชื่อเหล่านี้
ขณะที่นางร้อนใจแทบตาย ก้อนหินใหญ่ด้านหลังต้นไม้เบื้องหน้าพลันหมุนตัวลุกขึ้นยืน พอมองดูอย่างละเอียด หินที่สูงถึงยี่สิบสามสิบจั้งเหมือนภูเขาลูกย่อมๆ ก้อนนั้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสัตว์ปิศาจขั้นแปดตัวหนึ่งที่มีดวงตา องคาพยพทั้งห้า และแขนขาสี่ข้าง
จินเฟยเหยารีบเลี้ยวเบนเฉียดผ่านร่างของมันไป ส่วนสัตว์ปิศาจที่เหมือนตะเกียบเหล่านั้น พุ่งฟุ่บเข้าปักบนร่างของมันทันที สัตว์ปิศาจที่เมื่อครู่เห็นสิ่งใดก็ปักสิ่งนั้นและปักสิ่งใดก็ทะลุสิ่งนั้น ครู่หนึ่งก็เหมือนกับไข่ไก่กระแทกก้อนหิน ร่วงกราวลงมาทั้งหมด ไม่สามารถแทงทะลุร่างของสัตว์ปิศาจตัวนี้ได้
ส่วนสัตว์ปิศาจก้อนหินตัวนี้ดูเหมือนจะยินดีอย่างยิ่ง อ้าปากกว้างสองจั้งกว่าที่มีหนวดสีเทายื่นออกมาราวกับงูนับร้อยตัว คว้าจับสัตว์ปิศาจรูปตะเกียบพวกนั้นอย่างว่องไว คว้าได้ก็ยัดใส่ปากกินอย่างยินดียิ่ง ตามเสียงดังตูม พื้นดินสั่นสะเทือนไม่หยุด พอดีมีสัตว์ปิศาจก้อนหินตัวอื่นๆ เข้ามาใกล้ที่นี่ คิดจะแบ่งสัตว์ปิศาจตะเกียบกินบ้าง
สัตว์ปิศาจตะเกียบเหล่านั้นเปลี่ยนทิศทาง คิดจะพุ่งออกจากป่าบินไปยังพื้นที่ว่าง ทว่าเวลานี้ ท้องฟ้าที่สว่างไสวพลันมืดลง นกร้อยตาขนาดสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งปรากฏขึ้นบนยอดไม้ เห็นนกอ้าปากแรงดูดขุมหนึ่งก็ทะลักออกมา กวาดม้วนสัตว์ปิศาจตะเกียบเหล่านี้ไว้แล้วดูดเข้าปาก
“มีศัตรูตามธรรมชาติมากขนาดนี้!” จินเฟยเหยาเห็นสัตว์ปิศาจเล็กๆ นับล้านตัวเหล่านั้นถูกสัตว์ปิศาจที่โผล่มากะทันหันในป่าทึบล้อมเอาไว้ทั้งด้านบนและด้านล่าง ราวกับเปิดโลกแห่งการกินและรับประทานอาหารค่ำร่วมกัน
นางไม่กล้ามองดูนาน หลังมองดูหลายแวบก็รีบหลบหนีไปข้างหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ข้าคิดว่าชายชาตรีและบุรุษที่แท้จริงสมควรยืดได้หดได้ ข้าพูดถูกหรือไม่? พั่งจื่อ ต้านิว” จินเฟยเหยานั่งขัดสมาธิและกอดอกอยู่บนทงเทียนหรูอี้ นั่งอยู่ในสถานที่เล็กและแคบ รอบด้านมืดมิด จากนั้นภายใต้หินแสงราตรีเล็กๆ มองเห็นพั่งจื่อและต้านิวนั่งอยู่ตรงข้ามนาง พั่งจื่อและต้านิวมองดูนางอย่างตั้งใจ และสบตากันโดยไม่ส่งเสียงสักแอะ
ส่วนภายนอกมีเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังมา ขนาดพื้นยังสั่นสะเทือน ผ่านไปเนิ่นนาน เสียงฝีเท้ายิ่งไกลออกไปทุกที หลังจากเสียงค่อยๆ หายลับไป จินเฟยเหยาจึงพูดกับต้านิวว่า “ต้านิว เจ้าโผล่หัวออกไปดูหน่อยว่าสัตว์ปิศาจขั้นเก้าตัวนั้นไปหรือยัง”
ต้านิวมองนางตาโตและส่ายหัวราวกับกลองป๋องแป๋ง จินเฟยเหยาเห็นต้านิวไม่ยอมไปก็เลื่อนสายตามาทางพั่งจื่อที่อยู่ด้านข้างอีก พั่งจื่อหลับตาไปนานแล้ว ท่าทางเข้าสู่สมาธิ กระบวนท่านี้ยอดเยี่ยมจริงๆ ต้านิวแอบจดจำไว้ในใจ
จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างดูแคลน “พวกเจ้าสองตัวทำอะไร มีอะไรน่ากลัว ก็แค่สัตว์ปิศาจขั้นเก้าตัวเดียว ไม่มีความกล้าเลยสักนิด ต่อไปจะกลายเป็นไท่จื่อโซ่วที่มีชื่อสะท้านไปทั่วสี่ทิศได้อย่างไร”
น่าเสียดายวิธีกระตุ้นโดยการดูถูกของจินเฟยเหยาไม่ได้ผล ต้านิวมองนางแล้วหดตัวเป็นก้อนกลม ส่วนพั่งจื่อยังนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างไม่หวั่นไหว สุดท้ายไม่มีทางเลือกจินเฟยเหยาต้องลงมือทำเอง
จินเฟยเหยาค่อยๆ คลำทางมาถึงด้านข้างของพื้นที่เล็กและแคบ ยกมือขึ้นก็ปรากฏร่องสายหนึ่ง นางไม่กล้าใช้การรับรู้กวาดออกไปดูข้างนอก ระดับขั้นของสัตว์ปิศาจที่นี่สูงเกินไปจริงๆ การรับรู้เล็กน้อยก็สามารถถูกพวกมันพบเห็นได้
ราวกับรู้สึกว่ามองผ่านร่องออกไปข้างนอกได้ไม่สะดวก จินเฟยเหยาจึงยื่นนิ้วไปขุดตรงที่สูงเป็นรูสองรู นางใช้มือบังแสงของหินแสงราตรีเอาไว้แล้วแนบดวงตาขึ้นไปมองดูภายนอก
ในป่าทึบที่ไม่มีแสงสว่างสักนิดมืดสนิท มีแมลงหิ่งห้อยหรือพืชเป็นแหล่งกำเนิดแสงเพียงอย่างเดียว จินเฟยเหยาอาศัยเห็ดเรืองแสงอันงดงามเหล่านั้น พบว่าสัตว์ปิศาจขั้นเก้าตัวเมื่อครู่หายไปแล้ว ท่าทางไม่พบเห็นพวกเขาดังนั้นจึงจากไปแล้ว
จินเฟยเหยาอดโล่งอกไม่ได้ ขุดดินขึ้นมาจากพื้นเล็กน้อยอุดรูสองรู จากนั้นพอหันหน้าไปมอง พั่งจื่อที่ลืมตานานแล้วและต้านิวพากันมองนางด้วยดวงตากลมโต
“ไปแล้ว ฮึ เจ้าขี้ขลาดสองตัวนี้” จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างอารมณ์ไม่ดี จากนั้นแอบนวดขาที่ตึงเครียดจนเป็นตะคริวนิดหน่อย
“ถึงแม้ด้านนอกจะมืดมาก ทว่าสัตว์ปิศาจที่ออกมาหากินลดลง พวกเราเร่งรุดเดินทางต่อดีกว่า ถ้ายังอยู่ในสถานที่แบบนี้ต่อไป ข้าอาจเป็นบ้าได้” จินเฟยเหยานำตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นที่ตัดใจกินไม่ลงมาตลอดออกมา โยนตานสัตว์ปิศาจเม็ดหนึ่งเข้าปากแล้วพูดกับพั่งจื่อและต้านิวอย่างจริงจัง พวกมันสองตัวพยักหน้า ปล่อยให้จินเฟยเหยาเป็นคนตัดสินใจ
“ไป!” จินเฟยเหยาขุดรูสองรูที่ถูกดินอุดไว้อีกครั้ง สังเกตสภาพการณ์ภายนอกพลางเหยียบของวิเศษทงเทียนหรูอี้ผลักพื้นที่ว่างที่แคบและเล็กแห่งนี้ให้ค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ในป่าทึบที่มืดมิด ถึงแม้จะมีพืชเรืองแสงส่องแสง ทว่ามีสัตว์ปิศาจน้อยมากที่จะสังเกตเห็น เปลือกหอยทากเหล็กที่เหลือเพียงเปลือกอันว่างเปล่าขนาดประมาณหนึ่งจั้งตัวหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ในป่าอย่างช้าๆ ขอเพียงได้ยินเสียงประหลาด เปลือกหอยทากอันนี้ก็จะหยุดลง หลังจากรอบด้านปลอดภัย เปลือกหอยทากอันนี้ก็จะเคลื่อนที่อย่างแปลกประหลาดอีกครั้ง
……………………………