คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 247 ข้าคือคุณหนูใหญ่
“ข้ารู้สึกเหมือนหลงทางแล้ว เวลานี้ ถ้าสวรรค์ส่งคนผู้หนึ่งมานำทางให้ข้าก็ดีสิ ถ้าเป็นสตรีจะดีที่สุด หนังบางเนื้อนุ่มและยังสามารถเตรียมอาหารได้” จินเฟยเหยานั่งอยู่ในเปลือกหอยทากที่เก็บมา ใช้มือแห้งๆ เช็ดใบหน้าหลายครั้งอย่างหดหู่
เพิ่งสิ้นเสียง นางก็ได้ยินเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือของสตรีที่ไม่รู้ว่าดังมาจากที่ใด เสียงตะโกนราวกับมีและไม่มี ได้ยินไม่ค่อยชัดเจน
จินเฟยเหยาตกตะลึง ขมวดคิ้วกางหูฟังอย่างละเอียด เป็นเสียงสตรีเผ่ามนุษย์จริงๆ ด้วย ส่งเสียงขอความช่วยเหลือและบอกว่าอย่าเข้ามาตลอดเวลา
“สวรรค์ก็เล่นตลกเกินไป ข้าเพียงแค่พูดไปอย่างนั้นเอง ท่านยังส่งสตรีผู้หนึ่งมานำทางให้ข้าจริงๆ” จินเฟยเหยาเบ้ปาก หยิบยันต์ซ่อนกายมาติดบนร่าง คว้ามุมหนึ่งของเปลือกหอยทาก พั่งจื่อและต้านิวไม่ยินยอมออกไปเลยสักนิด จึงโยนพวกมันเข้าถุงสัตว์ภูติแล้วเปิดเปลือกหอยทากมุดออกไป
สายลมคลั่งพัดมา ใบไม้ล่องลอยลงมาจากเหนือศีรษะราวกับเรือน้อย และร่วงลงด้านหน้าร่างของจินเฟยเหยาทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย
“ชีวิตคนเราอยู่ในโลกเป็นเวลาสั้นๆ เพียงหลายสิบปี…ไม่ถูกสิ หลายร้อยปี มักจะประสบกับเรื่องบางอย่างที่ทำให้คนลำบากใจ ลังเลตัดสินใจไม่ได้ ในช่วงเวลาแบบนี้ต้องตัดสินใจเลือกครั้งสำคัญในชีวิต เป็นหรือตาย ใครสามารถควบคุมได้” เส้นผมที่ทิ้งตัวลงมาของจินเฟยเหยาถูกลมพัดขึ้น มองดูด้านล่างอย่างห้าวหาญ
นี่เป็นหลุมลึกขนาดยักษ์ ลึกร้อยจั้ง ทว่ากลับมองเห็นขอบเขต ในหลุมมีบ้านไม้ตั้งอยู่ในป่า ข้างหลุมมีทุ่งนา ข้างบ้านปลูกต้นไม้งอกงาม ข้างแปลงนายังมีสัตว์ปิศาจรูปร่างวัวถูกเชือกหยาบใหญ่มัดไว้กับเสาไม้ รอไถนาอย่างซื่อสัตย์ เป็นภาพวาดสวนและทุ่งนาที่ดีม้วนหนึ่ง น่าเสียดายสถานที่ซึ่งปรากฏขึ้นไม่เหมาะสม เป็นป่าทึบไม่ทราบชื่อที่เต็มไปด้วยสัตว์ปิศาจขั้นเก้า
“ตึงๆ!” ความรู้สึกสั่นสะเทือนนิดๆ ส่งมาจากพื้นใต้เท้า จากนั้นยักษ์ตาเดียวขนาดสิบห้าสิบหกจั้งสวมชุดหนังสัตว์ตนหนึ่งก็แบกสัตว์ปิศาจขั้นเจ็ดยาวเจ็ดแปดจั้ง เดินผ่านเบื้องหน้าจินเฟยเหยาไปด้วยสายตาแน่วแน่
จินเฟยเหยามองยักษ์ตาเดียวเดินผ่านเบื้องหน้าตนเองไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกและเฉยชา นางติดยันต์ซ่อนกายยืนวางมาดอยู่ข้างเปลือกหอยทาก มองในหลุมลึกเบื้องล่างด้วยสายตาไม่ค่อยดี ขั้นต่ำที่สุดก็เป็นยักษ์ตาเดียวยี่สิบสามสิบตนที่เป็นสัตว์ปิศาจขั้นเจ็ด
นางยืนตากลมอยู่เนิ่นนาน มองยักษ์ตาเดียวที่สามารถใช้นิ้วบี้ตนเองให้ตายได้พวกนั้น ครุ่นคิด แล้วตัดสินใจเดินอ้อมหลุมลึกนี้ แบกเปลือกหอยทากของตนเองเร่งรุดเดินทางต่อ
ทว่าตอนนางเพิ่งหมุนตัวเตรียมกลับเข้าไปในเปลือกหอยทาก เสียงร้องขอความช่วยเหลือของสตรีที่ได้ยินไม่ชัดก็ลอยตามลมมาจากในหมู่บ้านของยักษ์ตาเดียวด้านล่าง
“ทำไมต้องถูกยักษ์ตาเดียวพวกนี้จับตัวไปด้วย ทำให้คนอื่นลำบากจริงๆ” จินเฟยเหยาเหน็บแนมอย่างไม่ยินยอม
ก่อนหน้านี้นางนั่งอยู่บนทงเทียนหรูอี้ในเปลือกหอยทาก เหาะเรียดพื้น ค่อยๆ ผลักเปลือกหอยทากที่ปลอมตัวออกเดินทาง รอจนจินเฟยเหยาผลักเปลือกหอยทากเดินทางมาถึงที่นี่ อีกนิดเดียวถ้าไม่ทันระวังก็จะร่วงลงไปในหลุมลึกทั้งเปลือกทั้งคนแล้ว
ร่วงลงไปนั้นไม่เป็นไร แต่ยักษ์ตาเดียวด้านล่างกลับทำให้จินเฟยเหยาตกตะลึง นางเคยได้ยินเรื่องของสัตว์ปิศาจกึ่งมนุษย์กึ่งปิศาจแบบนี้มา ทว่าเพียงเคยเห็นรูปสัตว์ปิศาจในป้ายหยกเท่านั้น ตาเดียวรูปร่างมนุษย์ เหมือนกับคนในหมู่บ้านนี้อย่างไรอย่างนั้น คิดไม่ถึงว่าสัตว์ปิศาจจะสร้างหมู่บ้านได้! เห็นฝีมือหยาบๆ เหล่านี้ แต่เป็นบ้านขนาดใหญ่ที่สามารถให้คนอาศัยได้อย่างเห็นได้ชัด จินเฟยเหยาทอดถอนใจ
ยักษ์ตาเดียวพวกนี้สูงเกินไป ยักษ์ธรรมดาตนหนึ่งสูงสิบกว่าจั้ง แต่ก็มีบางตนสูงถึงยี่สิบจั้ง สัตว์ปิศาจรูปร่างสูงใหญ่ในป่าทึบที่ไม่ทราบชื่อแห่งนี้มีมากมายเกินไป แต่ถ้าคนสูงขนาดนี้คงทำให้จินเฟยเหยารู้สึกประหลาดใจ
เสียงร้องให้ช่วยด้านล่างดังมาอย่างต่อเนื่อง จินเฟยเหยากัดฟันเหยียบทงเทียนหรูอี้เหาะลงไป ขอเพียงไม่สบตาขนาดใหญ่ของยักษ์ตาเดียว เจ้าโง่ตัวใหญ่พวกนี้ก็ยากจะพบเห็นจินเฟยเหยาที่สูงไม่ถึงนิ้วมือ
จินเฟยเหยาอาศัยใบไม้แห้งที่ร่วงลงมาบดบังและเหาะลงไปในหลุม แวบเข้าไปหลังก้อนหินในพงหญ้า ต่อให้มียันต์ซ่อนกายอยู่ จินเฟยเหยายังหลบอยู่ด้านหลังสิ่งของอย่างระมัดระวัง
นางโผล่ศีรษะออกไปดู เสียงร้องให้ช่วยดังมาจากกระท่อมโทรมๆ หลังหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้นางสงสัย หรือว่าไม่ใช่เผ่ามนุษย์ถูกจับตัวมา ทว่าเป็นพวกยักษ์เช่นเดียวกันถูกจับตัวมาและตอนนี้ถูกบังคับให้เข้าห้องหอ?
จินเฟยเหยาพกพาความสงสัยเต็มอก ลับๆ ล่อๆ มาถึงเบื้องหน้ากระท่อม ระหว่างทางยังเกือบถูกสุนัขสองหัวที่ยักษ์ตาเดียวตนหนึ่งเลี้ยงไว้พบเห็นเข้า
ที่นี่ไม่ดีไปกว่าป่าด้านบนสักเท่าใด สัตว์ปิศาจที่ยักษ์ตาเดียวเลี้ยงไว้มีจำนวนไม่น้อย ถ้าร่างหดเล็กลงแล้วเอาลักษณะแปลกประหลาดทิ้งไปก็คือหมู่บ้านของเผ่ามนุษย์ธรรมดา ทว่าสัตว์ปิศาจที่มาแทนสุกรและสุนัขพวกนี้ ระดับต่ำที่สุดก็เป็นสัตว์ปิศาจขั้นห้า นกที่มีดวงตาและปีกสีดำตัวอ้วนใหญ่พาลูกสิบกว่าตัวเดินเล่นอยู่ด้านข้าง ลูกนกขนปุกปุยที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่นานเหล่านี้ยังตัวสูงกว่าจินเฟยเหยาเสียอีก
จินเฟยเหยาซ่อนอยู่ด้านหลังหม้อดินผุพังใบหนึ่ง โผล่ศีรษะออกมามองทางกระท่อมก็เห็นยักษ์ตาเดียวตนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่หน้าประตูกระท่อม มือถือหนอนผีเสื้อยาวสามชุ่นกำลังยัดใส่กรงหยาบๆ ส่วนในกรงมีเสียงหวาดกลัวดังมา “ช่วยด้วย! รีบเอาออกไปนะ ข้าไม่กินหนอนผีเสื้อ! ช่วยด้วย ข้ากลัวเจ้านี่ที่สุด รีบเอาออกไปนะ! เอาออกไป!”
เห็นคนตัวเล็กๆ ด้านในไม่ยอมกินหนอนผีเสื้อ ยักษ์ตาเดียวตนนี้ดูเหมือนจะไม่พอใจ เขาโยนหนอนในมือลงพื้นลุกขึ้นยืนและเหยียบหนอนผีเสื้อจนเละ จากนั้นก็เดินจากไปอย่างมีโทสะ
จินเฟยเหยามองหนอนผีเสื้อถูกเหยียบจนเละก็ราวกับมองเห็นอนาคตของตนเอง
หลังยักษ์ตาเดียวจากไป ในกรงก็มีเสียงสตรีร่ำไห้ดังมา จินเฟยเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากมองซ้ายมองขวาพอเห็นว่าไม่มีคนก็เดินเข้าไปใกล้และตะโกนใส่กรงอย่างระมัดระวัง “นี่ ในนั้นเป็นสหายผู้บำเพ็ญเซียนหรือ?”
เสียงร้องไห้หยุดลงและมีน้ำเสียงยินดีของสตรีดังมาทันที “ใช่! ข้าคือไห่หลันอิน ผู้บำเพ็ญเซียนแห่งภูเขาเต้าไถ ท่านพ่อของข้าคือเจ้าสำนักภูเขาเต้าไถ! ไม่ทราบสหายเซียนเป็นใคร โปรดช่วยข้าด้วย!”
ธิดาของเจ้าสำนักภูเขาเต้าไถ! จินเฟยเหยาตะลึงงัน นางเคยได้ยินเรื่องคนผู้นี้และสำนักนี้มาก่อน อิทธิพลของภูเขาเต้าไถไม่ด้อยไปกว่าสำนักตงอวี้หวง เป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่ที่มีอำนาจในสถานที่แห่งหนึ่ง ห้าอันดับแรกบนผังสงครามวิญญาณก็มีศิษย์ภูเขาเต้าไถของพวกเขาอยู่ด้วย อีกทั้งไห่หลันอินผู้นี้ก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
พลังการบำเพ็ญเพียรของนางไม่สูงส่งเท่าใด ทว่าเนื่องด้วยความสัมพันธ์กับท่านพ่อ นางจึงเป็นคุณหนูเอาแต่ใจที่ขึ้นชื่อลือชาในโลกวิญญาณเป่ยเฉิน นางต้องการสิ่งใดท่านพ่อของนางก็จะให้สิ่งนั้น ได้แต่ใช้ชีวิตเสพสุข ไม่สนใจการฝึกบำเพ็ญเลยสักนิด ทั้งยังมือเติบ มีนิสัยเด็กๆ มักจะให้ท่านพ่อของนางหาสิ่งของดีๆ มามอบให้คนอื่นเป็นประจำ ไม่ว่าไปยังสถานที่ใดจะมีคนกลุ่มใหญ่ติดตามอยู่ด้านหลัง เพียงเพื่อขอเศษเดนที่ร่วงลงมาจากปากนางก็สามารถต่อสู้แย่งชิงกันหลายสิบปี
คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเศรษฐีในสถานที่เช่นนี้ จินเฟยเหยารู้สึกเหนือความคาดหมาย เหตุใดโชคดีจึงมาเร็วขนาดนี้?
จินเฟยเหยาสะกดความยินดีอย่างบ้าคลั่งในใจเอาไว้ พยายามทำให้เสียงไม่แสดงอาการตื่นเต้น แสร้งเป็นเอ่ยถามอย่างชืดชา “ที่แท้เป็นคุณหนูไห่หลันอิน เจ้ามาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้อย่างไร?”
ได้ยินว่าคนผู้นี้รู้จักตนเอง ไห่หลันอินก็แนบร่างข้างกรง พยายามมองมาข้างนอก แต่กลับไม่พบเห็นคน ทว่านี่เป็นความหวังเดียวในการหนีออกไปของตนเอง นางสูดจมูกพลางร่ำไห้เอ่ยว่า “ข้ามาเยี่ยมศิษย์พี่ที่โลกระดับเทพ แต่คิดไม่ถึงว่าเรือจะถูกฟ้าผ่า ข้าอาศัยร่มชักนำสายฟ้าที่ท่านพ่อมอบให้ผ่านคราเคราะห์มาได้ ส่วนคนที่ตามมากลับถูกฟ้าผ่าตายหมด ร่มชักนำสายฟ้าก็เสียหาย ข้าได้แต่หนีออกมาจากชั้นเมฆดำ เพิ่งโผล่หน้ามาก็ถูกยักษ์ตาเดียวพวกนี้จับตัวไว้”
เชอะ เศรษฐีนี่น่าชังจริงๆ ขนาดสิ่งที่สามารถสกัดกั้นสายฟ้าได้อย่างร่มชักนำสายฟ้าก็ยังมี อีกทั้งยังมาโลกระดับเทพเพียงเพื่อพบศิษย์พี่ สถานที่อันตรายขนาดนี้ เจ้าสำนักเต้าไถก็ไม่ห้ามปราม โปรดปรานบุตรสาวถึงเพียงใดกันแน่ จินเฟยเหยาเบ้ปาก ในใจเต็มไปด้วยโทสะ แต่นี่แสดงว่าสิ่งของในตัวคุณหนูคนนี้เป็นของดี
ในขณะที่จินเฟยเหยาคิดเพ้อฝันว่าจะได้ผลประโยชน์มากเพียงใดจากตัวคุณหนูไห่คนนี้ ไห่หลันอินกลับนึกว่าจินเฟยเหยาหวาดกลัว ไม่กล้าช่วยตนเอง ดังนั้นจึงชักช้าไม่ยอมเอ่ยวาจา ก็ร้อนใจจนร่ำไห้เสียงดัง “สหายเซียน เจ้ารีบช่วยข้าเร็ว เจ้าต้องการสิ่งใดข้าก็จะให้ เจ้ารีบช่วยข้าเถอะนะ!”
“เอะอะทำไม เบาเสียงหน่อย!” เสียงของนางดังเกินไปแล้ว จินเฟยเหยาตกใจจนเอ่ยปากด่าทอ
เป็นตัวโง่งมจริงๆ เสียงดังขนาดนี้จะตะโกนเรียกยักษ์ตาเดียวมาหรือไร ถ้าไม่ใช่เพราะนางและไห่หลันอินในกรงต่างก็มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวมช่วงต้น ใช้การถ่ายทอดเสียงจะถ่ายทอดคำสนทนาเข้าสู่สมองของยักษ์ตาเดียวทันที จินเฟยเหยาก็อยากใช้การถ่ายทอดเสียงอย่างยิ่ง
ไห่หลันอินมีชีวิตอยู่มาหลายร้อยกว่าปีจนถึงบัดนี้ยังไม่เคยถูกคนดุว่าหนักขนาดนี้มาก่อน พอถูกจินเฟยเหยาด่าก็ตะลึงงัน หลังได้สติกลับคืนมานางก็ร่ำไห้อย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ทำไมเจ้าต้องดุร้ายขนาดนี้ด้วย ท่านพ่อยังไม่เคยด่าข้าแบบนี้เลย ข้ากลัวจริงๆนะ ข้าไม่อยากเป็นนกจินซือเชวี่ย[1] ข้ายังต้องไปเจอศิษย์พี่ ขอร้องเจ้าละรีบช่วยข้าออกไปเถอะ”
“หา นกจินซือเชวี่ย?” คำพูดของนางทำให้จินเฟยเหยางงงัน คำพูดนี้หมายถึงสาวงามที่ถูกผู้มีอำนาจเลี้ยงดูไว้มิใช่หรือ คุณหนูไห่คนนี้ เป็นคุณหนูใหญ่ขนานแท้เลยจริงๆ
“สหายเซียนไห่ ข้ายอมช่วยเจ้า แต่ข้ามีจุดหนึ่งที่ไม่เข้าใจ หวังว่าเจ้าจะช่วยให้คำตอบแก่ข้า” จินเฟยเหยารู้สึกว่าเรียกนางว่าสหายเซียนสะดวกปากกว่า ตะโกนเรียกว่าคุณหนูรู้สึกน่าเบื่ออยู่บ้าง
ไห่หลันอินเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยถามโดยดี “เรื่องอะไร? ข้ายินดีบอกทุกอย่าง”
“คือแบบนี้ ช่องว่างในกรงที่ขังเจ้าไว้กว้างสองฉื่อเต็มๆ สินะ ทำไมเจ้าไม่มุดออกมา” จินเฟยเหยามองไห่หลันอินที่มีน้ำมูกน้ำตาไหลอาบหน้า สองมือเกาะไม้บนกรง และกำลังโผล่ศีรษะออกมาในกรงที่แขวนอยู่บนเสาประตูกระท่อม ก็อยากจะขว้างก้อนหินให้นางร่วงลงมา
“หา?” ไห่หลันอินเกาะข้างกรง ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยอย่างหวาดกลัวและไม่สบายใจ “สมควรเดินออกทางประตูมิใช่หรือ?”
จินเฟยเหยาเบิกตามองอย่างตกตะลึง คนโง่แบบนี้ใครสั่งใครสอนออกมา! ตอนนี้ยังจะเดินออกทางประตู เดินออกทางประตูอะไร! กรงนี้ไม่มีประตูเลยสักนิด?
ทว่าไห่หลันอินยังขมวดคิ้วพูดมากไม่จบไม่สิ้น “แต่อาจารย์ที่สอนข้าเคยบอกว่าสตรีต้องมีความประพฤติดีงาม ถึงเหยียบกระบี่บินเหาะเหินก็ต้องเข้าทางประตู บินวุ่นวายตามใจปรารถนาไม่ได้ ถ้าออกไปทางช่องว่างลูกกรง แล้วให้ศิษย์พี่ของข้ารู้เข้า เขาจะว่าข้าไม่รักษาคุณธรรมของสตรีจึงไม่ยอมแต่งงานกับข้าหรือไม่!”
“ข้าสงสัยจริงๆ ว่าอาจารย์ที่สอนเจ้ามาจากที่ใดกันแน่ หรือเป็นคนที่ศัตรูของตระกูลเจ้าส่งมา” จินเฟยเหยารู้สึกว่าตนเองใกล้จะมีโทสะแล้ว ปล่อยให้นางถูกขังอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิตบางทีอาจจะเป็นเรื่องที่ดี
…………………………………….
[1] นกจินซือเชวี่ย คือ นกประเภทนกขมิ้นหรือนกคีรีบูน