คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 249 เปลี่ยนเปลือก
“ข้าบอกแล้วว่าเมื่อครู่คับขันอย่างยิ่ง งูตัวนั้นกำลังมาทางเจ้า เพื่อปกป้องความบริสุทธิ์ของเจ้า ข้าจึงพลั้งมือต่อยเจ้า” จินเฟยเหยานั่งอยู่บนพื้นบอกไห่หลันอินที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยสีหน้าจริงจัง
ไห่หลันอินลูบใบหน้าบวมพอง ร้องไห้พลางเอ่ยว่า “เจ้าหลอกข้าให้น้อยๆ หน่อย ข้าไม่ใช่คนโง่ เจ้าจงใจต่อยข้าชัดๆ ข้าจะบอกท่านพ่อ ศิษย์พี่ อีกทั้งเจ้ายังต่อยข้าจนฟันร่วง”
จินเฟยเหยาถอนหายใจ เอ่ยอย่างจนใจ “เช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือก ข้าได้แต่บอกศิษย์พี่ว่าเจ้าเคยเห็นแก่นชีวิตของบุรุษอื่นมาก่อน ไม่ใช่สตรีที่บริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว ทั้งยังชมเชยว่าของผู้อื่นใหญ่ ทั้งยาวทั้งหนา”
“เจ้ากล้า!” ไห่หลันอินถลึงตา ใช้มือดึงคอเสื้อของจินเฟยเหยา จ้องมองนางราวกับจะกินคน
จินเฟยเหยาสบตานางตรงๆ อย่างไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ “เจ้าอย่าบีบคั้นข้า สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง ตอนนั้นเจ้าตะโกนออกมาเอง อ๊า! หยาบใหญ่อย่างยิ่ง!” ประโยคสุดท้าย จินเฟยเหยายังใช้น้ำเสียงของไห่หลันอินในตอนนั้น
“เจ้า!” ไห่หลันอินทั้งเดือดดาลทั้งอับอาย ยิ่งมีโทสะที่ฟันหลุดไปสามซี่ แก้มก็บวมราวกับซาลาเปา จึงเดือดดาลอย่างรุนแรง
เห็นใบหน้าของนาง จินเฟยเหยาพยายามสะกดความขบขันเอาไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ฟันของเจ้าข้าใช้กระดูกหลอมฟันปลอมให้สามซี่ รับประกันว่าใส่แล้วศิษย์พี่ของเจ้าดูไม่ออก ส่วนเรื่องที่เจ้าเห็นงูพิษ ขอเพียงเจ้านึกไม่ออกว่าข้าต่อยเจ้า ข้าก็จะลืมเรื่องงู จริงสิ? งูพิษอะไร พวกเราพบงูพิษด้วยหรือ?”
ไห่หลันอินทิ้งมือ กัดริมฝีปากนั่งลงอย่างอึมครึมและไม่สบายใจ ต่อให้เป็นคุณหนูใหญ่ มีชาติกำเนิดดี ก็ยังรู้ความอยู่บ้าง จินเฟยเหยาแอบหัวเราะ
ไห่หลันอินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยสีหน้าตัดสินใจแน่วแน่ “ถ้าเจ้าพูดออกไป ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
“ข้าลืมไปนานแล้ว ถ้าพูดเรื่องที่เจ้าติดค้างไหมทอง ข้าจำได้อย่างชัดเจน” ในที่สุดเรื่องราวก็คลี่คลาย จินเฟยเหยาแย้มยิ้มอย่างเบิกบาน
“เช่นนั้นพวกเราจะไปเมื่อใด ข้าอยากออกจากสถานที่ผีสางแห่งนี้นานแล้ว” ไห่หลันอินใช้มือลูบใบหน้าบวมเป่งของตนเอง ปากพูดอู้อี้
จินเฟยเหยาเงี่ยหูฟัง จากนั้นบิดขี้เกียจเหมือนไม่มีเรื่องราวใด “ตอนนี้ยังไม่ได้ ยักษ์ตาเดียวเหล่านั้นกำลังตามหาพวกเราอยู่ ต้องรอพวกมันไปก่อน”
“แต่ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่จริงๆ เจ้าไม่มีของวิเศษที่ดีกว่านี้หรือ?” ไห่หลันอินเงยหน้าขึ้นมองกระดองเต่ากว้างสองจั้งกว่าและตรงทางออกเปื้อนดิน เอ่ยด้วยสีหน้าปั้นยาก
จินเฟยเหยายิ้มยิงฟัน เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “เจ้าจงพอใจที่สามารถหากระดองเต่าอันนี้ได้เถอะ ก่อนหน้านี้สถานที่ที่ข้าอยู่เป็นเพียงเปลือกหอยทากที่กว้างสามก้าวเท่านั้น พื้นที่ว่างที่นี่ใหญ่มาก กั้นห้องให้เจ้าก็ยังได้ ถ้าเป็นเปลือกหอยทากเจ้าต้องนั่งติดกับข้านะ”
“เปลือกหอยทาก? หรือว่าเจ้าไม่มีสิ่งของอื่น หลบอยู่ในเปลือกสัตว์ปิศาจทั้งวันทำไม? อีกทั้งที่นี่ก็ไม่มีเตียง ไม่มีสถานที่อาบน้ำ แม้แต่หมอนหนุนก็ไม่มี เจ้าจะให้ข้านอนหลับได้อย่างไร! อีกทั้งด้านนอกยังมียักษ์ตาเดียวสิบกว่าตน สภาพแวดล้อมแบบนี้เลวร้ายเกินไป” ไห่หลันอินนอนราบอยู่ในกระดองเต่าอย่างทรมานและร่ำไห้อย่างเศร้าเสียใจ
“ไม่ใช่ยักษ์ตาเดียวสิบกว่าตน ทว่าเป็นสามสิบกว่าตน ออกมาเพิ่มอีกหนึ่งเท่าเต็มๆ” จินเฟยเหยาแก้ไขคำพูดนางอย่างยิ้มแย้ม
“หา! เจ้าคิดจะทำให้ข้าโมโหตายสินะ น่าชังจริงๆ!” ไห่หลันอินรู้สึกว่าหัวใจกำลังจะแตกสลาย เหตุใดต้องอยู่กับคนแบบนี้ด้วยนะ เพราะเหตุใดจึงไม่ใช่ศิษย์พี่มาช่วยข้า
“สหายเซียนจิน คิดหาทางหน่อยเถอะ”
“ข้าบอกแล้วว่ารอพวกมันไปก่อนพวกเราจึงสามารถออกไปได้ ข้าเคยครุ่นคิดแล้ว ต่อให้สัตว์ปิศาจเหล่านี้ความรู้สึกเฉียบไว ขอเพียงพวกเราไม่ใช้การรับรู้สะเปะสะปะ พวกมันก็จะไม่พบเห็น ตอนนี้ต้องนึกว่าสิ่งนี้เป็นเพียงกระดองเต่าว่องไวที่เต็มไปด้วยหนามแหลมและเปื้อนดินไปหมดจึงไม่เหลียวแลสักนิด” จินเฟยเหยาก็อยากให้คุณหนูใหญ่คนนี้เงียบลง ถึงแม้เสียงการสนทนาของคนทั้งสองจะเบา ทว่าการร่ำไห้อาละวาดตลอดเวลาก็ทำให้คนรู้สึกรำคาญ
ไห่หลันอินไม่ได้ฟังเรื่องกระดองเต่าเลยสักนิด ทว่าเอ่ยอย่างน่าสงสารด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ข้าอยากพักผ่อนสักหน่อย แต่ในกระดองเต่าแข็งเกินไปทำให้ข้าไม่สบายตัว ปวดเมื่อยตลอด เจ้าหาพวกฟูกให้ข้าหน่อยเถอะ ถ้ามีใบชาชั้นเลิศ รบกวนเจ้าชงให้ข้าสักกา”
“ข้าว่าเจ้าวอนโดนอัด อยากโดนทุบสินะ” จินเฟยเหยากระพริบตา มองไห่หลันอินที่กึ่งนั่งกึ่งนอนในกระดองเต่ามีท่าทางแง่งอนจึงยิ้มพลางเอ่ยถาม
“ข้าใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ได้!” ไห่หลันอินส่งเสียงฮึเป็นการแสดงว่ามีโทสะ แล้วเบือนหน้าไปไม่คิดจะสนใจนาง
จินเฟยเหยาถามอย่างสงสัย “เห็นเจ้าใช้ชีวิตสุขสบาย ออกจากบ้านน่าจะพกพาสิ่งของบ้างนะ ทำไมไม่เอาออกมาใช้เอง จะมาขอยาจกอย่างข้าทำไม”
ไห่หลันอินมองจินเฟยเหยาอย่างอารมณ์ไม่ดีแวบหนึ่ง มีสีหน้าดูแคลน “เจ้าพูดอะไรน่ะ สิ่งของของข้าล้วนให้หญิงรับใช้ประจำตัวพกพาไว้ แต่ก่อนหน้านี้นางถูกฟ้าผ่าตายต่อหน้าข้า ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรเลย โชคดีที่ตอนนั้นข้าถือร่มชักนำสายฟ้าไว้พอดี เดิมทีคิดจะถือวางมาดไปอย่างนั้นเอง ครั้งนี้กลับสกัดกั้นสายฟ้าจริงๆ”
“ปกติเจ้าไม่พกพาอะไรติดตัวเลย! หืม? ร่มชักนำสายฟ้า…” จินเฟยเหยาพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้อยู่บ้าง ทว่าเห็นท่าทางของไห่หลันอิน นางก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้
ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงเหล่มองนางพลางเอ่ยถามว่า “ร่มชักนำสายฟ้ามีพลังพิเศษอย่างไร?”
ไห่หลันอินเชิดหน้าขึ้น เอ่ยอย่างกระหยิ่ม “มีพลังพิเศษอย่างยิ่ง สามารถดูดซับสายฟ้าไว้ในตัวร่ม ขณะต่อสู้กับศัตรูสามารถปล่อยพลังทั้งหมดออกมาได้ ต้องรู้ว่าวัตถุดิบและของวิเศษที่สามารถให้กำเนิดสายฟ้าได้เองในโลกนี้ ถึงสามารถดูดซับสายฟ้าได้เพียงสายเดียวก็สามารถทำให้คนวิ่งตามเป็นขบวนได้”
พูดไปพูดมา ไห่หลันอินมองสีหน้าแปลกๆ ของจินเฟยเหยาก็รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
ทันใดนั้น นางพลันเบิกตากว้าง นึกถึงเรื่องน่ากลัวขึ้นได้ ทว่าก็เห็นนางกลอกตาแล้วยิ้มพลางเอ่ยกับจินเฟยเหยา “เป็นไปไม่ได้ ร่มชักนำสายฟ้าเพียงดูดซับสายฟ้าเท่านั้น เรือถูกฟ้าผ่าครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับข้าเลยแม้แต่น้อย ที่จริงคิดๆ ดู ถึงกระดองเต่าจะแข็งไปหน่อย แต่ค่อนข้างเย็นสบาย ข้าจะนอนก่อนชั่วคราว อีกสักครู่พอไปได้แล้วเจ้าค่อยปลุกข้า”
ไม่ใช่คนโง่แต่ยิ่งกว่าคนโง่ ผู้ติดตามของนางตายอย่างไม่เป็นธรรมจริงๆ จินเฟยเหยามองเงาหลังของนางแล้วส่ายศีรษะ
ยักษ์ตาเดียวค้นหาในป่าทึบอยู่นาน ยิงแสงสีขาวจนตาใกล้จะบอดก็ไม่พบเห็นพวกจินเฟยเหยาที่ซ่อนตัวอยู่ ในกระดองเต่าว่องไวที่ถูกทิ้งไว้ในพงหญ้า สิ่งของที่พบเห็นได้ทั่วไปในป่าไม่ดึงดูดความสนใจของพวกมัน ต่อให้คล้ายคน แต่ก็เป็นสัตว์ปิศาจ มีสติปัญญาไม่สูงนัก
ระหว่างนี้มียักษ์ตาเดียวตนหนึ่งพบเห็นกระดองเต่าชิ้นนี้ ใช้กระบองเขี่ยให้หงายและใช้แสงสีขาวกวาดดู พบว่ากระดองเต่าสกปรกชิ้นนี้เปื้อนดินเต็มไปหมด ดังนั้นมันจึงยกเท้าเตะกระดองเต่าว่องไวให้ลอยไปอย่างเดือดดาล
มีแผลเก่ายังเพิ่มแผลใหม่ คนทั้งสองในกระดองเต่าก็กลิ้งไม่หยุด พอผ่านพ้น ไห่หลันอินก็กุมแก้ม เอ่ยอย่างมีโทสะ “ต่อให้ต้องตายก็ไม่อยากนอนอยู่ในสถานที่เช่นนี้อีก ข้าจะออกไป! เต่าตัวนี้เพิ่งตายได้ไม่นาน ในนี้เหม็นแทบตายแล้ว!”
นางเพิ่งพูดจบก็รู้สึกว่าบนศีรษะถูกอะไรบางอย่างทุบ เบื้องหน้าพร่าพรายและหมดสติร่วงลงพื้น
จินเฟยเหยาเห็นนางสลบไป ก็มองพั่งจื่อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและเอ่ยชมเชย “ทำได้ดีมาก พั่งจื่อ ต่อไปขอเพียงนางพูดจาไร้สาระ เจ้าก็ลอบโจมตีนาง”
จินเฟยเหยาไม่ได้นำพั่งจื่อและต้านิวออกมาต่อหน้าไห่หลันอิน ดังนั้นขณะที่นางเริ่มพูดจาไร้สาระก็จะแอบโยนพั่งจื่อออกมาให้ทุบไห่หลันอินจากด้านหลังจนสลบ ทำแบบนี้สะดวกจริงๆ ในที่สุดโลกก็เงียบสงบลงได้
จินเฟยเหยาอาศัยวิธีนี้ จึงผลักกระดองเต่าว่องไวรุดหน้าไปยังสถานที่ซึ่งน่าจะเป็นทิศตะวันตกได้อย่างราบรื่น ตลอดทางถ้าไม่ถูกสัตว์ปิศาจเตะลอยไปก็ถูกห้อยไว้บนเถาวัลย์ มีครั้งหนึ่งขณะกำลังเคลื่อนที่ถูกเหยี่ยวล่าเต่าตัวหนึ่งพบเห็น นึกว่าเป็นเต่าว่องไวที่ยังมีชีวิตจึงจับไปไว้บนยอดไม้สูงทันที
มีเหยี่ยวตัวอื่นมาแย่งอาหารพอดี จินเฟยเหยาจึงฉวยโอกาสขณะที่พวกมันสองตัวต่อสู้กัน ผลักกระดองเต่าให้ร่วงลงใต้ต้นไม้ มิเช่นนั้นตอนนี้คงถูกกินต่างเนื้อเต่านานแล้ว
ไห่หลันอินเชื่อฟังมากขึ้นทุกวัน ไม่กวนวุ่นวาย ไม่เรียกร้องสิ่งของ บางครั้งยังขอเรื่องที่จินเฟยเหยาสามารถทำได้ จินเฟยเหยาก็สนองตามคำเรียกร้องของนาง
นางอิงเบาะกลมที่จินเฟยเหยานั่ง ฟูกใต้ร่างเป็นหนังสัตว์แห้งและกระดานแข็งๆ บนร่างคลุมหนังสัตว์ที่มีกลิ่นคาวเลือดและยังไม่ได้ผ่านกรรมวิธี ชีวิตในกระดองเต่ามืดมิดไร้แสงตะวันและอาศัยเพียงศิลาแสงจันทร์สองก้อน ทำให้ไห่หลันอินมีสายตาซึมเซาอยู่บ้าง
ที่จริงจินเฟยเหยาสงสัยยิ่ง เนื่องจากตีศีรษะนางทั้งวันใช่หรือไม่ จึงทำให้ไห่หลันอินโง่งมอยู่บ้าง
“สหายเซียนจิน พวกเราต้องเดินทางอีกเท่าไรจึงถึงเมืองซันจือ? สัตว์ปิศาจภายนอกเตะกระดองเต่าจึงกระแทกข้าจนสลบจริงๆ หรือ? เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าในกระดองเต่าชิ้นนี้น่าจะไม่ได้มีเพียงเราสองคน มักจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างปรากฏขึ้นด้านหลังแล้วทุบข้าจนสลบ” ทันใดนั้น ไห่หลันอินก็เอ่ยอย่างช้าๆ
จินเฟยเหยาตบบ่านางด้วยสีหน้าห่วงใย “เจ้าอย่าคิดมากเกินไป หลายวันนี้ไม่สลบนี่นา ท่าทางสัตว์ปิศาจที่พบเจอจะค่อนข้างน้อย เชื่อว่าอีกไม่นานพวกเราก็สามารถออกไปได้ ถ้าเจ้าว่างไม่มีอะไรทำก็นั่งฝึกบำเพ็ญ พรุ่งนี้พวกเราก็จะออกไปได้แล้ว”
ไห่หลันอินนั่งกอดเข่าและเอาศีรษะพิงเข่า เอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง “เจ้าอย่าหลอกข้าเลย ข้าอยู่ในกระดองเต่าชิ้นนี้มาเกือบหนึ่งปีแล้ว ถ้าสามารถออกไปได้ คงออกไปนานแล้ว ดินที่ฉาบอยู่บนรูกระดองก็มีหญ้างอกออกมา ทั้งยังมีเห็ดขึ้นด้วย ตัวข้าก็ใกล้จะมีรางอกออกมาแล้ว กระดองเต่าชิ้นนี้คือสถานที่ตายของข้า”
“อย่าอาละวาด ผลักกระดองเต่าย่อมต้องเดินทางช้า ถึงแม้ชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพจะมีเขตแดนกว้างใหญ่ แต่ก็มีขอบเขต ขอเพียงเข้าสู่โลกระดับเทพส่วนนอก พวกเราก็ไม่ต้องอยู่ในกระดองเต่าอีกต่อไป เจ้าเคยบอกว่าโลกระดับเทพส่วนนอกก็มีผู้บำเพ็ญเซียนไม่น้อย อีกทั้งสัตว์ปิศาจขั้นแปดขั้นเก้าก็ไม่มากเหมือนชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพนอก เจ้าทำใจให้ร่าเริงหน่อย คิดถึงศิษย์พี่เข้าไว้”
“ศิษย์พี่ไม่ต้องการสตรีที่มีราขึ้นหรอก” ไห่หลันอินก้มหน้าอย่างโศกเศร้า จิตใจไม่ร่าเริงเลยสักนิด
จินเฟยเหยาไม่สนใจนาง แนบดวงตาลงบนกระดองเต่าอีกครั้ง ขุดรูเล็กๆ มองดูภายนอก จากนั้นก็ใช้ทงเทียนหรูอี้ผลักกระดองเต่าจากด้านใน ทันใดนั้น นางก็เอ่ยพึมพำกับตนเอง “น่าแปลก เหตุใดจึงไม่เห็นต้นไม้แล้ว เบื้องหน้ามีเกาะลอยได้ขนาดใหญ่เกาะหนึ่ง!”
“ถอยไป ให้ข้าดูหน่อย!” ไห่หลันอินซึ่งเดิมทีหดหู่พุ่งปราดมา ใช้เรี่ยวแรงดูดน้ำนมมารดาผลักจินเฟยเหยาออก แล้วแนบดวงตาของตนเองบนรูเล็กๆ
จินเฟยเหยามองนางอย่างตะลึงงัน ก็เห็นไห่หลันอินหัวเราะลั่นราวกับเป็นบ้าไปแล้ว “ฮ่าๆๆ! ในที่สุดก็มาถึงโลกระดับเทพส่วนนอก ข้ากลับบ้านได้แล้ว! ข้าจะได้เจอศิษย์พี่แล้ว ชาตินี้ข้าไม่อยากพบเจอพวกเต่าอีก!”
ไม่รู้ว่าถ้าอาจารย์ที่สั่งสอนธิดาสุดที่รักของเจ้าสำนักเต้าไถพบเห็นท่าทางบ้าคลั่งของนางในยามนี้ จะรู้สึกว่าการอบรมกุลสตรีเกือบร้อยปีถูกทำลายจนหมดสิ้นเนื่องจากให้นางออกมาท่องเที่ยวเพียงครั้งเดียวหรือไม่ จินเฟยเหยานั่งคิดอยู่ในกระดองเต่าอย่างใจร้าย