คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 250 โลกระดับเทพส่วนนอก
“นี่คือสภาพที่แท้จริงของโลกระดับเทพ…” จินเฟยเหยาเชิดหน้ารับลม ยืนอยู่ชายป่าอันหนาทึบของชั้นเมฆส่วนนอกแห่งโลกระดับเทพ สูดอากาศบริสุทธิ์สดชื่นเข้าไปลึกๆ
กลิ่นในกระดองเต่าไม่ได้ให้คนอยู่จริงๆ ที่จริงขอเพียงชำระล้างกลิ่นเหม็นเน่า น่าจะสามารถลบกลิ่นทิ้งได้ เพียงแต่ ใครจะมีเวลาว่างไปทำเรื่องนี้ แค่หลบหนีก็ไม่ว่างแล้ว
เบื้องหน้าจินเฟยเหยาคือทะเลเมฆสีขาวอันกว้างใหญ่ ชั้นเมฆส่วนนอกแห่งโลกระดับเทพก็อยู่บนทะเลเมฆเหล่านี้ เงยหน้าขึ้นก็เป็นชั้นเมฆดำที่มีฝนโปรยปราย ริมชั้นเมฆดำ มีสายฟ้าสาดกระจายลงมาเหมือนน้ำตก ราวกับแขวนม่านโปร่งที่ส่องแสงวิบวับไว้ข้างชั้นเมฆส่วนนอกแห่งโลกระดับเทพ
มองผ่านม่านสายฟ้าไปยังเกาะที่มองไม่เห็นขอบเขตบนทะเลเมฆซึ่งอยู่ห่างออกไปสิบหลี่ บางทีเป็นเกาะ แต่ดูแล้วเหมือนแผ่นดินใหญ่ผืนหนึ่งมากกว่า
บนเกาะฝั่งตรงข้ามยังมีป่าตั้งตระหง่าน ดูแล้วไม่มีอะไรแตกต่างกับชั้นเมฆส่วนนอกแห่งโลกระดับเทพทางด้านนี้จริงๆ แต่บนท้องนภาด้านนั้นไม่มีชั้นเมฆดำ ทว่าเป็นแสงอันเจิดจรัสของดวงอาทิตย์ กลับมาดูเมฆชั้นนอกแห่งโลกระดับเทพทางด้านนี้ ท้องฟ้ายังเป็นสีเทาขมุกขมัวดังเดิม กลางอากาศให้ความรู้สึกชื้นแฉะทำให้คนรู้สึกไม่สบาย
ดียิ่งนักที่ได้เห็นแสงอาทิตย์ ไห่หลันอินนั่งตื่นเต้นอยู่บนพื้นไม่หยุด นางนึกว่าตนเองคงต้องตายอยู่ในกระดองเต่าชิ้นนั้นเสียแล้ว ตอนนี้ยังเห็นแสงตะวันได้ มีความสุขมากจริงๆ
จินเฟยเหยาไม่ได้ซาบซึ้งมากขนาดนั้น นางผ่านชีวิตที่ต้องหนีตายมามาก เรื่องแบบนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
เห็นอารมณ์ของไห่หลันอินสงบลง จินเฟยเหยาจึงเอ่ยถาม “จะผ่านม่านสายฟ้านี้ไปอย่างไร สหายเซียนไห่มีวิธีหรือไม่?”
“เรื่องนี้เจ้าต้องคิดหาวิธีมิใช่หรือ? ข้าไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน ข้าไม่รู้หรอก” ไห่หลันอินมองจินเฟยเหยาด้วยสีหน้างุนงง ท่าทางเอาแต่ใจไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะได้ออกมาจากกระดองเต่าเลยสักนิด
“ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจมาตลอด ที่แท้สหายเซียนไห่เจี๋ยตันได้อย่างไร ทำอะไรไม่เป็นและไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง ขนาดถุงเฉียนคุนซึ่งเป็นแก่นชีวิตของผู้บำเพ็ญเซียนก็ให้ผู้อื่นแบกไว้ อย่าบอกนะว่าของวิเศษของเจ้าก็แขวนประดับไว้ดูบนกำแพง” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างจนปัญญา
“เจ้ารู้ได้อย่างไร? ข้าวางไว้ในบ้านจริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่ไม่ได้ประดับบนกำแพง แต่วางไว้ในศาลาริมน้ำหลิงไถที่ข้าชอบที่สุด” ไห่หลันอินมองจินเฟยเหยาอย่างคาดไม่ถึง คนผู้นี้ไม่เคยไปศาลาริมน้ำหลิงไถ คิดไม่ถึงจะรู้ว่าตนเองจัดการกับของวิเศษชั้นยอดอย่างไร
จินเฟยเหยาได้แต่ถอนหายใจยาว “ข้าเดาว่าเจ้าคงไม่เคยสังหารสัตว์ปิศาจสักตัวสินะ ไม่ต้องพูดถึงคน”
ไห่หลันอินเอ่ยด้วยสีหน้าผู้บริสุทธิ์ “ฆ่าสัตว์ปิศาจทำไม? เหตุใดข้าต้องทำเรื่องเช่นนั้นด้วย ท่านพ่อเตรียมสิ่งของไว้ให้ข้าแล้ว ข้าเพียงใช้ฝึกบำเพ็ญนิดหน่อย จากนั้นก็เล่น ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ต้องเป็นเจ้าสำนัก รอข้าแต่งงานกับศิษย์พี่ ต่อไปก็ให้ศิษย์พี่ของข้าเป็นเจ้าสำนัก ข้าจะห่วงเรื่องนี้ทำไม”
“เศรษฐีอย่างพวกเจ้าช่างน่าชังจริงๆ” จินเฟยเหยามองเมินไปอีกทาง ไม่อยากเห็นสีหน้าตามเหตุผลสมควรเป็นเช่นนี้ของไห่หลันอิน
ทว่าไห่หลันอินยังเข้ามาใกล้ “สหายเซียนจิน ฟันสามซี่ที่เจ้าบอกเล่า จะหลอมให้ข้าเมื่อไร?”
“ถึงฝั่งตรงข้ามแล้วหาสถานที่ปลอดภัยสักแห่ง ข้าจะหลอมฟันให้เจ้าสามซี่” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี ในใจสำนึกเสียใจอย่างยิ่ง รู้แต่แรกตอนนั้นน่าจะทุบตีให้หนักหน่อย ต่อยนางให้ฟันร่วงหมดปาก
“อืม เช่นนั้นพวกเรารีบไปเถอะ ถึงโลกระดับเทพส่วนนอกที่ฝั่งตรงข้าม ยังต้องเดินทางอีกไกลจึงไปถึงโลกระดับเทพส่วนใน” ไห่หลันอินพูดอย่างอารมณ์ดี
จินเฟยเหยาเห็นชั้นม่านสายฟ้าเบื้องหน้าก็ครุ่นคิด เมืองซันจืออยู่โลกระดับเทพส่วนใน ต้องผ่านโลกระดับเทพส่วนนอกที่มีความวุ่นวายระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่ามารจึงสามารถไปถึงโลกระดับเทพส่วนในได้ อีกทั้งภายในโลกระดับเทพส่วนในยังแบ่งเป็นเขตแดนของสองเผ่า ถ้าเข้าเขตแดนผิด อาจจะตกสู่ดินแดนเผ่ามารกลายเป็นอาหารไป
ทว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือจะผ่านม่านสายฟ้าผืนนี้อย่างไร คุณหนูใหญ่ทางด้านข้างคนนี้พึ่งพาไม่ได้เอาเสียเลย อยากจะโยนนางไปล่อสายฟ้าจริงๆ จากนั้นฉวยโอกาสทะลุผ่านไป
หืม? ล่อสายฟ้า! จินเฟยเหยาดวงตาเป็นประกาย คิดวิธีดีๆ ออก
เนื่องจากสาวใช้ของไห่หลันอินถูกฟ้าผ่าตาย ตอนนี้นางไม่มีของวิเศษบินได้สักชิ้น ตอนจินเฟยเหยาถามถึงของวิเศษแก่นชีวิตของนาง คิดไม่ถึงนางจะบอกว่าศิษย์พี่กำลังจัดเตรียมวัตถุดิบอยู่ จะหลอมก็ต้องหลอมของวิเศษแก่นชีวิตชั้นเลิศ อีกทั้งนางยังคิดจะใช้ของวิเศษเป็นสิ่งของหมั้นหมาย เตรียมหลอมสร้างให้เสร็จก่อนแต่งงาน ดังนั้นตอนนี้นางยังสู้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนหนึ่งไม่ได้เลย
“ถ้าข้าเป็นท่านพ่อของเจ้า ข้าจะฟาดตัวไร้ประโยชน์อย่างเจ้าหลายๆ ทีให้ตาย ข้าสงสัยจริงๆ ว่าถ้าส่งเจ้ากลับเมืองซันจือจะไม่มีคนมาตามหาเจ้า ที่จริงท่านพ่ออยากให้เจ้าตายอยู่ข้างนอกใจจะขาด จากนั้นบ่มเพาะผู้สืบทอดดีๆ ขึ้นใหม่อีกคน” จินเฟยเหยาให้นางยืมทงเทียนหรูอี้ยืน เอ่ยอย่างจนปัญญา
“ข้าก็ไม่เข้าใจ ผู้อื่นล้วนประจบประแจงข้าไม่หยุด เลือกพูดสิ่งที่ข้าชอบฟังที่สุดทุกอย่าง ทำไมเจ้าจึงจงใจเป็นศัตรูกับข้า ถ้าไม่เสียดสีข้าก็ไม่พอใจข้า” ไห่หลันอินดึงชายเสื้อของจินเฟยเหยา ทำปากยื่นพลางเอ่ยอย่างไม่พอใจ
สายตาจินเฟยเหยามองไปยังม่านสายฟ้าที่ดังเปรี๊ยะๆ ไม่หยุดเบื้องหน้าซึ่งห่างไม่ถึงสามจั้งแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “พวกเขาคิดจะเอาเปรียบเจ้า แน่นอนว่าต้องประจบประแจงเจ้า ข้าไม่ได้คิดจะเอาเปรียบเจ้า จึงไม่จำเป็นต้องประจบประแจงเจ้า อีกทั้งตอนนี้เจ้ายังเป็นสิ่งไร้ค่าชิ้นใหญ่ สิ่งที่ข้าพูดไม่ผิดเลย ทางที่ดีต่อไปเจ้าพกสิ่งของมีค่าทั้งหมดติดตัว ถ้ามีคนคิดร้ายกับเจ้าแต่กลับพบว่าบนตัวเจ้าไม่มีแม้แต่ศิลาวิญญาณสักก้อน ถึงตอนนั้นเจ้าจะได้ไม่อับอายจนกลายเป็นโทสะ ถูกแทงไม่กี่ครั้งก็ตาย”
“เจ้าขู่ขวัญข้า ขอเพียงข้าออกจากสำนักก็จะพาหญิงรับใช้และองครักษ์สิบกว่าคนไปด้วย ใครจะปล้นข้าได้” ไห่หลันอินเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“เชอะ ถ้าองครักษ์มีประโยชน์ขนาดนั้นจริง ตอนนี้เจ้ามาอยู่กับข้าได้อย่างไร” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างเฉยชา ความจริงสิ่งที่ในใจนางอยากบอกคือ ถ้าเจ้าพกของวิเศษชั้นยอดเหล่านั้นไว้บนตัว ข้าคงแทงเจ้าตายและกวาดสิ่งของหลบหนีไปคนเดียวนานแล้ว ไยต้องลากเจ้ามาด้วยราวกับแม่นม น่ารำคาญแทบตาย
ได้ยินคำพูดของจินเหยา ไห่หลันอินก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง ต่อไปตนเองเตรียมถุงเฉียนคุนไว้หน่อยดีกว่า ถ้าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก อย่างน้อยตนเองก็มีสิ่งของใช้ มิใช่ไม่มีอะไรเลย
“จับให้ดี พวกเราจะทะลวงไปทันที” จินเฟยเหยาจ้องมองม่านสายฟ้าเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา เอ่ยเตือนให้ไห่หลันอินที่อยู่ด้านหลังจับนางไว้ให้มั่น
“เรียบร้อย” น้ำเสียงของไห่หลันอินสั่นนิดๆ นางตึงเครียดอย่างยิ่ง ถ้าล้มเหลวถูกฟ้าผ่าก็จะไม่ได้เจอศิษย์พี่จริงๆ
“ไป!”
จินเฟยเหยาตวาดลั่น โยนกระดองเต่าว่องไวที่ชูขึ้นเหนือศีรษะมาตลอดใส่ม่านสายฟ้า เห็นแสงกระพริบเสียดแทงนัยน์ตาสายหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงเปรี๊ยะๆ ม่านสายฟ้าถูกกระดองเต่าสกัดกั้นไว้
นางขยับจิตทันที ถ่ายเทพลังวิญญาณลงในทงเทียนหรูอี้ แล้วพุ่งวูบไปทางด้านล่างกระดองเต่า ขณะที่พวกนางสองคนทะลวงผ่านม่านสายฟ้า รู้สึกตลอดร่างชาหนึบ แม้แต่เส้นผมก็ถูกสายฟ้าทำให้ลอยขึ้นมา
หลังคนทั้งสองพกพาความรู้สึกเป็นอัมพาตทั่วร่างพุ่งออกจากม่านสายฟ้าก็หนีเข้าไปในโลกระดับเทพส่วนนอกอย่างสุดชีวิต คิดเพียงออกห่างจากอันตรายยิ่งไกลยิ่งดี ทว่ากระดองเต่าว่องไวชิ้นนั้น ชั่วพริบตาที่พวกนางสองคนทะลวงผ่านม่านสายฟ้าก็กลายเป็นธุลีไหม้เกรียม ถ้าช้าอีกนิดเดียว คนทั้งสองคงมีจุดจบเช่นนี้
“ฮ่าๆๆ! ในที่สุดก็ออกจากสถานที่บ้าๆ ที่มีราขึ้น ฟ้าครึ้ม และฝนตกไม่หยุดได้แล้ว!” พุ่งมาถึงกลางอากาศของโลกระดับเทพส่วนนอกก็อาบแสงอาทิตย์ที่ไม่ได้เห็นมานาน จินเฟยเหยาอดหัวเราะลั่นไม่ได้
พวกนางสองคนไม่รีบร้อนเดินทาง นอนราบและหลับอยู่ตรงนั้น ราวกับคิดจะให้แดดชำระกลิ่นเหม็นอับเกือบหนึ่งปีทิ้งไป ไห่หลันอินดมกลิ่นบนร่าง สีหน้าเปลี่ยนแปลง เหม็นยิ่ง! เหม็นจนทำให้นางตายได้ทันที
นางฉุดลากจินเฟยเหยาที่ใช้เป็นองครักษ์ชั่วคราว ค้นหาลำธารสายหนึ่งและอาบน้ำข้างนอกโดยไม่รู้สึกอายเป็นครั้งแรก ไม่มีเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนนางยังหยิบยืมจากจินเฟยเหยาชุดหนึ่ง ส่วนกระโปรงไหมดาราเงินของนางชุดนั้นก็ถูกจินเฟยเหยายึดไว้เป็นของตนเองอย่างถูกต้องชอบธรรม
จินเฟยเหยาก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เห็นรอบด้านถือว่าเงียบสงบ ก็เตรียมหลอมฟันให้ไห่หลันอินก่อน
นางครุ่นคิด หลังจากเข้าโลกระดับเทพส่วนนอก ต้องพบกับผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นอย่างยากจะหลีกเลี่ยง ถ้าพบว่าไห่หลันอินไม่มีฟัน ต้องทำให้ไห่หลันอินรู้สึกขายหน้าแน่ อาจจะกระทบถึงการได้ใยทองของตนเอง ถึงอย่างไรก็ลำบากเพียงยกมือ ทำตามสบายก็พอ
เรื่องวัตถุดิบฟันปลอม จินเฟยเหยาแทบจะค้นวัตถุดิบทั้งหมดของนางออกมา ถ้าไห่หลันอินไม่รังเกียจว่าสิ่งนั้นไม่ขาวเพียงพอก็รังเกียจว่าสิ่งนี้ปลอมเกินไป หรือไม่ก็บอกว่าไม่ใช่วัตถุดิบชั้นหนึ่ง ทำให้จินเฟยเหยามีโทสะจนผลักนางออก ตนเองคว้าได้เขี้ยวมังกรหนึ่งซี่ก็คิดจะใช้สิ่งนี้ทำฟันปลอมให้นาง ไห่หลันอินไม่ยินยอมอย่างยิ่ง อย่างไรก็ต้องใช้หินหยกจะใช้ฟันมังกรได้อย่างไร
ทว่าจินเฟยเหยาไม่สนใจนาง หลอมเขี้ยวมังกรเล็กๆ ยาวเท่านิ้วซี่นั้น แล้วให้ไห่หลันอินอ้าปากให้ดู ใช้เวลาเพียงสองชั่วยามก็หลอมฟันสีขาวสามซี่ให้นางได้
หลังจากไห่หลันอินใส่ฟันจึงพบว่าฝีมือของจินเฟยเหยาไม่เลวเลย ฟันปลอมนี้ราวกับฟันจริง ถ้าไม่รู้ว่าตนเองฟันหลุดไปสามซี่ตัวนางเองก็ไม่รู้สึกว่าสวมฟันปลอม ทั้งยังอยู่รวมกับฟันเดิมได้อย่างกลมกลืน
หลังจากลองแล้วไห่หลันอินก็แสดงออกว่าพอใจ จินเฟยเหยาจึงวางใจ ถ้าศิษย์พี่ไม่ต้องการนางเพราะเหตุนี้ ตนเองต้องไม่ได้ใยทองแน่
“เมืองซันจืออยู่ทิศทางใด พวกเราจะเดินทางผิดแล่นไปเขตแดนที่เผ่ามารยึดครองอยู่ไม่ได้นะ” จินเฟยเหยาขมวดคิ้ว ถามไห่หลันอินที่ใช้กระจกวารีส่องดูฟันอยู่ตลอดเวลา
ไห่หลันอินอ้าปากอยู่หน้ากระจกวารี ยิงฟันมองดูฟันของตนเอง และเอ่ยโดยไม่หันหน้ามา “เมืองซันจือ? ไม่รู้หรอก ข้าไม่เคยไป”
“ถือว่าข้าผิดเอง ไม่สมควรจะฝากความหวังไว้กับเจ้า” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างดุร้าย ได้แต่แค้นตนเองที่อยู่กับยายนี่มานานจึงเปลี่ยนเป็นโง่งมขึ้นมาก
จากนั้นจินเฟยเหยาก็ชี้โลกระดับเทพส่วนนอกตามสบาย “ไปเถอะ ในเมื่อเป็นโลกระดับเทพส่วนนอก จะมากจะน้อยก็ต้องพบเจอคน ไม่ว่าเป็นเผ่ามารหรือเผ่ามนุษย์ ขอเพียงสอบถามทางจากคนในนั้นได้ก็ต้องหาพบ”
จินเฟยเหยาฉุดดึงไห่หลันอินที่ยังส่องกระจกวารี ให้ทงเทียนหรูอี้กลายเป็นเรือเล็กๆ ขึ้นนั่งและเหาะไปยังโลกระดับเทพส่วนนอก
เดินทางมาสองวัน จินเฟยเหยาและไห่หลันอินก็มีโทสะ
นี่หมายความว่าอย่างไร ไหนบอกว่าโลกระดับเทพส่วนนอกดีกว่าชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพ เหตุใดตลอดทางยังเจอกับสัตว์ปิศาจขั้นแปดอย่างต่อเนื่อง สถานที่แตกต่างกันเพียงอย่างเดียว แค่ไม่มีสัตว์ปิศาจขั้นเก้าสติปัญญาต่ำวิ่งวุ่นไปทั่ว จุดนี้ทำให้พวกนางสองคนรู้สึกดีขึ้นมาก
“เดินผิดทางหรือไม่ ต้องหาคนมาถามหรือไม่? ยังมีข้าว่าเจ้าก็ขั้นหลอมรวมแล้ว ทำไมต้องเดินทางไปพลางฆ่าสัตว์ปิศาจไปพลาง ข้าอยากไปถึงโลกระดับเทพส่วนในเร็วๆ หน่อย เจ้ายากจนขนาดนี้เลยหรือ ข้าว่าเจ้าได้ตานสัตว์ปิศาจขั้นห้ามากมายแล้วนะ” ไห่หลันอินกอดอกยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ทำปากยื่นมองจินเฟยเหยาที่ยุ่งอยู่หน้าซากสัตว์ปิศาจอย่างไม่พอใจ
จินเฟยเหยาคร้านจะพูดมากกับนาง หลายวันนี้แม้แต่ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นก็กินหมดแล้ว ถ้าไม่หาตานสัตว์ปิศาจสักหน่อยคงจะยุ่ง ถึงจะมีไห่หลันอินเป็นเสบียง ทว่าแรงดึงดูดของใยทองมีมากกว่า ทำให้นางสะกดกลั้นมาตลอด อีกทั้งจินตันของไห่หลันอินธรรมดาเกินไปจึงไม่มีอารมณ์คิดจะลิ้มลอง
ทว่าไห่หลันอินยังประณามนางอย่างไม่พอใจ “เจ้าพบสัตว์ปิศาจตัวหนึ่งแทบจะทุกสองสามวัน หลายวันนี้นอกจากเจ้าพาข้าหลบหลีกสัตว์ปิศาจขั้นเจ็ดขึ้นไป เจ้าก็ไม่ละเว้นสัตว์ปิศาจขั้นห้าสักตัว ถูกเจ้าฆ่าหมด คำนวณดูก็มีตานสัตว์ปิศาจสามสิบสี่สิบเม็ดแล้ว เจ้าจะหามามากมายขนาดนี้ไปทำไม!”
“ไม่เป็นเจ้าของบ้านก็ไม่รู้ว่าข้าวสารกับฟืนแพงเพียงใด ข้ามิได้มีบิดาที่ร่ำรวยเงินทองเสียหน่อย” จินเฟยเหยาเก็บตานสัตว์ปิศาจ เอ่ยตอบอย่างอารมณ์ไม่ดี หลายวันมานี้เร่งรุดเดินทางพลางสังหารสัตว์ปิศาจเอาตาน จึงหาตานสัตว์ปิศาจได้สามสี่สิบเม็ดได้เพียงพอกรอกท้องให้อิ่ม
จะว่าไป ทั้งหมดเพราะเรือผุๆ ของสำนักฉีเทียนทำร้าย ส่วนตอนนี้หายนะที่ใหญ่ที่สุดคือไห่หลันอิน จินเฟยเหยาเหล่มองนาง ถ้ามิใช่นางติดตามตนเอง ไม่เหมาะจะใช้ไฟนรกและผงกระตุ้นกำหนัด ตนเองคงสังหารสัตว์ปิศาจขั้นเจ็ดลงมาในรัศมีห้าหลี่รอบด้านทั้งหมดแล้ว
ยิ่งอยู่ก็ยิ่งยากจน ยิ่งยากจนก็ยิ่งยากจะอยู่ จินเฟยเหยารู้สึกว่าหลังตนเองเจี๋ยตันแล้วยิ่งยากจนลง ผู้อื่นพลังการบำเพ็ญเพียรยิ่งสูง ทรัพย์สมบัติก็ยิ่งมาก ตนเองกลับตรงกันข้าม ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วใช้สิ้นเปลืองเกินไปหรือไม่ ชาตินี้จึงเกิดมายากจน
ในขณะที่คนทั้งสองปะทะคารมกันก็มีเสียงดังสนั่นดังมา อานุภาพกดดันและคลื่นการโจมตีพุ่งเข้ามาปะทะหน้า ต้นไม้ปลิวลอย สัตว์ปิศาจหลบหนีอย่างแตกตื่น พลังมหาศาลจนพัดจินเฟยเหยาและไห่หลินอินขึ้น
“มีคนกำลังต่อสู้กัน!” จินเฟยเหยาขมวดคิ้ว มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ต่อสู้กันอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเผ่ามนุษย์ต่อสู้กันเองหรือเผ่ามนุษย์ต่อสู้กับเผ่ามาร โลกระดับเทพส่วนนอกไม่ได้แบ่งเขตแดนอย่างชัดเจนมาตลอด ทุกคนอยู่ปะปนกัน พบหน้าก็เปิดฉากต่อสู้
“สหายเซียนจิน พวกเรารีบไปดูเถอะ ทางด้านนั้นมีผู้บำเพ็ญเซียน เขาต้องรู้ทางไปเมืองซันจือแน่” ไห่หลันอินมีสีหน้าตื่นเต้น พยายามฉุดดึงจินเฟยเหยาพลางร้องตะโกน
ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่จะไว้หน้าคุณหนูใหญ่คนนี้หรือไม่ ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ยังพูดจาง่ายหน่อย ถ้าเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่ามารก็ส่งมอบนางไป เผ่ามารน่าจะอยากใช้นางเป็นตัวประกันแลกเปลี่ยนกับทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคนฝ่ายใดก็ดูเหมือนตนเองจะไม่เสียเปรียบ
ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงพยักหน้าตกลง แต่ครั้งนี้นางไม่ได้ให้ไห่หลันอินนั่งอยู่ด้านหลัง ทว่าให้นางนั่งอยู่ด้านหน้าเรือเล็กๆ ที่เปลี่ยนมาจากทงเทียนหรูอี้ ถ้ามีอันตรายก็สามารถให้นางต้านรับ ส่วนตนเองหลบหนีก่อน
ไห่หลันอินไม่ได้ตระหนักเลยสักนิด กลับยินดีอย่างยิ่ง ในอดีตนางออกจากสำนักล้วนนั่งโดยสารของวิเศษบินได้อันงดงาม และยังมีกลุ่มคนห้อมล้อมราวกับดาวล้อมเดือน ดังนั้นการนั่งอยู่ด้านหน้าจินเฟยเหยาครั้งนี้ ทำให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ไม่ได้เจอมานาน
…………………………….