คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 251 เสียงคนเอะอะ
ทั้งสองคนบินมาข้างหน้าได้ไม่นาน เห็นในป่าเบื้องหน้าปรากฏหลุมลึกขนาดยักษ์ ในหลุมยังมีควันซึ่งถูกการโจมตีอันแข็งแกร่งเผาไหม้ลอยออกมา
บนปากหลุมมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ลอยอยู่ ด้านหลังยังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมติดตามสี่คน สิ่งที่ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกยินดีคือคนทั้งห้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์
รอควันในหลุมกระจายหายไป ก็เผยให้เห็นซากศพของผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่ามารคนหนึ่ง ไม่รอให้จินเฟยเหยามองเห็นชัดเจน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนนั้นก็ยกมือขึ้นเผาทิ้ง
“ผู้อาวุโส ข้าคือไห่หลันอินเป็นศิษย์ของภูเขาเต้าไถ คารวะผู้อาวุโส พวกเราหลงทาง คิดจะไปเมืองซันจือ ไม่ทราบผู้อาวุโสสามารถบอกทางได้หรือไม่” เรื่องนี้ไห่หลันอินกลับดียิ่ง ช่างตรงไปตรงมาจริงๆ พูดอีกอย่างหนึ่งคือ เป็นหญิงชราอายุร้อยปีที่ไร้เดียงสาจริงๆ
จินเฟยเหยายืนอยู่ด้านหลังนางด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แสร้งเป็นหญิงรับใช้ของนาง ยกเรื่องสอบถามเส้นทางให้ไห่หลันอินจัดการ
เดิมทีตอนหลายคนนั้นมองเห็นพวกนางยังระแวดระวัง หลังพบว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นหลอมรวมช่วงต้นสองคนก็มีสีหน้าดูแคลนอยู่บ้าง ทว่าเมื่อได้ยินไห่หลันอินแจ้งชื่อสำนักตนเอง สีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนจากสุนัขป่าดุร้ายเป็นหมาในเจ้าเล่ห์
“ที่แท้เป็นคุณหนูไห่ ท่านพ่อของเจ้ากำลังตามหาเจ้าไปทั่วโลกระดับเทพ พวกเราออกมาตามหาเจ้าโดยเฉพาะ ยังนึกว่าเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือคนเผ่ามาร ค้นหาอยู่นานมาก หนึ่งในผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมสี่คนเหาะออกมา และเอ่ยด้วยสีหน้ายินดี
ตามหาอะไร เห็นได้ชัดว่าเพิ่งคิดขึ้นได้ จินเฟยเหยาตำหนิในใจอย่างไม่พอใจ ไม่รู้ว่าเจ้าภูเขาเต้าไถต้องจ่ายค่าตอบแทนมากเพียงใดเพื่อค้นหาบุตรสาวของตนเอง เพิ่งแจ้งชื่อออกมา ขนาดผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ยังหวั่นไหว
ไห่หลันอินเอ่ยอย่างตื่นเต้น “จริงหรือ? ดียิ่งนัก ขอบคุณผู้อาวุโส คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสจะมาตามหาข้าด้วยตนเอง”
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนนั้นไพล่สองมือไว้ด้านหลัง พยักหน้าให้ไห่หลันอินอย่างสงบนิ่ง ไม่ได้เอ่ยอะไร
เรื่องนี้จินเฟยเหยาเข้าใจได้ ถึงแม้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่จำนวนมากดูแล้วยังหนุ่ม ที่จริงทุกคนเป็นตาเฒ่าที่มีชีวิตอยู่จนเบื่อหน่ายแล้ว คิดจะให้พวกเขารู้สึกดีใจเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คนอย่างจู๋ซวีอู๋มีไม่มากจริงๆ เพียงแต่คนที่จิตใจวิปริต อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อยก็มีไม่น้อย
แต่ไห่หลันอินคนนี้ก็หลอกง่ายเกินไป ผู้อื่นบอกมาตามหาเจ้า เจ้าก็เชื่อ หรือว่าจะไม่สอบถามดูสักหน่อย อีกทั้งพวกเขายังไม่ได้ทำอะไรเลย จะให้พวกเขาไปรับรางวัลแบบนี้ไม่ได้นะ
ไม่รอให้จินเฟยเหยาคิดเสร็จสิ้น ก็เห็นไห่หลันอินมองพวกเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณ “ขอบคุณทุกท่านที่มาตามหาข้า ข้าต้องให้ท่านพ่อตอบแทนทุกท่านแน่ ตอนนี้ข้าเพียงแค่คิดจะไปถึงเมืองซันจือแต่เนิ่นๆ จะได้เจอกับศิษย์พี่ของข้าเร็วๆ”
“ศิษย์พี่ของเจ้า? คนที่เจ้าพูดถึงคือหลงซิง” ผู้บำเพ็ญเซียนหลายคนนั้นสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยถาม
ไห่หลันอินดวงตาเป็นประกาย พยักหน้าตอบรับ “ใช่ คือศิษย์พี่หลงของข้า พวกท่านรู้จักศิษย์พี่ของข้าหรือ?”
“หลงซิงที่อยู่อันดับสามของผังสงครามวิญญาณ มีใครไม่รู้จักบ้าง พวกเรากำลังจะกลับเมืองซันจือพอดี ก็จะส่งคุณหนูไห่กลับไป” ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่แอบถ่ายทอดคำพูดเหล่านี้ให้หรือไม่ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่ออกมาเอ่ยวาจาคนแรกสุดจึงตัดสินใจกระทำ
ก่อนจะไป เว่ยอัน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่พูดมากและเพิ่งแจ้งชื่อสำนักของตนเองคนนั้น มองจินเฟยเหยาที่ไม่เอ่ยวาจา แล้วสอบถามไห่หลันอิน “คุณหนูไห่ ไม่ทราบสหายเซียนสตรีท่านนี้คือ…”
“นางพาข้าออกมาจากชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพและเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้า” ไห่หลันอินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นสบตาเขาแล้วพยักหน้านิดๆ ในเวลานี้เอง จินเฟยเหยารู้สึกได้ว่าการรับรู้ของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนนั้นกวาดมาทางตนเอง นางคารวะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนนี้อย่างไม่กระโตกกระตาก แล้วไม่มองพวกเขาอีก
ทุกคนไม่พูดจามากความ เพียงพูดคุยไม่กี่ประโยค พวกเขาก็เหาะนำไปยังโลกระดับเทพส่วนใน เพื่อหลีกเลี่ยงความหวาดระแวง ไห่หลันอินจึงนั่งอยู่บนทงเทียนหรูอี้ของจินเฟยเหยาตลอดเวลา จินเฟยเหยารู้สึกว่าหลายคนนี้ดูเหมือนจะรู้สึกสนใจตนเองยิ่งกว่าไห่หลันอินและมักจะมองมาทางตนเองไม่หยุด ถึงแม้จะไม่รู้สึกถึงเจตนาสังหารทว่าก็ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ
ตลอดทางจินเฟยเหยาไม่ได้พูดมาก เพียงนำตานสัตว์ปิศาจแอบยัดใส่ปากเป็นบางครั้ง ตลอดทางนางทำตัวไม่เป็นจุดเด่นอย่างหาได้ยาก ที่จริงแอบระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา กลุ่มคนที่ตัดสินใจจะเอาศิลาวิญญาณฟรีๆ รวดเร็วขนาดนี้ต้องมิใช่ตัวดีอะไร อีกทั้งยังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่อยู่ทำให้คนวางใจไม่ลงจริงๆ
ในที่สุด หลังผ่านมาหลายวันก็มีคนอดเคลื่อนไหวก่อนไม่ได้ ผู้บำเพ็ญเซียนที่ชื่อเว่ยอันเหยียบของวิเศษรูปจานกลมเหาะเหินมาตีสนิทกับจินเฟยเหยา
ถึงจินเฟยเหยาจะไม่ค่อยพูดจาทว่าก็ยังแจ้งชื่อแซ่ออกไป “สหายเซียนจินสุขุมจริงๆ แต่ผู้บำเพ็ญเซียนที่สามารถออกมาจากชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพอย่างปลอดภัยได้ต้องยอดเยี่ยมอย่างยิ่งแน่”
จินเฟยเหยามองเขาอย่างประหลาดใจ หรือว่าพวกเขาจับตาดูตนเองอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากตนเองสามารถหนีออกมาจากชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพได้ ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงเอ่ยอย่างสุภาพ “สหายเซียนเว่ยชมเกินไปแล้ว ถึงแม้ข้าจะพาสหายเซียนไห่ออกมาจากชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพได้ แต่ตลอดทางเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งหลายครั้ง สามารถมีชีวิตรอดออกมาได้ก็โชคดีอย่างยิ่งแล้ว ที่จริงไม่ค่อยได้มองดูทิวทัศน์ในนั้นเลย”
“แต่ก็ถือว่าออกมาได้ ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนมากมายเพียงใดบุกชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพอย่างหาญกล้า จุดจบสุดท้ายกลับไม่เหลือแม้แต่กระดูก ไม่ทราบสหายเซียนจินมาจากสำนักใดจึงมีความสามารถอันโดดเด่นขนาดนี้ บอกหน่อยได้หรือไม่” คำพูดแบบนี้ไม่สามารถทำให้เว่ยอันเชื่อถือได้ เขายังถามซักไซ้ดังเดิม
ในเวลานี้เอง ไห่หลันอินที่นั่งอยู่ด้านหน้าเอ่ยแทรกขึ้น นางทำปากยื่นพลางขมวดคิ้วเอ่ย “สิ่งที่นางพูดเป็นความจริง ตลอดทางพวกเราหลบอยู่ในกระดองเต่าว่องไว เดินทางอยู่ปีหนึ่งจึงออกมาได้ กระดองเต่าชิ้นนั้นเหม็นแทบตาย ไม่ได้มีความสามารถโดดเด่นอะไรหรอก ถ้าพวกเจ้าอยากไปหากระดองเต่าสักชิ้นก็ไปได้แล้ว”
เว่ยอันตะลึงงัน ยังมีวิธีนี้ด้วยหรือ เพียงแต่น่าเกลียดเกินไปกระมัง คิดไม่ถึงว่าจะซ่อนตัวอยู่ในกระดองเต่า เขามองจินเฟยเหยาด้วยความสงสัยเต็มอก
จินเฟยเหยาลูบศีรษะเอ่ยอย่างขัดเขิน “สหายเซียนไห่พูดได้ถูกต้อง ก่อนพบนางข้าไม่ได้ใช้กระดองเต่า สิ่งที่ใช้คือเปลือกหอยทากกว้างประมาณสามก้าว ต่อมาพาสหายเซียนไห่มาด้วย ดังนั้นจึงเก็บกระดองเต่ามาและซ่อนตัวอยู่ในกระดองเต่ามาตลอดทาง อุดตรงที่สามารถเข้าออกกระดองเต่าไว้ทั้งหมด จากนั้นไม่ปล่อยการรับรู้ออกมาก็สามารถปลอมตัวเป็นกระดองเต่าตายแล้วที่มีอยู่ทั่วไปได้และไม่ถูกสัตว์ปิศาจขั้นเก้าพบเห็น”
“สิ่งที่สหายเซียนจินพูดเป็นความจริง? แบบนี้ ถ้าไม่ปล่อยการรับรู้ออกมาก็หาหญ้าวิญญาณล้ำค่าในป่าไม่ได้สิ” เว่ยอันเอ่ยถาม
“ยังจะเด็ดหญ้าวิญญาณอะไรอีก สามารถมีชีวิตอยู่ได้ก็โชคดีอย่างมากแล้ว หญ้าวิญญาณล้วนมีสัตว์ปิศาจระดับสูงเฝ้าอยู่มิใช่หรือ พลังการบำเพ็ญเพียรอย่างพวกเรา ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร?” จินเฟยเหยายักไหล่พลางเอ่ยยิ้มๆ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนหนีรอดออกมาจากม่านสายฟ้าได้อย่างไร?” เว่ยอันพยักหน้า นี่เป็นเพียงวิธีหนึ่ง แค่คนที่ไปยังสถานที่แห่งนั้นไม่เคยคิดมาก่อน ถ้าไม่รู้จุดหมายปลายทางที่แน่ชัด ถึงไปก็ไร้ประโยชน์
“ยังจะใช้วิธีอะไรได้ แน่นอนว่าพวกเราต้องโยนกระดองเต่าไปสกัดกั้นสายฟ้าสิ จากนั้นก็ฉวยโอกาสเหาะข้ามมา ตอนนั้นรู้สึกว่าตลอดร่างชาหนึบ แม้แต่เส้นผมก็ลอยขึ้นมา ข้ายังนึกว่าตนเองจะตายเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะข้ามมาได้อย่างปลอดภัย ที่จริงก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร” ไห่หลันอินที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง
“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้” เว่ยอันพยักหน้า อย่าเห็นว่าคุณหนูใหญ่คนนี้พูดเหมือนสบายๆ ที่จริงถ้าทำเช่นนั้นมีความเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ได้โยนออกไปสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนอย่างที่นางพูด
หลังเว่ยอันเอ่ยขอบคุณจินเฟยเหยาก็กลับไปยังกลุ่มด้านหน้า ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เข้าใกล้และพูดคุยกันเบาๆ แต่จินเฟยเหยาคาดเดาว่าเขาต้องถ่ายทอดเสียงรายงาน ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงไม่ได้มุ่งเป้ามายังตนเองก็พอ ตนเองไม่ได้มาโลกระดับเทพเพื่อก่อเรื่อง
น่าจะรู้คร่าวๆ ว่าพวกนางสองคนเข้าสู่ชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพได้อย่างไร สายตาสำรวจจินเฟยเหยาเหล่านั้นจึงหมดไป ทุกคนตั้งใจเร่งรุดเดินทาง เพียงคิดจะพาเศรษฐินีผู้นี้ไปส่งถึงเมืองซันจือ ถ้าระหว่างทางเกิดเหตุไม่คาดฝันจะเสียหายใหญ่หลวง
ขณะเร่งรุดเดินทาง จินเฟยเหยาก็สอบถามเว่ยอันว่าเจ้าภูเขาเต้าไถจ่ายค่าตอบแทนอะไรให้เพื่อค้นหาบุตรีผู้นี้
เรื่องนี้ไม่ถือว่าเป็นความลับ เว่ยอันไม่กลัวว่าจินเฟยเหยาจะเอาเปรียบ เนื่องจากนับตามจำนวนคนแล้ว คนยิ่งเยอะรางวัลที่ได้รับก็จะยิ่งมาก ดังนั้นเขาจึงบอกของรางวัลให้จินเฟยเหยารู้คร่าวๆ จินเฟยเหยาได้ยินก็ปากอ้าตาค้าง ภูเขาเต้าไถคิดจะใช้ทรัพย์สมบัติให้หมดเกลี้ยงหรืออย่างไร?
คิดไม่ถึงว่าจะให้ศิลาวิญญาณชั้นบนคนละหนึ่งหมื่นก้อน ถึงแม้จินเฟยเหยาจะไม่รู้ว่าสิ่งของที่โลกระดับเทพมีราคาแพงเพียงใด แต่ขนาดผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ยังทิ้งกิจธุระของตนเองมาร่วมส่งพวกนางกลับเมืองซันจือด้วยกัน คาดว่าศิลาวิญญาณชั้นบนหนึ่งหมื่นก้อนคงไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย
อีกทั้งวิธีให้รางวัลแบบนี้ ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงไม่ให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนพลั้งมือทำร้ายไห่หลันอินเพื่อแย่งความดีความชอบได้ แต่กลับทำให้จินเฟยเหยาคิดว่า ถ้าทุกคนรู้ว่านี่คือไห่หลันอินจะมีผู้บำเพ็ญเซียนมาเข้าร่วมระหว่างทางหรือไม่ ถึงอย่างไรยายนี่ก็หลอกง่าย พูดเรื่อยเปื่อยไม่กี่ประโยคต้องถือว่าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตแน่
จริงเสียด้วย ไม่เกินสามวัน มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมแล่นมา หลังจากคารวะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนนั้นก็เข้าร่วมขบวน ส่วนเว่ยอันกลับบอกไห่หลันอินว่า “คุณหนูไห่ สองท่านนี้คือสหายของพวกเรา เพื่อค้นหาคุณหนูไห่ในครั้งนี้ ยังล่วงลึกไปในเขตแดนของเผ่ามาร มีโอกาสตายหนึ่งรอดเก้า ได้ยินว่าหาคุณหนูไห่พบแล้วจึงรุดมาคุ้มครองส่งคุณหนูไห่กลับเมืองซันจืออย่างปลอดภัย”
“ลำบากพวกท่านแล้วจริงๆ ข้าจะจดจำความเหนื่อยยากของพวกท่านไว้ในใจ ทุกคนตามข้าไปเมืองซันจือด้วยกันเถอะ” ไห่หลันอินยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าอย่างมีมาด นางพบเจอบุคคลสำคัญบ่อยๆ จึงคุ้นเคยกับมารยาทธรรมเนียมดี อีกทั้งผู้บำเพ็ญเซียนที่คุ้มครองนางยิ่งมาก ความรู้สึกเป็นที่นิยมในหมู่ชนทำให้ความเย่อหยิ่งที่ถูกบดขยี้ในกระดองเต่าพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
จินเฟยเหยามองพวกเขาหลอกลวงไห่หลันอินอย่างเย็นชา คาดเดาว่าพวกเขาต้องตกลงกันไว้แล้ว ว่าต้องแบ่งศิลาวิญญาณส่วนหนึ่งมอบให้พวกเว่ยอันและผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนนั้น ถึงอย่างไรก็มาหยิบศิลาวิญญาณฟรี ยิ่งมีคนมากศิลาวิญญาณที่ได้รับก็ยิ่งมากขึ้น ถ้าตนเองสามารถได้ส่วนหนึ่งจากในมือพวกเขาคงเป็นรายได้ก้อนโตทีเดียว
ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงมองเว่ยอัน ความหมายในดวงตาไม่ต้องเอ่ยเป็นวาจา นางมองไห่หลันอิน แล้วมองผู้บำเพ็ญเซียนที่มาทีหลังสองคนนั้น จากนั้นยิ้มให้เว่ยอัน
ดูไม่ออกเลยว่านางเป็นคนกลอกกลิ้ง นึกว่าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนสตรีธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะวางแผนเอาเปรียบ เว่ยอันดูออกนานแล้ว หลังด่าทอในใจเขาก็หารือกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ที่ชื่อเฉินเข่อคนนั้น
จินเฟยเหยากลับรอคอยให้พวกเขาใช้การถ่ายทอดเสียงหารือจนเสร็จสิ้นอย่างเงียบๆ อย่างไรทุกคนก็สามารถได้ส่วนแบ่งเท่ากัน เพิ่มนางอีกคนหรือลดนางไปอีกคนก็ไม่เป็นอะไร อีกทั้งพวกเขายังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ อูฐผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า อีกฝ่ายร้ายกาจกว่าตนเองมากนัก ถ้าได้แบ่งมาส่วนหนึ่งจะดีที่สุด ถ้าไม่ได้ตนเองก็จนหนทาง
“แบ่งศิลาวิญญาณชั้นบนให้เจ้าหนึ่งก้อนต่อผู้บำเพ็ญเซียนหนึ่งคน เจ้าอย่าพูดออกไปล่ะ เรื่องนี้ตกลงตามนี้” ในที่สุดเว่ยอันก็ถ่ายทอดเสียงมา ตอบรับว่าจะแบ่งศิลาวิญญาณชั้นบนให้จินเฟยเหยาหนึ่งก้อนต่อผู้บำเพ็ญเซียนที่เพิ่มมาแต่ละคน
จินเฟยเหยาไม่พอใจการแบ่งสันปันส่วนนี้อย่างยิ่ง ศิลาวิญญาณชั้นบนหนึ่งหมื่นก้อน คิดไม่ถึงว่าจะแบ่งให้ตนเองแค่หนึ่งก้อน ต่อให้ทุกคนไร้ยางอายเบียดเสียดกันมาหมด อย่างมากก็แค่หลายสิบคน ยังกล้าพูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้ น้อยเกินไปกระมัง
“น้อยเกินไป นี่ศิลาวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อนเชียวนะ คิดไม่ถึงว่าจะให้ข้าแค่ก้อนเดียว หากข้าไม่ได้พานางออกมา พวกเจ้าจะเอาเปรียบได้อย่างไร” จินเฟยเหยาบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจพลางถ่ายทอดเสียงกลับไป
เว่ยอันเตรียมใจไว้นานแล้ว ได้ยินคำพูดของนางจึงบอกทันทีว่า “น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เจ้าคนเดียวเป็นไปไม่ได้ที่จะคุ้มครองนางไป เจ้าน่าจะเคยตกลงราคากับนางแล้ว พวกเราแค่ยึดส่วนที่ป่าวประกาศออกไป ทุกคนก็อยู่ยาก แค่พอได้ก็พอ มีเงินทุกคนก็ได้ด้วยกัน พบเผ่ามารก็มีพวกเราจัดการ เจ้าเพียงติดตามพวกเราไปสบายๆ ก็พอ”
จินเฟยเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงรับปาก ผู้ใดให้พลังการบำเพ็ญเพียรของผู้อื่นสูงกว่าตนเองเล่า สู้ไม่ได้ทุกคนก็แบ่งกันกินเถอะ ได้ก้อนหนึ่งก็ยังดีกว่าไม่ได้
ทว่าความก้าวหน้าหลังจากนั้นทำให้จินเฟยเหยาคาดไม่ถึง มองดูผู้บำเพ็ญเซียนอย่างน้อยที่สุดห้าหกร้อยคนเป็นกลุ่มสีดำหนาแน่นรอบด้าน จินเฟยเหยาก็รู้สึกงุนงงอย่างยิ่ง ทั้งหมดเป็นผู้บำเพ็ญเซียนจากสารทิศใด คิดไม่ถึงว่าโลกระดับเทพจะมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสูงมากมายปานนี้
พลังการบำเพ็ญเพียรย่ำแย่ที่สุดคือขั้นหลอมรวมช่วงต้น ส่วนคนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงก็มีขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายมาด้วย คาดไม่ถึงว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่จำนวนมากจะได้รับข่าวและเร่งรุดมาจากสถานที่อันห่างไกล ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เหาะอยู่รอบด้าน ส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี ทั้งยังสนทนากันเรื่องประสบการณ์ในการฝึกบำเพ็ญ แต่ละคนล้วนเบิกบานใจ เสียงคนเอะอะราวกับเป็นตลาดแห่งหนึ่ง
ไห่หลันอินซึ่งถูกผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนห้าหกร้อยคนห้อมล้อมอยู่ตรงกลาง ยามนี้เข้าใจสภาพการณ์ของตนเองแล้ว ถ้ายังไม่เข้าใจอีกคงเป็นคนโง่งมจริงๆ นางได้ยินจำนวนเงินรางวัลที่บิดาของนางเสนอแล้ว ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกว่าความคิดนี้ดียิ่งนัก จะได้ปกป้องอันตรายให้ตนเองได้ในระดับสูงสุด ทว่าเห็นฝูงชนหนาแน่นขนาดนี้ ไห่หลันอินก็เหลือเพียงสีหน้ากังวลใจ
จะให้ผู้บำเพ็ญเซียนพวกนี้แยกย้ายกันไป ต่างคนต่างกลับบ้านตอนนี้หรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร! แต่ศิลาวิญญาณชั้นบนคนละหนึ่งหมื่นก้อน ต้องใช้ถึงห้าหกล้านก้อน ต่อให้ตระกูลของตนเองมีเหมืองศิลาวิญญาณชั้นบนที่โลกระดับเทพ เกรงว่าคงนำศิลาวิญญาณจำนวนมากมายปานนี้ออกมาไม่ได้ ทำอย่างไรดี!
ไห่หลันอินเบิกตาโตมองจินเฟยเหยาทางด้านหลังอย่างขอความช่วยเหลือ
“หืม? เจ้ามองข้าแบบนี้ทำไม?” จินเฟยเหยาชะงักไป เอ่ยถามอย่างงุนงง
ไห่หลันอินแอบเหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นถ่ายทอดเสียงไปหาจินเฟยเหยา “สหายเซียนจิน เจ้าพาข้าไปเถอะนะ”
“เอ๋? เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร เดี๋ยวถึงโลกระดับเทพส่วนใน เจ้าจะได้พบกับท่านพ่อและศิษย์พี่หลงของเจ้าที่เมืองซันจือแล้ว ตอนนี้จะอาละวาดว่าจะจากไปได้อย่างไร หรือว่าเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นแล้ว?” จินเฟยเหยาเอ่ย
“เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล เจ้าดูผู้บำเพ็ญเซียนมากมายรอบด้าน พวกเขาไม่เคยช่วยข้าเลยสักนิด ตอนนี้กลับทำหน้าหนาจะไปขอเงินรางวัลจากท่านพ่อข้า นี่เป็นศิลาวิญญาณชั้นบนหลายล้านก้อนเชียวนะ ต่อให้ตระกูลข้ามั่งมีก็นำศิลาวิญญาณมากมายปานนี้ออกมาไม่ได้ อีกทั้งคนที่อยู่ที่นี่ มีเพียงเจ้าที่ช่วยข้าไว้ ส่วนคนอื่นๆ ไม่ได้ช่วย แม้แต่พวกเว่ยอันก็ไม่ได้ช่วย” ไห่หลันอินร้อนใจ กัดริมฝีปากเอ่ยอย่างเร่งร้อน
“แต่ก่อนหน้านี้เจ้ายังยินดีนี่นา มาคนหนึ่งก็ชมคนหนึ่ง ไม่เคยคิดถึงปัญหานี้เลยสักนิด” จินเฟยเหยาถามกลับ
ไห่หลันอินสำนึกเสียใจแทบตายแล้ว ได้ยินคำพูดของจินเฟยเหยา สีหน้าบัดเดี๋ยวซีดขาวบัดเดี๋ยวแดงก่ำทันที ทั้งอับอายทั้งมีโทสะ “เจ้าดุว่าข้าตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร เจ้ารีบคิดหาหนทางเร็วๆ เข้า ถ้าเจ้าพาข้าหนีไปได้ ข้าจะให้ศิลาวิญญาณชั้นบนห้าแสนก้อน!”
หัวใจน้อยๆ ของจินเฟยเหยาเต้นอย่างรุนแรงในพริบตา จากนั้นก็ด่าทออย่างแค้นเหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า “ทำไมเจ้าจึงไม่พูดเรื่องนี้ตั้งแต่แรก แบบนี้ตอนพวกเราพบห้าคนนั้น ถึงข้าต้องเสี่ยงชีวิตก็จะพาเจ้าหลบหนีพวกเขา อีกทั้งตอนนั้นเจ้าอาละวาดจะไปพบพวกเขาเอง ตอนนี้เจ้ากลับจะให้ข้าพาเจ้าหนีไป…เจ้าคิดว่าพวกเราจะหนีรอดจากเงื้อมมือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่จำนวนสามร้อยกว่าคนหรือ?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าโลกระดับเทพจะมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่มากมายปานนี้ ตอนนี้จะทำอย่างไรดี!” ไห่หลันอินร้อนใจจนใกล้จะร้องไห้แล้ว
ที่จริงจินเฟยเหยาก็ตกตะลึง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ของโลกระดับเทพมีมากมายเกินไปจริงๆ ไม่พบเห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมลงไปแม้แต่ครึ่งคน ขั้นหลอมรวมสู้สุนัขไม่ได้ ขั้นกำเนิดใหม่มีอยู่เต็มถนนจริงๆ
ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้แล่นมาทำอะไรที่โลกระดับเทพ ก่อนหน้านี้ได้ยินตาเฒ่าคนขายอ่างมายาจิ่งเทียนบอกว่า พื้นที่มิติที่โลกระดับเทพวางขายอยู่ตามท้องถนน หรือว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เหล่านี้แต่ละคนล้วนมีพื้นที่มิติที่แตกต่างกัน จินเฟยเหยามองผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เหล่านี้ บุรุษสตรี สูงต่ำอ้วนผอม มีโฉมหน้าทุกรูปแบบ
“สหายเซียนจิน เจ้าคิดหาวิธีหน่อยเถอะนะ” ไห่หลันอินยื่นมือมาดึงชุดของจินเฟยเหยาอย่างช่วยไม่ได้
จินเฟยเหยาถอนหายใจ ส่ายศีรษะพลางเอ่ยว่า “สหายเซียนไห่ เจ้าตัดใจเสียเถอะ บางที ชีวิตที่ยากจนอาจจะไม่ได้เลวร้าย ไม่แน่ว่าจะทำให้เจ้าได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอีกแบบ เหน็ดเหนื่อยและยากจนเพียงใด อย่างน้อยก็ได้อาบแสงตะวัน คงไม่ลำบากไปกว่าการหดตัวอยู่ในกระดองเต่าเกือบหนึ่งปีหรอก”
“สหายเซียนจิน...”
“ระงับความโศกเศร้าและปรับตัวเสียเถอะ ข้าเชื่อว่าคนเหล่านี้คงไม่ยอมให้เจ้าฆ่าตัวตาย รับประกันว่าต้องส่งเจ้ากลับถึงเมืองซันจืออย่างปลอดภัย จากนั้นมองดูท่านพ่อของเจ้าจ่ายศิลาวิญญาณมาก่อนจึงจากไปได้ อย่างน้อย เจ้าก็ยังมีศิษย์พี่หลง ตอนนี้คิดเรื่องพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าลองครุ่นคิดดูว่าในตระกูลมีทรัพย์สมบัติจ่ายหนี้เท่าใดจะดีกว่า แต่ต้องจำเอาไว้ว่าใยทองเป็นของข้า” จินเฟยเหยาตบบ่าไห่หลันอิน เอ่ยด้วยสีหน้าห่วงใย
“ใยทอง!” ไห่หลันอินเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ตอนนี้ถูกจินเฟยเหยาเอ่ยเตือนจึงนึกขึ้นได้
จินเฟยเหยาเห็นนางลืมเสียสนิทจึงช่วยนางจัดผมม้าแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ถ้าเจ้าไม่มอบใยทองให้ข้า ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่านรกเป็นเช่นไร”
ไห่หลันอินพูดไม่ออก ในดวงตามีเพียงรอยยิ้มหวานของจินเฟยเหยา คำพูดเมื่อครู่ราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล
………………………….