คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 254 ยากจนชั่วชีวิต
แกล้งตายก็แล้วกัน!
จินเฟยเหยาแสดงสีหน้างุนงง จากนั้นเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ข้าก็ไม่รู้ ข้าไม่ใส่ใจความเป็นความตายเพื่อช่วยคุณหนูผู้สูงศักดิ์ ตอนนั้นข้าสลบไปหลายวัน พอฟื้นขึ้นมาก็พบว่ารอบด้านมีผู้บำเพ็ญเซียนมากมาย ไม่รู้ว่าตอนข้าสลบไปพวกเขาช่วยคุณหนูไห่ไว้พอดีหรือไม่”
คิดไม่ถึงว่าจะใช้คำพูดประโยคเดียวปัดสวะให้พ้นตัวและไม่ล่วงเกินคนทั้งสองฝ่าย เจ้าเล่ห์มากจริงๆ ผู้บำเพ็ญเซียนที่ติดตามมาได้ยินคำพูดของนางก็รู้สึกว่าไม่เห็นเป็นอะไร ถึงอย่างไรเดิมทีทุกคนก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ผู้อื่นไม่ได้ปฏิเสธก็นับว่าดีแล้ว ส่วนในใจหลี่อีกลับเคียดแค้น ผู้ใดจะรู้ว่านางสลบไปจริงหรือไม่
หลี่อีก้มหน้าลงมองไห่หลันอิน “อินเอ๋อร์ สิ่งที่สหายเซียนจินพูดมาเป็นความจริงหรือ ตอนนั้นนางสลบไปจริงๆ? ดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้จึงมาช่วยเจ้า?”
ไห่หลันอินเงยหน้าขึ้นมองจินเฟยเหยา พบว่านางกำลังมองตนเองด้วยรอยยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มเหมือนกับในวันนั้นไม่มีผิด แล้วนางก็เลื่อนสายตามามองผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้น ทุกคนไม่ต้องปลดปล่อยอานุภาพกดดันออกมา ไอสังหารในดวงตาห้าร้อยกว่าคู่ก็เพียงพอจะสังหารนางได้แล้ว
“ใช่ ใช่เจ้าค่ะ” ไห่หลันอินก้มหน้าตอบเสียงค่อย
ถึงเสียงจะเบา ทว่าคนในที่นั้นใครบ้างที่หูไม่ปราดเปรียวเป็นพิเศษ พวกเขาได้ยินคำพูดของไห่หลันอินอย่างชัดเจนทันที แววดุร้ายในดวงตาของทุกคนล่าถอยไป ส่วนหลี่อีกลับกัดฟันอย่างเคียดแค้น ศิลาวิญญาณมากมายขนาดนี้ มิต้องขุดเนื้อจากหัวใจของเขาหรือ
ในขณะที่เขาไม่รู้ว่าจะตอบทุกคนว่าอย่างไรดี เว่ยอันก็ปรากฏตัว เขาเดินเข้ามาในบ้านต้นไม้ด้วยสีหน้ามีเมตตา เอ่ยด้วยรอยยิ้มแฉ่ง “เจ้าสำนักหลี่ ข้าเป็นตัวแทนบรรดาสหายเซียนมาหารือการจัดการกับเรื่องนี้”
“อ้อ พวกเจ้าทั้งหมดเป็นพวกเดียวกัน?” หลี่อีอารมณ์ไม่ดี จึงเอ่ยวาจาอย่างไม่เกรงใจ
เว่ยอันไม่ใส่ใจ ไม่ว่าผู้ใดถูกคนจำนวนมากมายขนาดนี้ปล้นก็คงไม่พอใจ “เกรงว่าเจ้าสำนักหลี่คงรักบุตรสาวดั่งดวงใจจึงพลั้งปากไป พวกเราไม่ได้มาด้วยกัน ทุกคนล้วนเป็นคนที่ช่วยตามหาคุณหนู พอดีมารวมตัวกัน ทุกคนรู้สึกว่ามาหาเจ้าสำนักหลี่ทีละคนยุ่งยากเกินไป จึงไหว้วานให้ผู้น้อยมาเจรจากับเจ้าสำนักหลี่”
เห็นหลี่อีไม่แสดงท่าที เว่ยอันก็เอ่ยตามสบายว่า “เจ้าสำนักหลี่เข้าไปหารือก่อนดีกว่า ทุกคนล้วนคุ้มครองคุณหนูไห่กลับมาจากโลกระดับเทพส่วนนอก อีกทั้งเจ้าสำนักหลี่คงจะรู้จักคนในกลุ่มนี้ไม่น้อย ถ้าไม่คิดจะเจรจา พวกเราก็จะไม่บีบคั้นเจ้าสำนักหลี่”
พอหลี่อีมองไปรอบด้าน เห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ที่รู้จักจำนวนมากตรงมุมนั้นมุมนี้จริงๆ ถึงจะเคยเห็นหลายคน ทว่าไม่ได้มีการคบหาลึกซึ้งนัก คนที่มีการคบหาลึกซึ้งก็ขัดเขินที่จะแล่นมาเพื่อศิลาวิญญาณจำนวนเล็กน้อย คนเหล่านี้ยืนอยู่ข้างนอกราวกับไม่มีเรื่องราวใด แสร้งทำเป็นมองดูเรื่องสนุก มีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่ได้รับคำสั่งเบียดมาด้านหน้า
ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักผู้โหดเหี้ยมจะให้คนดูออกไม่ได้ หลี่อีอดทนอย่างยิ่งยวดจึงสะกดเพลิงโทสะในใจและความคิดจะฟาดไห่หลันอินให้ตายในฝ่ามือเดียวลงได้ เขาเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “เช่นนั้นเชิญสหายเซียนเข้ามาเจรจาก่อน ทุกคนไม่จำเป็นต้องยืนอยู่ที่นี่ ภูเขาเต้าไถของข้าไม่ทำเรื่องผิดสัญญากับคนอื่น”
“เชิญ” เว่ยอันก็ทำท่าเชื้อเชิญ จากนั้นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ที่ชื่อเฉินเข่อพลันหายร่างมาปรากฏอยู่เบื้องหลังเว่ยอัน ติดตามพวกเขาเดินเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
หลี่อีอดมองเขาหลายแวบไม่ได้ ไม่คุ้นหน้าผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้อย่างยิ่ง ทว่าเฉินเข่อไม่ได้มองเขามาก ผู้อื่นมาเจรจาการค้าอย่างยุติธรรม พวกเจ้าสองคน คนหนึ่งเป็นขั้นกำเนิดใหม่เจรจากับอีกคนที่เป็นขั้นหลอมรวม ดูอย่างไรก็ไม่ยุติธรรมกับขั้นหลอมรวม
เห็นพวกเขากำลังจะเข้าไปในบ้านต้นไม้ จินเฟยเหยาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนทุกท่านหารือเรื่องสำคัญแล้ว ข้าได้สิ่งของแล้วจะไปทันที คาดว่าพวกท่านคงเตรียมไว้แล้ว ข้าจะรออยู่ตรงประตู พวกท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร?”
“หลงซิง นำสิ่งของมามอบให้สหายเซียนท่านนี้ พวกเราไม่ส่งนะ!”
“ขอบคุณ เจ้าสำนักเป็นมังกรในหมู่มนุษย์จริงๆ ต่อไปต้องเป็นผู้มีอำนาจแน่” จินเฟยเหยาเอ่ยยิ้มๆ อย่างครึ่งจริงครึ่งเท็จ
“ฮึ!” หลี่อีส่งเสียงฮึแล้วสะบัดชายเสื้อจากไป เว่ยอันและเฉินเข่อก็ตามหลังเข้าไปในบ้านต้นไม้อย่างกระชั้นชิด
“สหายเซียนจิน ขอบใจเจ้ามาก...” ไห่หลันอินเพิ่งคิดจะเอ่ยขอบคุณจินเฟยเหยาก็ถูกหลงซิงลากเข้าไปในบ้านต้นไม้
จินเฟยเหยาเบ้ปาก เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ไม่มีมารยาทจริงๆ อย่างไรข้าก็เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต พาสตรีกลับมาให้เจ้าอย่างปลอดภัย ยังไม่ไว้หน้าข้าบ้าง”
นางยืนรออยู่ตรงประตูครู่หนึ่งก็เห็นไห่หลันอินเดินถือกระเป๋าเก็บของใบหนึ่งออกมาจากด้านใน นางมอบกระเป๋าเก็บของให้จินเฟยเหยา จากนั้นเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “สหายเซียนจิน ขอบใจเจ้ามาก ถึงท่านพ่อจะไม่ด่าทอข้า แต่ศิษย์พี่กลับไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาบอกว่าข้าหนีออกมาคนเดียว ทั้งยังเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำให้เขาเป็นห่วงข้าอย่างยิ่ง ตอนนี้จึงกำลังไม่พอใจอยู่”
ถึงนางจะพูดแบบนี้ ที่จริงใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังดีใจมาก เห็นท่าทางหวานล้ำของนาง จินเฟยเหยาจึงกระพริบตาเอ่ยเรื่อยเปื่อยประโยคหนึ่ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในโลกนี้ผู้ใดเชื่อถือได้มากที่สุด?”
“ญาติสนิท” ไม่รู้เพราะเหตุใดจินเฟยเหยาจึงถามเช่นนี้ ทว่าไห่หลันอินก็ยังตอบคำถาม
จินเฟยเหยามองกระเป๋าเก็บของ สิ่งของที่นางต้องการทั้งหมดบรรจุอยู่ด้านใน ทั้งยังเพิ่มตานสัตว์ปิศาจขั้นหกหลายสิบเม็ด เม็ดไม่ใหญ่เกินไป พอฝืนใจกินได้ จากนั้นนางก็ซุกเก็บกระเป๋าเก็บของ แล้วเอ่ยเสียงเบากับไห่หลันอิน “นี่เป็นประสบการณ์ของข้า ไม่ต้องเสียศิลาวิญญาณ ขอมอบให้เจ้าฟรีๆ บนโลกนี้มีเพียงตนเองที่เชื่อถือได้มากที่สุด ญาติสนิทและบุรุษล้วนเชื่อถือไม่ได้”
ไห่หลันอินมองจินเฟยเหยาอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง “เหตุใดสหายเซียนจินจึงพูดเช่นนี้?”
“ต่อไปเจ้าก็จะรู้เอง บางครั้งเป็นคนไร้เดียงสาและเลอะเลือนไปชั่วชีวิตก็เป็นสิ่งที่ดี ถูกหรือไม่? ข้าไปละ เจ้ารักษาตัวด้วย” จินเฟยเหยายิ้มพลางส่ายศีรษะ โบกไม้โบกมือให้ไห่หลันอินแล้วจากไป
ไห่หลันอินเอียงศีรษะครุ่นคิด จากนั้นก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไว้นอกสมอง แล้ววิ่งไปหาศิษย์พี่หลงของตนเองอย่างดีอกดีใจ
จินเฟยเหยาไม่ได้รอให้แบ่งศิลาวิญญาณก่อนจึงจากไป ที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ว่าถ้ามาคนหนึ่งจะแบ่งศิลาวิญญาณให้นางก้อนหนึ่ง แต่ดูการเจรจาแล้วน่าจะเปิดเหมืองศิลาวิญญาณที่เมืองซันจือให้พวกเขาไปขุดเอา ถึงตอนนั้นถ้าตนเองคิดจะไป แค่บอกคำพูดในอดีตก็พอ อีกอย่างหนึ่งตนเองยังมีจดหมายต้องส่ง หวังโหยวหลิงคนนี้เป็นคนดูแลศิลาวิญญาณที่เมืองซันจือ คิดจะลงเหมืองน่าจะง่ายดาย
นางล้วงตานสัตว์ปิศาจเม็ดหนึ่งโยนใส่ปาก ในที่สุดก็ไม่ต้องคุมปริมาณการใช้อีก สามารถกินได้อย่างสบายใจ จินเฟยเหยากัดตานสัตว์ปิศาจพลางย้อนกลับมาทางเดิมแวะไปดูร้านพื้นที่มิติร้านนั้นก่อน เรื่องไปหาหวังโหยวหลิงรอก่อนได้ไม่ต้องรีบร้อน
ตรงประตูร้านพื้นที่มิติไม่เห็นมีลูกค้าสักคน จินเฟยเหยารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ พื้นที่มิติไม่ใช่ถุงเฉียนคุนที่สามารถแขวนไว้บนร่างตามสบาย ต้องขายได้เป็นบางครั้งบางคราวแน่นอน
จินเฟยเหยาจัดแจงเสื้อผ้า แล้วค่อยเหยียบย่างเข้าไปในสถานที่ซึ่งนางอยากมาตั้งแต่ขั้นฝึกปราณ
ฝีมือหยาบอย่างยิ่ง…
นี่คือความประทับใจแรกของจินเฟยเหยาเมื่อเข้ามาในร้าน เถ้าแก่ร้านนี้เกียจคร้านอย่างยิ่ง ถึงทุกคนต่างขุดต้นไม้เป็นที่พักอาศัย แต่เจ้าเปิดร้านค้า ตกแต่งให้งดงามสักหน่อยคงไม่ตายหรอก
แต่ร้านนี้ก็เป็นแบบนี้ พื้นกระดานไม่เสมอกัน สูงๆ ต่ำๆ ทั้งยังผ่านเวลายาวนาน ตรงที่มีเศษไม้ล้วนถูกเหยียบย่ำจนเรียบเนียน บนผนังก็ราวกับเคยถูกสุนัขขุดคุ้ยเป็นคลื่นไม่เสมอกัน ถ้าสายตาแหลมคมยังมองเห็นหลายแห่งมีเสี้ยนไม้ที่ยังไม่ได้ขัดถู สิ่งเดียวที่ปรากฏในร้านคือโต๊ะรับลูกค้าที่สร้างจากกล่องผุพังหลายกล่องกองสุมกันขึ้นมา บนนั้นยังจัดวางสิ่งของที่ส่องแสงระยิบระยับ
สายตาของจินเฟยเหยาถูกสิ่งของเหล่านั้นดึงดูดทันที เพราะเหตุใดร้านโทรมขนาดนี้จึงไม่สำคัญอีกต่อไป ที่จริงไม่สำคัญเลยสักนิด
“โอ้ นี่เหมือนกับเกาะลอยได้เลย” ด้านหลังโต๊ะรับลูกค้าไม่มีคน จินเฟยเหยาก้มหน้าลงมองดูสิ่งของบนกล่องผุพังอย่างละเอียด
บนกล่องมีเกาะเล็กๆ ที่อยู่ภายในวงแสงสามอัน เหมือนกับเกาะเล็กๆ ที่จินเฟยเหยาได้มาอย่างเหนื่อยยากอย่างไรอย่างนั้น ด้านนอกทั้งหมดคือวงแสง ด้านในเป็นเกาะเล็กๆ เพียงแต่ลักษณะของเกาะแตกต่างกันไป บางอันมีสระเล็กๆ บางอันด้านหนึ่งทำเป็นหน้าผา บนหน้าผามีน้ำตกเล็กๆ ฝีมือแบบนี้พอเห็นก็รู้ถึงอารมณ์สุนทรีของผู้บำเพ็ญเซียนที่หลอมสร้างขึ้น
ส่วนหลายแบบด้านข้าง ไม่ใช่รูปบอลแสงก็เป็นวัตถุ มีชิ้นหนึ่งเป็นม้วนภาพวาด เนื่องจากเจ้าของร้านไม่อยู่ จินเฟยเหยาจึงไม่กล้าเปิดออกดู ผู้ใดจะรู้ว่าสิ่งของถูกวางทิ้งไว้บนกล่องแบบนี้จะมีการป้องกันร้ายกาจอะไรหรือไม่ แบบพอจับก็ทำให้ตายทันที ข้างม้วนภาพมีกระจกขนาดเท่าฝ่ามือบานหนึ่ง ลักษณะโบราณและเรียบง่ายอย่างยิ่ง ส่วนสิ่งของอื่นๆ อีกสามแบบคือฐานตะเกียง ขวดหยก และจอกสุรา
“มีคนอยู่หรือไม่? มีคนขายสินค้าหรือไม่?” สินค้าน้อยจริงๆ จินเฟยเหยารู้สึกคันในหัวใจ คิดจะสอบถามราคาและถามว่ามีคุณสมบัติพิเศษหรือไม่จึงตะโกนขึ้นในร้าน
หลังตะโกนอยู่หลายครั้ง ในร้านพลันมีวงเวทอันซับซ้อนขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้นบนกำแพงไม้ด้านหลังโต๊ะรับลูกค้า มีท่านป้าร่างท้วมคนหนึ่งเดินออกมา “ใครน่ะ มาตะโกนทำไม?”
ที่จริงท่านป้าคนนี้มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่แล้ว เพียงแต่เครื่องแต่งกายที่สวมและรูปโฉม เหมือนท่านป้าข้างบ้านเกินไปจริงๆ ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงเกือบหลุดปากเรียกนางว่าท่านป้า โชคดีที่นางปิดปากตนเองไว้ได้ทันเวลา “ผู้อาวุโสท่านนี้ ข้าอยากซื้อสิ่งของ”
ท่านป้าลากกล่องใบหนึ่งมานั่งลงอย่างตรงไปตรงมา และเอ่ยอย่างเฉยเมย “สหายเซียนน้อยใช้ชีวิตได้ไม่เลวเลย อยู่ขั้นหลอมรวมก็ซื้อพื้นที่มิติได้แล้ว มีอนาคตจริงๆ”
จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ อย่างโง่งม จากนั้นชี้สิ่งของบนกล่องแล้วเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นพื้นที่มิติหรือ? มีพลังพิเศษอะไร และราคาเท่าใด?”
ท่านป้ายิ้มพลางเอ่ยว่า “ทั้งหมดล้วนเป็นพื้นที่มิติ ทางด้านนั้นเป็นเกาะล้อมวงแสงสามชิ้น แต่ละชิ้นราคาห้าแสนศิลาวิญญาณชั้นบน สามารถใช้วัตถุดิบล้ำค่าและหญ้าวิญญาณแลกเปลี่ยนได้ ส่วนราคาของห้าแบบนี้แต่ละอันแตกต่างกัน ม้วนภาพวาดห้าล้านศิลาวิญญาณชั้นบน ที่จริงคิดจะเปลี่ยนวัตถุดิบ แต่ขาดอีกนิดเดียว จึงตกเป็นสินค้าชั้นกลาง ส่วนตั้งแต่กระจกมาตามลำดับ คือสองล้าน หนึ่งล้านห้าแสน สองล้านห้าแสน และหนึ่งล้านแปดแสนศิลาวิญญาณชั้นบน เจ้าต้องการชนิดใด?”
จินเฟยเหยาอ้าปากมองนาง นี่มันสถานที่บ้าบออะไร นางทนรับมามากพอแล้ว ไม่ว่าโลกระดับเทพหรือโลกระดับวิญญาณ ตนเองก็ซื้อไม่ไหวเลยสักอย่าง
ท่านป้ามองดูท่าทางของจินเฟยเหยา แล้วตะโกนอย่างตกตะลึง “ที่แท้เจ้าไม่มีศิลาวิญญาณมากขนาดนั้นสินะ ท่าทางเจ้าเพิ่งมาถึงโลกระดับเทพ มีผู้บำเพ็ญเซียนตัวน้อยๆ อย่างเจ้า พอมาถึงโลกระดับเทพก็วิ่งห้อมาเพื่อคิดจะดูพื้นที่มิติ ข้ายังนึกว่าจะขายได้เสียอีก สหายเซียนน้อย รอจนหาศิลาวิญญาณได้แล้วค่อยมาเถอะ”
“ผู้อาวุโส พื้นที่มิติเหล่านี้มีพลังพิเศษอะไร?” ถึงแม้จินเฟยเหยาจะตกใจกับราคา แต่กลับไม่ยินยอม นางชี้พื้นที่มิติเหล่านั้นพลางเอ่ยถาม
ถึงตอนนี้จินเฟยเหยาจะซื้อไม่ไหว แต่ไม่ได้แสดงว่าต่อไปนางจะซื้อไม่ไหว ดังนั้นท่านป้าจึงไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ “พลังพิเศษที่เจ้าว่า คือพวกเร่งการเติบโตของหญ้าวิญญาณ หรือเวลาข้างในกับข้างนอกไม่เหมือนกันใช่หรือไม่?”
“อืม คือสิ่งเหล่านี้” จินเฟยเหยาพยักหน้า บอกว่าเป็นพลังพิเศษ ตัวนางเองก็รู้ไม่กี่อย่าง ต้องมีพลังพิเศษอื่นๆ ที่นางยังไม่รู้อีกแน่
“ไม่มีเลย พื้นที่มิติแบบที่มีพลังพิเศษหลอมสร้างได้ยากยิ่ง ปกติต้องจ่ายเงินมัดจำก่อน พวกเราจึงไหว้วานให้คนไปหลอมสร้าง อีกทั้งต้องการเพียงวัตถุดิบ ไม่ต้องการศิลาวิญญาณ ศิลาวิญญาณชั้นบนใช้กางวงเวท ว่าไปแล้วยังหวังจะรับวัตถุดิบแต่ไม่รับศิลาวิญญาณจริงๆ” ท่านป้าเอ่ยพลางจุปาก
จินเฟยเหยาลังเลนิดหนึ่ง ยังทำหน้าหนาเอ่ยถามว่า “ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าต้องการวัตถุดิบเช่นไร จึงสามารถหลอมสร้างพื้นที่มิติที่มีพลังพิเศษได้?”
“วัตถุดิบที่ต้านทานสายฟ้าหรือวัตถุดิบที่มีสายฟ้า มีเพียงวัตถุดิบเหล่านี้จึงสามารถแลกเปลี่ยนพื้นที่มิติที่มีพลังพิเศษได้ ผู้อาวุโสเหล่านั้นจะไม่รับวัตถุดิบอื่นๆ แต่ถ้าเจ้าโชคดี จะพบว่ามีคนกำลังขาดสิ่งที่มีเฉพาะโลกระดับวิญญาณพอดี ถ้าโชคดีมโหฬาร พวกเขาจะไหว้วานคนให้นำพื้นที่มิติไปประมูลที่โลกระดับวิญญาณ ถึงตอนนั้นราคาที่ต้องจ่ายจะต่ำหน่อย” ท่านป้าเอ่ยราวกับไม่ได้คิดอะไร
เรื่องนี้ทำให้จินเฟยเหยานึกถึงพื้นที่มิติสองชิ้นที่ส่งไปประมูลในเมืองวั่นเซียนสุ่ย โอกาสเช่นนั้นได้แต่พบโดยบังเอิญ หาวัตถุดิบที่มีสายฟ้าในโลกระดับเทพจะเชื่อถือได้มากกว่า
ทำอยู่นานคนยากจนก็ยังไม่ได้สิ่งของเหล่านี้อยู่ดี หากมิใช่จอมมารหลงมอบเกาะลอยได้ให้ตนเองชิ้นหนึ่ง ด้วยราคาห้าแสนศิลาวิญญาณชั้นบน เกรงว่าตนเองที่ต้องกินตานสัตว์ปิศาจประทังชีวิต ถึงฝึกบำเพ็ญจนตายก็เป็นไปไม่ได้ที่จะครอบครองสักชิ้น ตนเองมีดวงชะตายากจนแต่กำเนิดโดยแท้
เอ่ยขอบคุณผู้อาวุโสท่านนี้ที่ไม่รังเกียจนาง ทั้งยังอธิบายอย่างกระตือรือร้น จินเฟยเหยาก็เดินออกจากร้านพื้นที่มิติด้วยสีหน้าหดหู่ นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ถูกยอดไม้บดบังไปกว่าครึ่งแล้วถอนหายใจยาว ไปส่งจดหมายดีกว่า จากนั้นซื้อตานสัตว์ปิศาจแล้วค้นหาสถานที่เงียบสงบฝึกบำเพ็ญ
นางถือศิลาวิญญาณชั้นบนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันก้อนที่เพิ่งได้มา ยังมีศิลาวิญญาณชั้นกลางเกือบห้าพันก้อนที่ตักตวงมาจากเมืองเซียนเหม่ย จินเฟยเหยาสอบถามตำแหน่งเหมืองศิลาวิญญาณที่เมืองซันจือก่อน และซื้อตานสัตว์ปิศาจบนแผงเล็กๆ ของผู้บำเพ็ญเซียนใต้ต้นไม้ไปตลอดทาง
พอจินเฟยเหยาซื้อของจึงพบว่า ตานสัตว์ปิศาจขั้นหกขึ้นไปมีขนาดใหญ่มาก แม้แต่ตานสัตว์ปิศาจขั้นหกขนาดเล็กก็มีค่อนข้างน้อย ส่วนตานสัตว์ปิศาจขั้นห้าถึงมีขนาดเล็กหน่อย แต่จำนวนสัตว์ปิศาจขั้นห้ามีน้อย อีกทั้งโลกระดับเทพส่วนในยังเป็นสถานที่ซึ่งเคยถูกเก็บกวาดจนเรียบ สัตว์ปิศาจถูกสังหารเกือบหมด มีตานสัตว์ปิศาจขั้นห้าไม่มากนัก ตานสัตว์ปิศาจที่ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ขายล้วนเป็นตานสัตว์ปิศาจที่ล่ามาจากโลกระดับเทพส่วนนอก สัตว์ปิศาจที่นั่นล้วนมีระดับขั้นสูง ตานสัตว์ปิศาจแต่ละเม็ดมีขนาดใหญ่เท่ากำปั้น จินเฟยเหยากลืนสิ่งของแบบนี้ลงไปไม่ได้ ดูไปดูมา นางพบว่าตนเองได้แต่ซื้อตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่น
ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นขั้นเจ็ดไม่รับศิลาวิญญาณชั้นกลาง ศิลาวิญญาณชั้นบนห้าร้อยพวง จินเฟยเหยานัยน์ตาแดงก่ำ ล้วงศิลาวิญญาณชั้นบนที่เพิ่งได้รับมาสดๆ ร้อนๆ ออกมาอย่างไม่ยินยอม ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากตัดใจซื้อตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นไม่ลง โดยเฉพาะราคาที่เปลี่ยนไปหลายครั้ง ถ้าใช้ของสิ่งนี้ก็สามารถซื้อตานสัตว์ปิศาจขั้นเดียวกันได้หลายเม็ด ต่อให้สิ้นเปลืองตอนหลอมยาก็ประหยัดกว่าใช้ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นมาก
สิ่งของเช่นนี้มีราคาแต่ไม่มีตลาด เป็นสิ่งที่ทุกคนถือเล่นในมือล้วนๆ ยามนี้พลันมีคนซื้อตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นปรากฏตัวขึ้น คนที่ถูกจินเฟยเหยาถามเกือบทุกคนล้วนนำตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นในมือออกมา
ศิลาวิญญาณชั้นบนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันก้อน ซื้อตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นได้ยี่สิบสองพวง บนตานสัตว์ปิศาจแต่ละพวงมีตานสัตว์ปิศาจขนาดเท่าเม็ดองุ่นอย่างน้อยยี่สิบสามสิบเม็ด เนื่องจากตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นขั้นเจ็ดเข้มข้น ตานสัตว์ปิศาจเม็ดหนึ่งสามารถทำให้อิ่มได้สิบวัน ถ้าเป็นเช่นนี้ ตานสัตว์ปิศาจที่จินเฟยเหยาได้มาสามารถอยู่ได้ยี่สิบกว่าปี และนางยังได้ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นอีกสิบพวงจากหลี่อี ก็เพิ่มเวลาอีกสิบปี ในเวลาสั้นๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องท้องหิวได้
แต่จินเฟยเหยาคิดจะปิดด่านกักตนฝึกบำเพ็ญ ตานสัตว์ปิศาจจำนวนนี้ยังไม่เพียงพอ ดังนั้นนางจึงนึกถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เหมืองศิลาวิญญาณชั้นบน ไปส่งจดหมายของสำนักตงอวี้หวงจากนั้นตนเองก็ไปขุดศิลาวิญญาณชั้นบน แล้วค่อยใช้ศิลาวิญญาณชั้นบนที่ขุดได้ไปซื้อตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่น ขุดไม่กี่ปีคงเพียงพอ
จินเฟยเหยาพกพาความหวังเต็มหัวใจ เดินทางมาถึงเหมืองศิลาวิญญาณเมืองซันจือ
เหมืองศิลาวิญญาณอยู่ใจกลางเมืองซันจือ ถูกวงเวทสิบกว่าวงล้อมไว้เป็นชั้นๆ นอกจากวงเวทแล้วยังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมสิบคนเฝ้ายาม เหมืองถูกการป้องกันสิบกว่าสายล็อกไว้ เห็นไม่ชัดเจนว่ามีสภาพเป็นอย่างไร
อีกทั้งบนต้นไม้ขนาดใหญ่สองต้นด้านข้างวงเวทถูกขุดเป็นถ้ำต้นไม้จำนวนมากราวกับหอธนู อีกทั้งบนต้นไม้ทั้งหมดล้วนมีคาถายิบย่อยมากมาย ทำเอาต้นไม้สองต้นไม่เหมือนต้นไม้ แต่ราวกับหนามแหลมระฟ้าสองชิ้นที่มีแสงสีเงินกระพริบ
พอจินเฟยเหยาปรากฏกายก็ถูกผู้เฝ้ายามขัดขวางไว้ นางมอบป้ายหยกให้ ทั้งยังบอกว่ามาหาหวังโหยวหลิง ยังถูกสอบถามอย่างละเอียดอยู่นาน สุดท้ายนางจึงถูกพามายังหนึ่งในต้นไม้ที่ลงคาถาไว้ ภายในถ้ำต้นไม้ด้านล่างสุดจินเฟยเหยาเห็นหวังโหยวหลิงมีสีหน้าอึมครึมราวกับทุกคนติดค้างศิลาวิญญาณเขาแล้วไม่คืน
หลังจากหวังโหยวหลิงอ่านป้ายหยกที่จินเฟยเหยามาส่งเสร็จสิ้น สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นปั้นยาก จินเฟยเหยาก็ขมวดคิ้วนิดๆ หรือว่าในป้ายหยกบอกว่าข้ากินมากเกินไป ให้หวังโหยวหลิงที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลางคนนี้สังหารข้า?
สายตาดุร้ายของหวังโหยวหลิงมองพินิจนางขึ้นลงอยู่นาน แล้วพลันเอ่ยถามขึ้น “เจ้ายินยอมขุดศิลาวิญญาณอยู่ที่นี่หรือไม่?”
“หืม?” จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเรื่องนี้ หรือว่าในป้ายหยกฝากฝังเขาว่าให้รับตนเองขุดศิลาวิญญาณอยู่ที่นี่ ใครนะช่างใส่ใจขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะแอบจัดการให้ตนเองเงียบๆ?
ในป้ายหยกไม่ได้เอ่ยเช่นนี้ เพียงคิดจะให้หวังโหยวหลิงหาวิธีรั้งจินเฟยเหยาไว้ที่โลกระดับเทพ ทั้งยังเอ่ยถึงว่านางกินเก่งอย่างยิ่ง ส่วนเหมืองศิลาวิญญาณเมืองซันจือก็มีส่วนหนึ่งเป็นของสำนักตงอวี้หวง ถึงจะไม่ได้เอ่ยอย่างชัดเจน ทว่าสิ่งเดียวที่สามารถรั้งคนไว้ได้ก็คือไปขุดศิลาวิญญาณในเหมืองด้านล่าง งานนี้ทั้งลำบากทั้งเหน็ดเหนื่อย อีกทั้งพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำยังไม่มีประโยชน์ ทุกคนล้วนทำสีหน้าอมทุกข์ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่ขุดเสร็จแล้วและคิดจะจากไปก็ยังทำงานอยู่
หวังโหยวหลิงมองจินเฟยเหยาอยู่นานก็ไม่ได้รู้สึกว่าผู้บำเพ็ญเซียนสตรีแบบนี้จะยอมขุดเหมือง ทว่าเขาก็ไม่มีวิธีอื่นที่สามารถรั้งคนไว้ในโลกระดับเทพได้ จึงได้แต่ฝืนใจเอ่ยถาม
“ข้ายินยอม ข้าชอบขุดศิลาวิญญาณที่สุด!” เขากลับคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินจินเฟยเหยาเอ่ยตอบอย่างปีติยินดี