คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 257 หนึ่งคนกลายเป็นกองทัพ
“เช่นนั้นหรือ?” สิ้นเสียง ม่านรถเทียมสัตว์บนหลังสัตว์เซี่ยงซู่ก็เลิกขึ้น คนเผ่ามารที่มีเส้นผมสีดำ บนศีรษะสวมก้วนสีดำและสวมชุดยาวแบบจีนสีดำสลับแดงก็เดินออกมา ผมของเขาหวีจนเป็นประกายอย่างยิ่งและเป็นระเบียบทุกเส้น บนปลายแหลมของเขาโง้งทั้งคู่สวมเครื่องประดับเขาสีดำฝังลวดลายสีเงิน เขาหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง หางตาชี้ขึ้น บนใบหน้าอันหล่อเหลาแฝงไว้ด้วยความเย่อหยิ่งที่ปิดบังไว้ไม่อยู่
เขายืนอยู่หน้ารถเทียมสัตว์ ในดวงตาที่มองผู้บำเพ็ญเซียนเมืองซันจือเต็มไปด้วยความดูแคลน ริมฝีปากโค้งขึ้นนิดๆ ราวกับยิ้มและไม่ยิ้ม มีท่าทางราวกับพวกเขาไม่ควรค่าแก่การเหลือบแล ทำให้ทุกคนบังเกิดโทสะ
จินเฟยเหยาอดเอ่ยชมเชยไม่ได้ “ความสามารถในการดึงดูดความแค้นของเจ้าหมอนี่แข็งแกร่งยิ่งกว่าข้าเสียอีก ข้ายังต้องก่อเรื่องเล็กน้อยจึงสามารถทำให้ผู้อื่นมีโทสะได้ เขากลับดียิ่ง แค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็มีศักยภาพในการทำให้คนเกิดโทสะ ข้ายังเทียบไม่ติด”
ถึงแม้เขาจะมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นแปลงจิตช่วงต้น ทว่าการแสดงท่าทางราวกับตนเองไร้เทียมทานเช่นนี้ ทำให้คนเห็นแล้วไม่พอใจอย่างยิ่งจริงๆ
“หง! เขาคือคนเผ่ามารที่เพิ่งบรรลุขั้นแปลงจิต หนึ่งคนคือกองทัพ หง! อันดับหนึ่งบนผังสงครามโลหิตในอดีต เจ็ดสิบกว่าปีก่อนบรรลุขั้นแปลงจิต จึงออกจากบนผังสงครามโลหิต ทุกคนระวัง ผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ที่ตายด้วยน้ำมือเขามีจำนวนนับไม่ถ้วน” ในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์มีคนจำเขาได้จึงรีบเอ่ยเตือนทุกคน
ร้ายกาจขนาดนั้นเชียว! จินเฟยเหยาอดมองพินิจเขาหลายครั้งไม่ได้ เจ็ดสิบกว่าปีก่อน ก็คือตอนตนเองถูกกักขังอยู่ในเจตจำนงหกเหลี่ยม อันดับหนึ่งบนผังสงครามโลหิต อีกทั้งตอนนี้ยังโอหังขนาดนี้ อาจจะร้ายกาจจริงๆ ข้าถอยหลังไปหน่อยดีกว่า
คิดถึงตรงนี้ จินเฟยเหยามองไปรอบด้านพบว่าไม่มีใครสังเกตเห็นตนเอง จึงถอยออกจากตำแหน่งที่เด่นสะดุดตาด้านหน้ามารวมอยู่ในกลุ่มคนด้านหลัง จากนั้นคลำหาทางไปมาก็มาหลบอยู่บนยอดไม้ต้นหนึ่ง
จินเฟยเหยาคิดจะกระโดดลงมา ทว่าศึกใหญ่เปิดฉากแล้ว ถ้ากระโดดหนีจะเห็นเด่นชัดเกินไป อีกทั้งความสนุกเช่นนี้ดูเหมือนจะน่าชมเป็นพิเศษ นางอยากจะดูสิว่าบุรุษบนผังสงครามโลหิตในโลกเผ่ามารจะร้ายกาจเพียงใด
“จอมมารหง! มอบอาจารย์ข้ามานะ!” ทางด้านเผ่ามนุษย์พลันมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมช่วงต้นคนหนึ่งถลันออกมา ใบหน้าบวมแดงมีสีหน้าตื่นเต้นอย่างยิ่ง สองมือสั่นสะท้านไม่หยุด ดูออกว่าไม่ใช่หวาดกลัวทว่าเดือดดาล
ดวงตาเย็นชาของหงมองเขาแวบหนึ่ง เพียงส่งเสียงฮึเบาๆ สาวน้อยเผ่ามารเส้นผมสีดำคนหนึ่งซึ่งเดิมทีนั่งอยู่ด้านหน้ารถเทียมสัตว์พลันยืนขึ้น เห็นนางใช้สองมือทำท่ายิงธนูแล้วยิงในความว่างเปล่า จากนั้นก็ได้ยินเสียงผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ร้องโหยหวน ทรวงอกด้านซ้ายไม่รู้ว่ามีลูกธนูที่เต็มไปด้วยโลหิตเพิ่มมาตั้งแต่เมื่อใด
ลูกธนูปักลงบนหัวใจของเขาทันที เขากุมทรวงอกล่าถอยไปหลายก้าวแล้วล้มลงกับพื้น จากนั้นจินตันเม็ดหนึ่งก็มุดออกมาจากภายในร่างเขาและลอยไปลอยมาอยู่ที่เดิม
สองตาจินเฟยเหยาเปล่งประกาย ตบถุงสัตว์ภูติให้พั่งจื่อหลบไปอยู่ที่อื่น แล้วส่งต้านิวไปซ่อนอยู่บนต้นไม้ต้นอื่น จากนั้นจับตาดูจินตันที่ไม่ได้วิ่งพล่านในฝูงชนแน่วนิ่ง
“ต้องเรียกว่าใต้เท้าหง พวกคนหยาบคายไม่รู้จักมารยาท” สาวน้อยคนนั้นยิงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมช่วงต้นตายต่อหน้าคนมากมาย อีกทั้งยังเป็นกระบวนท่าเดียวปลิดชีพ
ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ทางด้านนี้ถึงกับไม่พบเห็นว่ามีสิ่งใดยิงมา ทำให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่รู้สึกเสียหน้าอย่างยิ่ง อีกฝ่ายเป็นเพียงผู้ฝึกบำเพ็ญสตรีขั้นหลอมรวมช่วงกลางเท่านั้น ถึงกับสามารถยิงสังหารคนได้โดยไร้เสียงภายใต้เปลือกตาของคนนับร้อย พวกเขาดูไม่ออกว่าการโจมตีนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
จินเฟยเหยาก็ดูไม่ออกว่าลูกธนูนี้ยิงมาจากที่ใด ทว่าสิ่งที่นางสนใจคือจินตันที่ไม่มีคนจัดการเม็ดนั้น ลอยไปลอยมาโดยไม่มีคนสนใจแบบนี้ไม่ค่อยดีกระมัง ถ้าไม่หาคนชิงร่าง จินตันเม็ดนี้ก็คงอยู่ได้ไม่นาน สิ้นเปลืองเกินไปจริงๆ
นางตั้งใจจะเก็บจินตันขึ้นมา แต่ก็กลัวว่าพอลงมือจะถูกผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากฟาดตาย จึงไม่กล้าให้พั่งจื่อและต้านิวใช้ลิ้นตวัดมันกลับมาโดยตลอด
เรื่องนี้ทำให้จินเฟยเหยาร้อนใจดุจไฟลน จินตันเม็ดนี้คือเป็ดที่ย่างสุกและส่งไอร้อนกรุ่น ถ้าปล่อยให้หนีไปได้ ตนเองจะอยู่อย่างไร!
ทันใดนั้น ในสมองของนางพลันมีแผนการแวบขึ้นมา เห็นจินเฟยเหยาพลันพุ่งออกมาจากที่ซ่อนตัว ร้องตะโกนอย่างเสียใจและโกรธเคือง “อารอง! ท่านเป็นอะไรไป!”
นางพุ่งศีรษะไปยังข้างกายของผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้น ซุกศีรษะลงไปแล้วร่ำไห้ “อารอง! เหตุใดท่านจึงทิ้งข้าไว้คนเดียว ใครกัน! ใครช่างโหดร้ายขนาดนี้ ถึงกับสังหารท่านได้!”
จินเฟยเหยาคร่ำครวญอยู่ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้น น้ำตาแห่งความเศร้าเสียใจคลอหน่วย นางไม่เช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาเปรอะใบหน้า จ้องมองจินตันเม็ดแน่วนิ่งนั้นแล้วเอ่ยว่า “อารอง! ข้าจะต้องช่วยท่านหาร่างที่เหมาะสมให้ได้ ท่านวางใจเถอะ!”
จากนั้นนางก็ล้วงขวดหยกใบหนึ่งออกมา กัดริมฝีปากเก็บจินตันที่กำลังจะหนีไว้อย่างเจ็บปวด ผู้บำเพ็ญเซียนนิรนามที่น่าสงสาร เพิ่งถูกคนเรียกเป็นอารองอย่างงุนงง ครู่เดียวจินตันก็ถูกคนเก็บไปแล้ว
จินเฟยเหยาเก็บจินตันต่อหน้าทุกคน ปาดเช็ดน้ำตา กอดขวดหยกแน่นแล้ววิ่งออกจากฝูงชน ทิ้งเงาหลังอันโดดเดี่ยวและโศกเศร้าไว้ให้ทุกคน
“ฮ่าๆๆ ดียิ่งนัก ในที่สุดข้าก็ได้จินตันแล้ว ของสิ่งนี้ดีกว่าตานสัตว์ปิศาจมากนัก กินตอนนี้เลย จะได้ไม่วิกาลยาวนานฝันมากความ” จินเฟยเหยาหาสถานที่ลับตาแห่งหนึ่งซ่อนตัว ใช้พลังวิญญาณนำจินตันออกมาจากขวด หัวเราะหึๆ แล้วโยนเข้าปาก พอเข้าปากก็ละลายทันทีจริงๆ ครู่หนึ่งจินตันก็ตกถึงท้อง อร่อยกว่าตานสัตว์ปิศาจหลายเท่า
จินตันลงท้องแล้วจินเฟยเหยาก็คลำทางกลับมาอีกทันที คิดจะดูว่ายังมีญาติสนิทอีกหรือไม่ ตอนนางกลับมา หงเตรียมตัวเปิดศึกกับผู้บำเพ็ญเซียนเมืองซันจือแล้ว มองหงที่อยู่ไกลๆ ยามนี้จินเฟยเหยาจึงเข้าใจว่าเพราะเหตุใดเมื่อครู่จึงมีคนเรียกเขาว่าหนึ่งคนคือกองทัพ นั่นคือหนึ่งคนสามารถกลายเป็นกองทัพได้
ไม่รู้ว่าหงปล่อยคนเหล่านี้มาจากที่ใด ผู้บำเพ็ญเซียนคนแล้วคนเล่าและสัตว์ปิศาจขั้นแปดถูกเขาโยนออกมา ต่อเป็นหลายแถวเบื้องหน้าสัตว์เซี่ยงซู่ นอกจากสัตว์ปิศาจชั้นสูงเหล่านี้ ผู้บำเพ็ญเซียนที่เขาโยนออกมาแทบทั้งหมดเป็นผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ ผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่ามารมีน้อยนิดเพียงไม่กี่คน ผู้บำเพ็ญเซียนและสัตว์ปิศาจถูกเขาโยนออกมาจากความว่างเปล่าถึงสี่ร้อยกว่าคนแล้ว ทว่าหงยังโยนผู้บำเพ็ญเซียนออกมาภายนอกอีกอย่างต่อเนื่อง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ คิดไม่ถึงว่าในนั้นจะมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ยี่สิบสามสิบคน
ถึงแม้หงจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตช่วงต้น แต่ไม่คิดว่าลูกสมุนจะเป็นผู้ที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่จำนวนมาก ไม่รู้ว่าเขาเอามาจากที่ใด
“หุ่นเชิดหรือ?” จินเฟยเหยารู้สึกสงสัยอยู่บ้าง สัตว์ปิศาจและผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นยืนอยู่ในที่แตกต่างกัน ทว่ากลับไม่เหมือนสิ่งที่ตายแล้ว ทรวงอกของพวกเขามีการหายใจขยับขึ้นลง อีกทั้งดวงตายังมีประกาย เป็นคนที่มีชีวิตอยู่ชัดๆ แต่กลับเชื่อฟังวาจาของคนเผ่ามารผู้หนึ่ง
“หง! วิธีการของเจ้าต่ำช้าขนาดนี้ เจ้าต้องไม่ตายดีแน่! รีบปล่อยผู้บำเพ็ญเซียนของพวกเราทั้งหมด ไม่เช่นนั้นจะใช้หยวนอิงของเจ้าเซ่นสังเวยวิญญาณ!” ตามจำนวนผู้บำเพ็ญเซียนที่หงโยนออกมามากขึ้นทุกที ทางด้านเมืองซันจือก็มีคนทนดูต่อไปไม่ได้ ร้องตะโกนอย่างเดือดดาล
“คืนซือจู่ข้ามานะ!” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นกำเนิดใหม่ช่วงต้นคนหนึ่งพลันกระโดดออกมาจากกลุ่มคน กระบี่ทองเล่มหนึ่งหมุนวนอย่างรวดเร็วและรุนแรงพุ่งปราดเข้าใส่หง
ความเร็วของกระบี่ทองราวกับสายฟ้า เห็นเพียงแสงสีทองวาบผ่านก็พุ่งไปถึงฝั่งหงแล้ว ส่วนหงขนาดหลบหลีกยังไม่ยอมหลบ ที่จริงถึงคิดจะหลบก็หลบไม่พ้น กระบี่ทองเล่มนี้รวดเร็วเกินไป ท่าทางเขาได้แต่รับการโจมตีครั้งนี้แล้ว
กลับเห็นหงยังยิ้มแย้มอย่างหยิ่งผยองดังเดิม เขาขยับนิ้วเบาๆ ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเผ่ามนุษย์ขั้นกำเนิดใหม่ช่วงต้นคนหนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสัตว์เซี่ยงซู่หายวูบมาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขาในพริบตา กระบี่ทองเล่มนั้นปักเข้าสู่ร่างของนางอย่างไม่ออมรั้งยั้งมือเลยสักนิด ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้มีสีหน้าเจ็บปวด ปากพ่นโลหิตสดออกมาคำหนึ่ง
ร่างของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีลอยไปด้านหลังหง เขาลูบเส้นผมของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้แล้วถามผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่อยู่ในเมืองซันจือคนนั้น “นี่คือซือจู่ของเจ้าสินะ เมื่อครู่ตอนเจ้าออกมาหัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นนิดหนึ่ง เจ้าถึงกับใช้กระบี่บินแทงซือจู่ของตนเอง อยากช่วยนางหรืออยากสังหารนางกันแน่?”
หงยื่นมือซ้ายที่มีเล็บยาวคมกริบออกมา ใช้มือคว้ากระบี่ทองเล่มนั้นไว้แล้วค่อยๆ ดึงมันออกมา ไม่รู้ว่าเขาใช้เวทมนตร์อะไร ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีผู้นั้นจึงอ้าปากร้องว่า “จอมมารหง! เจ้ามารร้าย! ต่อให้ข้าตาย ข้าก็จะไม่ยอมถูกหยามเกียรติ เจ้าสังหารข้าเสียเถอะ!”
“ซือจู่!” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีในเมืองซันจือคนนั้นเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง เผ่ามารชั่วร้ายยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะนำซือจู่ของตนเองมาเป็นโล่ต้านลูกธนู
“หึๆๆ เจ้าร้องไห้แล้ว? เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่นะ คิดไม่ถึงว่าจะร้องไห้?” หงพลันหัวเราะขึ้นมา เล็บยาวกรีดผ่านใบหน้าของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้ ราวกับคิดจะช่วยเช็ดน้ำตาให้ แต่กลับกรีดทะลุผิวหนังของนางเป็นรอยโลหิตสายหนึ่ง
“ไปเถอะ สังหารศิษย์น้องของเจ้าแล้วข้าจะให้เจ้าตาย” หงผลักผู้บำเพ็ญเซียนสตรีออกไปอย่างกะทันหัน เสียงดังติงตัง ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีผู้นี้อ้าปาก กระดิ่งมือสองวงก็ออกมา กระดิ่งมือที่มีปราณวิญญาณถูกนางสวมไว้บนมือ จากนั้นก็เหาะไปทางเมืองซันจือ เป้าหมายก็คือศิษย์น้องของนาง
“ศิษย์พี่! ท่านจะสังหารข้าจริงหรือ?” ศิษย์น้องของนางถูกความเคลื่อนไหวอันรวดเร็วฉับไวและไม่ลังเลสักนิดของซือจู่ทำให้ตะลึงงัน นางมองคนที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ตกตะลึงทำไม! คนที่ถูกหงควบคุมจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ถึงแม้สติจะยังแจ่มใสทว่ากลับควบคุมร่างกายของตนเองไม่ได้ แม้แต่พลังวิญญาณและการรับรู้ของตนเองก็ถูกเขาควบคุม นางจะสังหารเจ้าโดยไม่ลังเล!” เห็นนางตะลึงงันอยู่ตรงนั้นก็มีผู้บำเพ็ญเซียนที่มีเจตนาดีร้องเตือนสติ
พอผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้เห็นก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ถึงแม้ศิษย์พี่จะมาอย่างดุร้าย กลับไม่มีไอสังหารปะทุออกมา ในดวงตาเต็มไปด้วยความเสียใจและสิ้นหวัง น้ำตาไหลลงมาตามแก้มไม่หยุด
“ศิษย์พี่!” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้ขยี้เท้า หมุนตัวหลบหนีไป นางไม่ยอมถูกศิษย์พี่สังหาร และไม่ยอมสังหารศิษย์พี่ นางทำไม่ลง ถ่วงเวลาได้ครู่หนึ่งก็ยังดี ขอเพียงสังหารคนเผ่ามารที่ชื่อหงได้ ศิษย์พี่ก็น่าจะกลับคืนสู่สภาพเดิม
“ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว เวลานี้สมควรกำจัดซือจู่ของตนเองทิ้งอย่างปลอดโปร่งมิใช่หรือ?” จินเฟยเหยามองปฏิกิริยาของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้น ส่ายศีรษะแล้วกล่าววาจา
จากนั้นนางก็มีท่าทางเข้าใจพลางเอ่ยว่า “คิดจะสังหารคนเผ่ามารที่ชื่อหง ต้องทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกควบคุมเหล่านั้นเป็นอิสระ แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ตรงกันข้ามบางทีสังหารเขาแล้วผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้คงตายหมด จะให้ผู้อื่นเอาเปรียบได้อย่างไร ถ้าจะตายก็ต้องตายด้วยกัน”
“เพียงแต่…ถ้าเจ้าแค่จับแต่ไม่สังหาร ข้าจะไปนับญาติและเก็บจินตันได้จากที่ใด!” จินเฟยเหยาพลันด่าทออย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อารมณ์ปั่นป่วนอย่างยิ่ง
พั่งจื่อและต้านิวล้วนมองดูนาง ยายนี่นับวันยิ่งเลวร้ายมากขึ้นทุกที
“หง! ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาเหิมเกริมได้ เจ้านึกว่าพาหุ่นเชิดไร้ประโยชน์เหล่านี้มาด้วย จะสามารถทำตามอำเภอใจได้หรือ?” บรรดาตาเฒ่าแห่งเมืองซันจือเดือดดาลแล้ว พอทุกคนเรียก ของวิเศษนานาชนิดก็ออกมา
เดิมทีหงยังเล่นกระบี่ทองที่หลังจากหดเล็กลงมีความยาวเพียงหนึ่งฉื่อกว่า เห็นสภาพการณ์เช่นนี้จึงเก็บกระบี่ทอง จากนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา “เช่นนั้นก็ลองดู ให้ข้าทำลายเมืองซันจือจนราบคาบ”
สิ้นเสียง หงโบกสองมือ ผู้บำเพ็ญเซียนสี่ร้อยกว่าคนและสัตว์ปิศาจเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน สัตว์ปิศาจคำรามอย่างเดือดดาล ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนกลับนำของวิเศษของแต่ละคนออกมาและหายวูบไปจากที่เดิมเหินทะยานมายังเมืองซันจือ
“ยอดเยี่ยมยิ่ง!” จินเฟยเหยาอดร้องอุทานไม่ได้ ความเคลื่อนไหวของสัตว์ปิศาจและผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนสี่ร้อยกว่าคนแตกต่างกันไป เป้าหมายก็ไม่เหมือนกัน ดูไม่ออกเลยว่าถูกคนควบคุม ความเคลื่อนไหวดั่งเมฆเหินน้ำไหล[1] สามารถใช้พลังวิญญาณและการรับรู้ได้อย่างอิสระ อีกทั้งยังเห็นการตายดุจการกลับคืนสู่มาตุภูมิ พุ่งเข้าใส่ผู้บำเพ็ญเซียนเมืองซันจือราวกับกระบี่อันคมกริบ
“เขาทำได้อย่างไร เคล็ดวิชาของเผ่ามารร้ายกาจขนาดนี้เชียว แต่เพราะเหตุใดหลอมนรกกลืนวิญญาณของข้าจึงห่วยแตกราวกับละครหุ่นไม้ ได้แต่บังคับสัตว์ที่ตายเล่นตัวสองตัว อีกทั้งยังสิ้นเปลืองพลังวิญญาณและการรับรู้อย่างมาก หรือว่าเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญที่ข้าได้มาเป็นของชั้นต่ำ?” นอกจากจินเฟยเหยามีความอิจฉาริษยาแน่นอกแล้วยังแค้นใจ นางถลึงตาใส่หงหลายครั้งอย่างแค้นเคือง จากนั้นนำยันต์ซ่อนกายใบหนึ่งแปะลงบนร่าง
ตอนนี้อยู่ในการสู้รบอันวุ่นวาย ขอเพียงไม่เข้าใกล้ผู้บำเพ็ญเซียนที่เข่นฆ่าจนนัยน์ตาแดงก่ำเหล่านั้น ก็ไม่มีใครแบ่งการรับรู้มาทางตนเองตรงนี้ จากนั้นตนเองก็สามารถเก็บซากศพของผู้อื่นได้ จินเฟยเหยาวางแผนจะเกาะอยู่บนยอดไม้ สังเกตการณ์สนามรบอย่างเงียบๆ
หงร่ายรำสองมือ ดีดนิ้วอย่างรวดเร็ว ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนสี่ร้อยกว่าคนที่ถูกควบคุมก็ต่อสู้กับผู้บำเพ็ญเซียนเมืองซันจือ มองคนเหล่านี้เข่นฆ่ากันเอง มุมปากของเขาก็โค้งขึ้นนิดๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความดูแคลน
เผ่ามนุษย์เรียกระดมพลจากโลกระดับวิญญาณมาโลกระดับเทพ คิดจะขับไล่เผ่ามารออกจากโลกระดับเทพส่วนใน ทางที่ดีสังหารเผ่ามารให้เกลี้ยงแล้วไล่ออกจากโลกระดับเทพ แต่เรื่องเช่นนี้จะกระทำโดยที่ไม่มีใครรู้เห็นได้อย่างไร และเผ่ามารจะยืนซุกเก็บมือมองดูอยู่ด้านข้างเฉยๆ ได้อย่างไร
เรือเหาะของโลกระดับวิญญาณใกล้จะมาถึงแล้ว พอดีใช้ข้ออ้างที่พวกเขาหลายร้อยคนคุ้มครองส่งแด็กหญิงโง่งมก่อนหน้านี้ได้ ชิงโจมตีเมืองซันจือก่อน ส่วนหง คนที่โดดเด่นหล่อเหล่าและวอนโดนอัดขนาดนี้เป็นแนวหน้าที่เหมาะสมที่สุดในการเบิกทาง คนเผ่ามารอื่นๆ ย่อมต้องไปเส้นทางอื่น ทำให้เมืองซันจือต้องรับการโจมตีอย่างหนักหน่วงจากเส้นทางอื่นๆ
พวกเขาต่อสู้หน้าวงเวทขนาดใหญ่ของเมืองซันจือจนสับสนอลหม่าน จินเฟยเหยาพบว่าหลังจากตนเองนำจินตันกลับมา คิดไม่ถึงว่าจะออกไปไม่ได้ เพื่อปกป้องเหมืองศิลาวิญญาณจึงผนึกเมืองซันจือทั้งหมดเอาไว้
“เข้าใจผิดไปหรือไม่ ออกไปไม่ได้ก็แย่แล้ว!” จินเฟยเหยาร้อนใจแทบตาย ฉวยโอกาสที่ตนเองมียันต์ซ่อนกาย แนบร่างอยู่ข้างการป้องกันอย่างร้อนใจแต่ทำอะไรไม่ได้
ในเวลานี้เอง ไม่รู้ว่ามีแสงของวิเศษใดวาบผ่าน ยันต์ซ่อนกายราคาถูกจึงสิ้นฤทธิ์ จินเฟยเหยายืนอยู่ข้างการป้องกันด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ด้านข้างพอดีมีผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งผ่านมา เห็นจินเฟยเหยาซ่อนอยู่ในการป้องกัน ทั้งยังแปะยันต์ซ่อนกายด้วย รู้สึกว่าน่าขายหน้าโดยแท้ ดังนั้นจึงส่งเสียงฮึ ยกของวิเศษขึ้นเบียดไปในกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนด้านหลังการป้องกันอย่างห้าวหาญ
“ทำวางมาด เจ้าก็ออกไม่ได้เหมือนกัน จะเสแสร้งไปทำไม” จินเฟยเหยาก็ส่งเสียงฮึเช่นเดียวกัน ท่าทางยันต์ซ่อนกายใช้ยากขึ้นทุกที ระดับต่ำเกินไป มักจะถูกผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงเหล่านี้ทำลายได้
“ตูม!” ทันใดนั้น ม่านป้องกันของเมืองซันจือก็สั่นสะเทือน มีเสียงดังสนั่นมาอย่างต่อเนื่อง
“แย่แล้ว! มีคนใช้กำลังทำลายวงเวท ทุกคนรีบไปช่วยเหมืองศิลาวิญญาณซันจือ!” ผู้บำเพ็ญเซียนเฮโลกันวิ่งไปในเมือง
คิดไม่ถึงว่าดวงตาวงเวทใหญ่จะสร้างอยู่ข้างเหมืองศิลาวิญญาณ คงไม่ใช่ต้นไม้สีเงินวิบวับสองต้นนั้นหรอกนะ จินเฟยเหยามองพวกเขาวิ่งไปทางเหมืองศิลาวิญญาณ อดเอ่ยไม่ได้ว่า “อยู่เพื่อศิลาวิญญาณ ตายเพื่อศิลาวิญญาณ ต่อสู้ช่วงชิงชั่วชีวิตเพื่อศิลาวิญญาณ”
ในเวลานี้เอง วงเวทใหญ่พลันกระพริบอย่างกะทันหัน การป้องกันหายวูบไป จินเฟยเหยากระพริบตา หรือว่าวงเวทใหญ่จะถูกทำลายไปเช่นนี้? ไม่รอให้นางหนีออกไป วงเวทใหญ่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง อีกนิดเดียวจะกักขังนางไว้ในวงเวทแล้ว
จินเฟยเหยามองวงเวทใหญ่บัดเดี๋ยวปรากฏบัดเดี๋ยวจางหายด้วยสายตาเย็นชา เกิดซ้ำไปซ้ำมาอยู่นาน เมื่อทางด้านเหมืองศิลาวิญญาณมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังมา หลังจากนั้นมีหมอกควันพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า ในที่สุดวงเวทใหญ่ก็ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอีก แต่หายไปโดยสมบูรณ์
“พั่งจื่อ ต้านิว พวกเจ้าถือขวดคนละใบ เห็นผู้บำเพ็ญเซียนถูกฆ่าจนมีจินตันออกมาก็เก็บใส่ขวดมาให้ข้าทั้งหมด ระวังฝ่ายตรงข้ามที่ชื่อหง ถ้าถูกเขาจับจะกลับมาไม่ได้ แต่พลังการบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้าต่ำต้อยขนาดนี้ เขาจับตัวไปก็ไม่มีประโยชน์ ระวังผู้บำเพ็ญเซียนดีกว่า” จินเฟยเหยานำขวดหยกออกมาสองใบโยนให้พั่งจื่อและต้านิว แล้วชี้ไปบนสนามรบ
พั่งจื่อและต้านิวถือขวดหยก มองนางด้วยสีหน้าเดือดดาล คิดไม่ถึงว่าขอร้องให้ผู้อื่นไปทำงานยังบอกว่าผู้อื่นมีพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำต้อย น่าชังจริงๆ
เห็นพวกมันสองตัวไม่ขยับ ส่วนในสนามรบก็สับสนอลหม่าน จินเฟยเหยาได้แต่เอ่ยว่า “พวกเจ้าสองตัวต้องเพิ่มความระมัดระวัง ในโลกนี้มีเพียงพวกเจ้าสองตัวที่เป็นไท่จื่อโซ่ว ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ต้องมีจิตใจละโมบอยากครอบครองพวกเจ้าสองตัวแน่ๆ ระวังอย่าถูกคนจับตัวไป ตอนนี้พวกเจ้าได้รับความนิยมอย่างยิ่ง” ได้ยินนางพูดแบบนี้ พั่งจื่อและต้านิวจึงเก็บขวดหยกใส่ปาก แล้วพุ่งวูบเข้าไปในสนามรบ
“เอาละ ตอนนี้ถึงตาข้าแล้ว ข้าชอบทำเรื่องกวนน้ำจับปลา[2]แบบนี้ที่สุด” นางเอากำปั้นข้างหนึ่งชกใส่ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งด้วยท่าทางตื่นเต้น
“จิ๊บ” ขณะนางคิดจะกระโจนเข้าสู่สนามรบ นกตัวหนึ่งพลันบินมาเกาะอยู่บนศีรษะนาง
จินเฟยเหยาใช้มือจับนกลงมาจึงพบว่าเป็นนกปีกสวรรค์ “เอ๋? เจ้าอยู่ที่โลกระดับวิญญาณมิใช่หรือ มาได้อย่างไร”
นกปีกสวรรค์ร้องจิ๊บๆ อยู่ตลอดเวลา ราวกับมีเรื่องด่วนคิดจะบอกจินเฟยเหยา ดังนั้นนางจึงมองไปรอบด้านและรีบค้นหายอดไม้ซ่อนตัวชั่วคราว จากนั้นนำแท่งหยกเล็กๆ ที่จดบันทึกเรื่องราวบนขานกปีกสวรรค์ลงมาแล้วใช้การรับรู้กวาดดูด้านใน สีหน้านางแปรเปลี่ยนไปทันที ยืนขึ้นแล้วตะโกนลั่น “พั่งจื่อ ต้านิว! ไม่เอาสิ่งของแล้ว พวกเรารีบไป!”
สิ้นเสียง ก็เห็นในฝูงชนที่สู้รบกันชุลมุน มีทารกสูงสามฉื่อปรากฏขึ้น ตลอดร่างขาวเนียนนุ่มประดุจหยก โอบกอดตราประทับสี่เหลี่ยม มองไปรอบด้านด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและคิดจะหลบหนีไป
“หยวนอิง!” จินเฟยเหยายินดี คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ถูกสังหาร
ไม่รอให้นางยินดีมากนักก็เห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เผ่ามนุษย์คนหนึ่งที่หงควบคุมร่ายรำกระบี่บินที่มีปราณวิญญาณฟันไปที่หยวนอิง
“อ๊า” จินเฟยเหยาไม่ทันได้คิดมากความ ไฟนรกปรากฏขึ้นทั่วร่างทันทีแล้วพุ่งปราดไป ทงเทียนหรูอี้ก็ลอยออกไปในพริบตา กลายเป็นค้อนขนาดใหญ่ทุบลงไป
เสียงดังฉึก จินเฟยเหยาใช้นิ้วกลางมือขวาของตนเองต้านทานกระบี่บินที่ผ่าหยวนอิง ส่วนไฟนรกสีดำทั่วร่างนางลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง ฝืนใช้กำลังต้านทานการโจมตีของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลางคนนี้ นิ้วกลางเจ็บปวดจริงๆ จะหักจนพิการหรือไม่ นี่คือความคิดเดียวที่ปรากฏขึ้นในสมองของนาง
หงที่ยิ้มอย่างเย็นชาอยู่ตลอดเวลา หลังจากเห็นไฟนรกสีดำอันคุ้นเคยก็ประหลาดใจเล็กน้อย แล้วกลับคืนสู่ท่าทางปกติทันที ตอนนี้เป็นช่วงเวลาควบคุมหุ่นเชิดสี่ร้อยกว่าตัว ไม่อนุญาตให้เขาแบ่งแยกจิตใจได้
ในเวลานี้ทงเทียนหรูอี้ก็เร่งรุดมาโจมตีผู้บำเพ็ญเซียนที่ใช้กระบี่บินสะกดจินเฟยเหยา ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นดถูกโจมตีจนถอยร่นไปหลายก้าวทันที จินเฟยเหยาจึงหลุดพ้นจากพลังกดดันอันหนักหน่วง
ต่อมานางก็เคลื่อนไหวอย่างที่ทำให้คนคิดไม่ถึง จินเฟยเหยาหันหน้าไปโอบกอดหยวนอิงที่หนีพ้นคราเคราะห์มาได้ จากนั้นอ้าปากแล้วฝืนยัดมันเข้าไปในปาก นางเคี้ยวไม่กี่คำก็กลืนหยวนอิงลงไปราวกับมีคนคิดจะแย่งชิงอาหาร
ไม่เพียงผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านที่ตกใจสุดขีด แม้แต่หงที่ยืนอยู่บนร่างสัตว์เซี่ยงซู่ก็ยังตะลึงงันและอดสงสัยไม่ได้ ในสนามรบเกิดการหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง สายตาของทุกคนไปรวมกันอยู่ที่ร่างของจินเฟยเหยาซึ่งยัดหยวนอิงเข้าปากและพยายามกลืนลงไป
ฝึกวิชาชั่วร้าย! ฝึกวิชาชั่วร้ายที่กินคน! ในสมองของทุกคนมีเพียงความคิดนี้ปรากฏขึ้น
ในเวลานี้เอง กลางท้องนภาปรากฏเงาร่างของเรือเหาะ การกระทำของจินเฟยเหยาเมื่อครู่ มีคนจำนวนไม่น้อยบนเรือเหาะเห็นเข้าพอดี
ยายโง่ ข้าหาโอกาสส่งจดหมายให้เจ้าอย่างยากเย็น คิดไม่ถึงว่าเพื่อหยวนอิงอันเดียวเจ้าจะหนีไปไม่ทันเวลา ทั้งยังกินหยวนอิงต่อหน้าทุกคนอีก ในใจของปู้จื้อโหยวสับสนอย่างยิ่ง ยายนี่หมดทางเยียวยาแล้ว!
“สายไปแล้ว…” ใบหน้าของจู๋ซวีอู๋สงบนิ่งสุดเปรียบปาน เพียงพึมพำกับตนเองเบาๆ ประโยคหนึ่ง
ไป๋เจี่ยนจู๋ที่อยู่ข้างกายของเขาตกตะลึงสุดขีด ถึงแม้ผู้อื่นเห็นแล้วจะตกตะลึงเช่นกัน ทว่ากลับไม่ได้ตกตะลึงมากเท่าไป๋เจี่ยนจู๋ เขาและจินเฟยเหยาเคยอาศัยอยู่ใกล้กันมาก อีกฝ่ายยังเคยเอ่ยชมว่าจินตันของเขาน่าอร่อยยิ่ง ที่แท้ตอนนั้นไม่ได้ล้อเล่นและไม่ได้เกี้ยวพาราสี แต่บอกว่าข้าน่าอร่อยจริงๆ…
“หึๆๆ…” ราวกับหงนึกถึงอะไรได้จึงหัวเราะแปลกประหลาดขึ้นมา
ส่วนปู้จื้อโหยวบนเรือมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที หัวคิ้วย่นเข้าหากัน
จินเฟยเหยามองเรือเหาะบนท้องฟ้าอย่างตะลึงงัน แวบเดียวก็เห็นพวกจู๋ซวีอู๋ยืนอยู่บนเรือเหาะ ดวงตานางกวาดมองอีกครั้งก็เห็นปู้จื้อโหยวกำลังส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา
“เสี่ยวจิน เจ้าอย่าหนีวุ่นวาย รอข้านะ!” จู๋ซวีอู๋พลันเอ่ยปากตะโกน จินเฟยเหยากลับถอยหลังไปหลายก้าว ในดวงตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
“แย่แล้ว!” จู๋ซวีอู๋รู้สึกได้ว่ามีคนแพร่งพรายข่าวสารอีกทั้งยังทำให้จินเฟยเหยารู้แล้ว จะให้นางจากไปแบบนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์อาจจะเกินควบคุม
จู๋ซวีอู๋กระโดดฟุ่บลงมาจากเรือเหาะ ในเวลาเดียวกัน จินเฟยเหยาก็หมุนตัวและสาวเท้าวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว พั่งจื่อและต้านิวตามมาติดๆ ตีลังกาคราหนึ่งก็มุดเข้าถุงสัตว์ภูติ ส่วนไฟนรกของจินเฟยเหยาพวยพุ่งขึ้นทั่วร่างและใช้ออกด้วยเวทหนีไฟนรกทันที
เห็นจินเฟยเหยากลายเป็นเปลวเพลิงสีดำก้อนหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ทั้งหมดก็หวั่นไหว นี่คือไฟนรก คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ฝึกเคล็ดวิชามาร!
“กักขัง!” จู๋ซวีอู๋อยู่กลางอากาศ สองมือประกบเข้าหากันแล้วตวาดใส่จินเฟยเหยา ภาพมายาเด็กน้อยหน้าแดงฟันขาวสูงห้าหกจั้งขึ้นมาจากด้านหลังของเขาและยื่นมือเล็กๆ ออกมาคว้าจินเฟยเหยา
………………………………..
[1] เมฆเหินน้ำไหล หมายถึง ราบรื่นและเป็นธรรมชาติ
[2] กวนน้ำจับปลา หมายถึง ฉวยโอกาสชุลมุนวุ่นวายหาผลประโยชน์