คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 261 สะกดข่ม
หลังปู้จื้อโหยวจากไป จินเฟยเหยาจึงเริ่มอาศัยอยู่ที่นี่อย่างวางใจ
วัชพืชในแปลงยาสมุนไพรเหล่านั้นงอกยาว แต่เรื่องพวกนี้จินเฟยเหยาโยนให้ต้านิวไปจัดการ ส่วนนางหลังจากตรวจสอบปริมาณตานสัตว์ปิศาจก็คำนวณวันแล้วปิดด่านกักตนทันที
นางตั้งใจปิดด่านกักตน พั่งจื่อและต้านิวจะได้ไม่กังวล กบสองตัวทุบอุโมงค์เล็กๆ หยาบเท่าลูกแตงโมสายหนึ่งในถ้ำภูเขา หลังจากเปลี่ยนให้เล็กลงก็มุดออกไปเล่นข้างนอกจากตรงนี้
เห็นปู้จื้อโหยวสังหารนกตงจือในวันนั้น ทำให้จินเฟยเหยาเหงื่อตกด้วยความอับอาย ตนเองไม่ตั้งใจฝึกบำเพ็ญเป็นเวลานาน หลังจากกินอาหารแล้วสามารถเพิ่มพลังการบำเพ็ญเพียรและพลังวิญญาณได้ นางก็นำเวลาฝึกบำเพ็ญไปกิน นอน และเล่นสนุก ตอนนี้นึกแล้วนางก็รู้สึกว่าเหลวไหลจริงๆ ในเมื่อกินอาหารแล้วสามารถเพิ่มพลังการบำเพ็ญเพียรได้ ถ้าตนเองนั่งฝึกบำเพ็ญอีก พลังการบำเพ็ญเพียรมิเพิ่มเร็วขึ้นหรือ
หลังจากกลืนหยวนอิงลงไป พลังวิญญาณภายในร่างก็ถึงจุดสูงสุด ขอเพียงทะลวงอีกหน่อย บรรลุขั้นหลอมรวมช่วงกลางก็เป็นเรื่องสบายๆ ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงปิดประตูกระท่อม ไม่ถึงขั้นหลอมรวมช่วงกลางก็จะไม่ออกมา
ส่วนโลกระดับเทพส่วนใน การสู้รบของทั้งสองโลกก็ปะทุขึ้นอย่างแท้จริงโดยเริ่มจากเหตุการณ์ที่เมืองซันจือ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นผสานร่างทั้งหมดอยู่ที่โลกตู้เทียน คนที่ไม่ได้ไปคนสองคนวันๆ ก็ต้านทานอัสนีสวรรค์ เข้าร่วมในการสู้รบไม่ได้ บรรดาตาเฒ่าขั้นว่างเปล่าเริ่มยืนดูอยู่ด้านข้างและสั่งการ ส่วนเป้าหมายคือสถานที่หลายแห่งซึ่งมีไผ่อัสนีม่วงและศิลาพิรุณอัสนี เรื่องเหล่านี้ย่อมไม่อาจให้ผู้บำเพ็ญเซียนระดับล่างล่วงรู้ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ยังนึกว่ากำลังแย่งชิงดินแดนและทรัพยากร
เนื่องจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตเป็นผู้นำและกำลังหลักในการสู้รบครั้งนี้ย่อมรู้ความคิดของบรรดาตาเฒ่าและยายเฒ่าขั้นว่างเปล่าอย่างกระจ่างแจ้ง
โลกตู้เทียนเป็นสถานที่ซึ่งทำให้คนทั้งรักทั้งแค้นจริงๆ ติงจั๋วมองผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ขั้นว่างเปล่าสองคนที่นั่งอยู่บนพื้นเบื้องหน้า แล้วเอ่ยอย่างชืดชา “เรื่องนี้ข้าไม่เหมาะจะสอดมือ ตัวประหลาดเฒ่าขั้นผสานร่างของเผ่ามารก็ไม่เคลื่อนไหว ข้าลงมือช่วยเหลือเพราะสิ่งของเล็กน้อยไม่ได้”
“ผู้อาวุโสติง ถ้าไผ่อัสนีม่วงและศิลาพิรุณอัสนีถูกคนเผ่ามารยึดครอง พวกเราก็ไม่มีทางมอบสิ่งของที่ท่านต้องการได้” ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่าสองคน คนหนึ่งหน้าตาธรรมดากลับมีท่าทางกดดันผู้คน ส่วนอีกคนหนึ่งขาวอวบอ้วน ล้วนมีอายุสามสิบกว่าปีเช่นเดียวกัน คำพูดนี้กลับออกมาจากผู้บำเพ็ญเซียนขาวอวบอ้วนคนนั้น
ติงจั๋วกวาดตามองพวกเขาสองคนอย่างเย็นชา ทั้งสองคนรู้สึกว่าตนเองจมลงสู่ความว่างเปล่าทันที ปราณแห่งการเข่นฆ่าที่เย็นเยียบเสียดกระดูกโอบล้อมรอบกาย อดหลั่งเหงื่อเย็นโซมกายไม่ได้
“หากมิใช่ข้าเลื่อนขั้นอย่างกะทันหัน ข้ายังจำเป็นต้องใช้พวกเจ้าหรือ? เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังมาขอให้ข้าออกโรง พวกเจ้ารู้สึกว่าตนเองถึงขั้นว่างเปล่าแล้ว ถ้ามอบสิ่งของเหล่านี้ให้ข้ามิสู้เก็บไว้ใช้เองในภายหลังดีกว่า” ติงจั๋วเอ่ยอย่างเฉยชา
ขนาดสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณข้างกายของเขายังส่งเสียงคำรามออกมาจากในลำคอ ดมพวกเขาสองคนอย่างไม่พอใจ
“ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้ว พวกเรามิได้คิดเช่นนี้ เพียงแต่ครั้งนี้หลงถูกปล่อยตัวออกมา เรื่องนี้มีผลกระทบต่อสงครามของพวกเราอย่างมาก และตอนนี้ยังมีคนเผ่ามารขั้นแปลงจิตที่ชื่อหง เขาคนเดียวสามารถกลายเป็นกองทัพได้ ทำให้พวกเราปวดศีรษะจริงๆ” ท่าทางข้อเรียกร้องให้ไม่ต้องจ่ายบรรณาการคงใช้ไม่ได้ ทว่าพวกเขาสองคนคิดจะได้ผลประโยชน์เพิ่มอีก
ติงจั๋วขมวดคิ้ว “ถ้าครั้งที่แล้วมิใช่เพื่อช่วยพวกเจ้า ข้าคงไม่อยู่ที่นี่ ถึงโลกตู้เทียนจะอยู่ไม่สบายและสายฟ้าไม่มากเท่าที่นี่ สุดท้ายผ่านมาไม่นาน พวกเจ้ากลับปล่อยให้หลงหนีออกมาได้ มาบอกข้าเรื่องนี้หรือยังคิดจะให้ข้าไปอีก?”
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่าสองคนไม่ส่งเสียง แต่กลับด่าทอในใจ ตอนนั้นพลังการบำเพ็ญเพียรของเจ้าสูงกว่าเขาหนึ่งขั้น เพียงแค่กักขังไว้ ยังสังหารไม่ได้ อีกทั้งเจ้ารั้งอยู่ที่นี่ไม่ใช่กลับไปโลกตู้เทียนไม่ได้ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย เห็นได้ชัดว่าเจ้าได้ของดีจากจอมมารหลงจึงบรรลุขั้นผสานร่างโดยบังเอิญ ยังไม่ได้เตรียมสิ่งของให้พร้อมสรรพจึงฝืนรั้งอยู่ที่นี่ทำร้ายพวกเราจนไม่รู้ว่ามอบบรรณาการให้เจ้าตั้งเท่าใดแล้ว
คิดแล้วก็คิดอีก พวกเขาสองคนล้วนไม่กล้าพูดออกมา พวกเขารู้ดี ติงจั๋วคนนี้ไม่ใช่ชนชั้นมีเมตตา เพื่อเลี้ยงสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณให้เติบใหญ่อย่างสบายๆ จึงหลอกคนตระกูลหวาให้พาสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณไป ตอนนี้กลับดียิ่ง ไม่รู้ว่าถูกใครส่งกลับมาอย่างปลอดภัย
“ถ้าผู้อาวุโสติงไม่ลงมือ สามารถชี้แนะหนทางเอาชนะได้หรือไม่” หลังจากพวกเขาสองคนครุ่นคิดพลันเอ่ยถาม
“พวกเจ้าไม่ย้ายคนจากโลกวิญญาณหนานเฟิงมาหรือ? คาดว่าพวกเขาต้องสนใจที่นี่อย่างยิ่ง” ติงจั๋วพลันเอ่ยเสนอแนะ
คำพูดของเขาทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่าสองคนสูดลมหายใจ โลกวิญญาณหนานเฟิงคือสถานที่ใด ที่นั่นล้วนเต็มไปด้วยโจรขโมย บอกว่าเป็นโลกระดับวิญญาณ ที่จริงเป็นเพียงดินแดนป่าเถื่อนที่อยู่ชายขอบของโลกระดับวิญญาณ ผู้บำเพ็ญเซียนชั่วร้ายจำนวนมากซึ่งไม่มีที่ไปในโลกระดับวิญญาณล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นั่น คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะพัฒนาจนดีขึ้นมาก ปกติระวังป้องกันพวกเขาแทบไม่ทัน แล้วจะนำสุนัขป่าเข้าบ้านได้อย่างไร
ผู้บำเพ็ญเซียนชั่วร้ายในโลกวิญญาณเป่ยเฉินเมื่อเปรียบกับเจ้าพวกนั้นในโลกวิญญาณหนานเฟิงแล้วก็คือเด็กน้อยเล่นดินโคลน ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง เนื่องจากเผ่ามนุษย์ล้วนระวังป้องกันพวกเขา ดังนั้นเกาะลอยได้ระดับเทพจึงไม่ถูกพวกเขารุกรานและยึดครอง ถ้าให้พวกเขาขึ้นมา เกรงว่าคงเป็นเหมือนตัวเรือดที่ไล่ไม่ไปและฆ่าไม่หมด
เสิ่นกวงเจี๋ยและเจี่ยงเจ๋อรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง ทุกห้าสิบปีล้วนต้องมาทุ่มวัตถุดิบล้ำค่าจำนวนมากที่นี่ ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาสองคนจำเป็นต้องใช้หลังจากบรรลุขั้นผสานร่าง ตนเองเงียบเสียงระงับโทสะมาที่นี่ก็เพื่อทุกคน คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะอยากได้แต่ผลประโยชน์ทว่าไม่คิดจะทำงาน
เรื่องผลักไสพวกเขาไปให้ผู้บำเพ็ญเซียนชั่วร้ายทันทียังกระทำออกมาได้ น่าชังเกินไปแล้ว
พวกเขาครุ่นคิด ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ติงจั๋วพึ่งพาไม่ได้ หวังว่าเขาจะไสหัวกลับโลกตู้เทียนโดยเร็วหรือให้อัสนีสวรรค์มาอย่างดุร้าย โจมตีถ้ำโทรมๆ แห่งนี้และผ่าเจ้าเฒ่านี้ให้ตายทันที
ทว่าใบหน้าของพวกเขาสองคนยังมีสีหน้าลำบากใจพลางเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสติง ไปตามโลกวิญญาณหนานเฟิงมาช่วยเหลือไม่ได้ พวกเรากลับไปย้ายคนมาจากโลกวิญญาณเป่ยเฉินดีกว่า”
ติงจั๋วหลุบตาลงครึ่งหนึ่ง เอ่ยอย่างเฉยชา “อืม ไปเถอะ”
ทั้งสองคนออกจากน้ำพุความฝันและกลับไปเมืองซวงโหลวที่เผ่ามนุษย์อาศัยอยู่ ผลสุดท้ายก็ไม่ได้ไปเรียกคนของโลกหนานเฟิงมา
ผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์เพียงสูญเสียเมืองซันจือไป ในสงครามต่อมาก็ไม่ได้เสียเมืองไปอีก ทั้งสองฝ่ายสร้างขึ้นเป็นสงครามผลัดกันรุกและรับอย่างช้าๆ การต่อสู้กันครั้งนี้นานถึงห้าปีกว่าและไม่มีการพัฒนา คนจึงเริ่มเบื่อหน่าย ผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงบางคนเริ่มใช้ตัวแทนลาดตระเวนและเอ้อระเหยลอยชายทำเรื่องส่วนตัว
ห้าปีนี้จินเฟยเหยาไม่ได้เหยียบย่างออกจากเกาะลอยได้แม้แต่ก้าวเดียว ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกบำเพ็ญและศึกษาเคล็ดวิชาสร้างร่างมาร ถ้ายังไม่ตั้งใจฝึกบำเพ็ญอีก ตนเองคงลำบาก ครั้งที่แล้วแย่งชิงหยวนอิงและใช้เวทหนีไฟนรก อย่าเห็นว่าตอนนั้นนางเหมือนไม่มีอะไร ที่จริงตอนนั้นกระดูกเจ็บปวดแทบตาย
ตอนนี้นางนั่งอยู่ในกระท่อม ทั่วร่างมีแสงสีดำกระพริบ กระดูกแต่ละชิ้นภายใต้เนื้อหนังล้วนกระพริบแสงสีดำ เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งสุดเปรียบปานแล้ว ทั่วร่างกลายเป็นของวิเศษชั้นล่าง แน่นอนว่านิ้วกลางมือขวาของนางเป็นของวิเศษชั้นกลาง คิดจะเปลี่ยนทั่วร่างให้กลายเป็นของวิเศษชั้นกลาง นางยังห่างอีกไกล
แต่ถือว่าใช้ไฟนรกได้อย่างไม่มีปัญหา ตอนนี้มือเปล่าของนางสามารถต้านทานของวิเศษได้แล้ว ถ้าหลอมทั่วร่างเป็นของวิเศษชั้นบนหรือชั้นยอด จินเฟยเหยาก็ไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไร ตอนไม่มีศิลาวิญญาณก็สามารถดึงกระดูกชิ้นหนึ่งมาขายได้ เส้นเอ็นและกระดูกสามารถทำเป็นกระบี่บินได้ ก็ร่ำรวยแล้ว
แต่จินเฟยเหยามีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจ นางฝึกเคล็ดวิชาสร้างร่างมารเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง น่าจะไม่เกี่ยวอะไรกับเทาเที่ยสักนิด ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นจินตัน ถ้าจะให้มีประสิทธิภาพก็ต้องเป็นเคล็ดวิชาเพิ่มการรับรู้และพลังวิญญาณ ทว่าทุกครั้งที่ฝึกเคล็ดวิชาสร้างร่างมาร นางก็จะเห็นเทาเที่ยส่องแสงสีดำทั่วร่างราวกับกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่เช่นเดียวกัน
คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จินเฟยเหยาเพียงถือว่าเคล็ดวิชาสร้างร่างมารมีประสิทธิผลกับจินตัน เคล็ดวิชาเดียวได้ผลถึงสองอย่าง ลดเรื่องยุ่งยากและได้กำไรจริงๆ
สิ่งที่น่ายินดีคือ นางกินจินตันของสาวน้อยเผ่ามารสองคนนั้นแล้วเลื่อนเป็นขั้นหลอมรวมช่วงกลางได้อย่างราบรื่น จินเฟยเหยาโชคดีมาตลอด ผู้อื่นเลื่อนขั้นต้องฝึกจนพลังเต็มสมบูรณ์จากนั้นค่อยกินยานานาชนิดเพื่อทะลวงระดับขั้น นางกลับดียิ่ง แค่กินอาหารก็สะสมพลังวิญญาณมากมาย สุดท้ายกินจินตันสองเม็ดก็บรรลุขั้นหลอมรวมช่วงกลาง
การเลื่อนขั้นที่ไม่รู้สึกว่าว่าประสบความสำเร็จแบบนี้ทำให้จินเฟยเหยาคิดว่าว่าความรู้สึกยินดียังสู้กินอิ่มสักมื้อไม่ได้
อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ นางก็นำพรมบินที่ทั้งเก่าทั้งสกปรกออกมา พรมบินผืนนี้อยู่กับนางมาร้อยปี ถึงระดับความเร็วจะไม่เร็วนัก แต่ดีตรงมีพื้นที่กว้างขวางและบินได้นิ่ง สิ่งเดียวที่ไม่ดีคือไม่มีอะไรเลย ถ้าเป็นรถเหาะมีหลังคาสักคันก็ดีสิ
แต่จินเฟยเหยามิใช่ไม่มีวิธี ไม่มีหลังคาก็แค่เพิ่มมา บอกจะทำก็ทำทันที นางใช้กระดูกสัตว์และหนังสัตว์หลอมร่มคันใหญ่ บนตัวร่มสีขาวยังมีกลีบดอกไม้สีชมพูล่องลอยทั่วนภา หวนนึกถึงพวกหมอนนุ่มๆ และเบาะหนาๆ ที่เห็นในบ้านใต้เท้าไหว จินเฟยเหยาก็ทำเบาะที่ทั้งยาวทั้งนุ่มเลียนแบบหลายอัน
สุดท้ายนางหลอมสร้างพรมบินขึ้นใหม่อีกครั้ง รอยเปื้อนทั้งหมดหายไป ใหม่เอี่ยมเหมือนในตอนแรก จากนั้นนางก็โยนร่มและพวกเบาะนุ่มๆ เข้าไปในเพลิงแท้แปะติดลงบนพรมบิน ไม่เช่นนั้นสิ่งของเหล่านี้จะวางบนพรมบินไม่ได้ ถ้าเหาะเหินขึ้นมาคงเทกระจาดลงไปหมด
จัดการของวิเศษที่ใช้แทนการเดินเท้าเสร็จ จินเฟยเหยาก็ทำทงเทียนหรูอี้ที่สำคัญที่สุดของตนเอง
หล่อเลี้ยงทงเทียนหรูอี้ที่แตกเสียหายชิ้นนั้นจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว จินเฟยเหยาก็โยนพวกมันเข้าไปหลอมสร้างในเพลิงแท้อีกครั้ง จากนั้นนำใยทองมัดนั้นออกมา บอกว่ามัดหนึ่ง ที่จริงหยาบแค่นิ้วมือเท่านั้น ถ้าถักทอก็มีปริมาณพอทำเชือกทองเพียงสองเส้น
แต่มีเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว จินเฟยเหยาโยนใยทองทั้งหมดเข้าไปในเพลิงแท้ ภายใต้การหลอมสร้างของเพลิงแท้ ใยทองกลายเป็นของเหลวสีทองสองก้อน จากนั้นนางก็ผสานใยทองลงในทงเทียนหรูอี้อย่างระมัดระวัง สมดังเจตนา ทงเทียนหรูอี้อันโปร่งใสที่แฝงริ้วโลหิตนิดๆ มีลวดลายสีทองเพิ่มเข้ามา งดงามราวกับภาพวาดอย่างยิ่ง
นี่ทำให้จินเฟยเหยานึกถึงก้อนหินไร้ค่าชนิดหนึ่งที่โปร่งใสและมีลวดลายสีทอง ถึงแม้จะเพิ่มใยทองเข้าไป ทว่าต้องมีสิ่งอื่นเจือปน ยามนี้หยกจินกังที่ได้มาจากคฤหาสน์อีกแห่งของจอมมารหลงจึงมีประโยชน์อย่างยิ่ง
ผู้อื่นหลอมสร้างของวิเศษคราหนึ่งอย่างมากก็โยนหยกจินกังชิ้นสองชิ้นขนาดเท่าหินก้อนเล็กๆ เข้าไป ทว่าจินเฟยเหยากลับโยนก้อนเท่ากำปั้นเข้าไปอย่างตรงไปตรงมา หลังจากทงเทียนหรูอื้ถือกำเนิดใหม่ อานุภาพก็ยิ่งใหญ่และแข็งแรงทนทานยิ่งขึ้นกว่าเมื่อก่อน ยามเปลี่ยนเป็นสิ่งของที่เล็กละเอียดก็ไม่เสียหายง่ายๆ
มองดูของวิเศษและพลังการบำเพ็ญเพียรทั่วร่างของตนเอง ทั้งยังใช้ไฟนรกอย่างไรก็ไม่ต้องกังวลว่ากระดูกจะหัก จินเฟยเหยากระหยิ่มยินดีอย่างยิ่ง ถึงแม้อยู่ที่โลกระดับเทพ ตนเองยังมีพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำที่สุด แต่ก็ถือว่าร้ายกาจกว่าเมื่อก่อนมากนัก
ทันใดนั้น ชาถ้วยหนึ่งก็ยื่นมาเบื้องหน้านาง เกือบทำให้จินเฟยเหยาตกใจกลัว หลังจากเห็นคนที่ยกน้ำชามาให้ชัดเจน จินเฟยเหยาก็ถอนหายใจโล่งอก หยิบถ้วยชาขึ้นจากถาดน้ำชาแล้วอดเอ่ยปากไม่ได้ว่า “พี่สยง เวทหุ่นเชิดนี้น่ากลัวเกินไปจริงๆ ต่อไปข้าต้องเพิ่มความจำหน่อย จะได้ไม่ถูกทำให้ตกใจกลัว”
คนที่ยกน้ำชามาให้ไม่ใช่ต้านิว ทว่าเป็นเด็กหญิงอายุห้าหกขวบ สวมชุดกระโปรงยาว หน้าตางดงามน่ารัก แต่ขอเพียงมองให้ละเอียดจะพบว่านางยังมีความแตกต่างจากมนุษย์ที่แท้จริง
ที่จริงเส้นผมสีดำทำจากขนสัตว์สีดำ ส่วนผิวหนัง จินเฟยเหยาต้องค้นทั้งถุงเฉียนคุนจึงหาหนังสัตว์บางอย่างที่จำไม่ได้แล้วพบชิ้นหนึ่ง เนื่องจากสีสันใกล้เคียงกับเผ่ามนุษย์ ถึงแม้จะหยาบไปหน่อยแต่ก็ดีกว่าไม่มีมากนัก ดวงตางดงามที่ขยับได้คู่นั้นเป็นดวงตาที่จินเฟยเหยาเอามาจากร่างสัตว์ปิศาจตัวเล็กๆ ที่สังหารทิ้ง
สิ่งของที่ฟังดูแล้วไม่ค่อยจะน่ารักพวกนี้ประกอบกับกระดูกสัตว์ที่ผ่านการขัดเกลา คิดไม่ถึงว่าจะทำให้จินเฟยเหยาหลอมหุ่นเชิดที่เหมือนมนุษย์ออกมาได้ หลังสวมเสื้อผ้าให้นางและใส่การรับรู้เข้าไปในหุ่นเชิดตามวิธีในป้ายหยก หุ่นเชิดตัวนี้ก็เคลื่อนไหวได้เอง
เห็นสาวน้อยหุ่นเชิดตัวนี้กวาดเกาะลอยได้ ดูแลแปลงยาสมุนไพร และยังซักผ้าทำกับข้าว ตามคำสั่งที่เคยบอกเพียงครั้งเดียวในการรับรู้สายใยนั้น ก็ทำให้จินเฟยเหยายินดีเป็นล้นพ้น ถึงจะทำไม่อร่อยนัก แต่ก็ถือว่าไม่ต้องใช้คนควบคุม นางจึงหางานให้ตนเองทำ
เนื่องจากต้องดูแลเจ้ามดหนึ่งผนึกที่ไร้ประโยชน์ตัวนั้น จินเฟยเหยาจึงทำหุ่นเชิดอีกตัว สาวน้อยงดงามสองคนจึงยุ่งอยู่บนเกาะลอยได้เล็กๆ นี้โดยไม่ต้องพักผ่อนเลยสักนิด ทั้งยังไม่ดูแคลนตนเอง
เพื่อลดปัญหา จินเฟยเหยาจึงเรียกหุ่นเชิดที่ผูกเชือกสีเขียวบนศีรษะว่าเสี่ยวลวี่ ตัวที่ผูกเชือกสีแดงชื่อเสี่ยวหง เนื่องจากนางไม่ได้สวมเครื่องประดับเป็นเวลานาน หุ่นเชิดจึงได้แต่ยากจนตามนาง
ถึงแม้บางครั้งจินเฟยเหยาจะถูกพวกนางทำให้ตกใจเนื่องจากลืมไปว่าบนเกาะมีคนเช่นนี้อยู่สองคน ทว่ากลับปลดแอกต้านิว ตอนนี้มันไม่ต้องทำงานแล้ว ออกไปทางอุโมงค์เล็กๆ กับพั่งจื่อทั้งวัน วันนี้ได้สัตว์ปิศาจตัวหนึ่ง พรุ่งนี้แบกผลไม้ป่า ร่วงชั้นลงมาเป็นคนเสเพลโดยสมบูรณ์
หุ่นเชิดสองตัวนี้ใช้แล้วสบายใจอย่างยิ่ง จัดการบนเกาะได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มดหนึ่งผลึกตัวนั้นจึงถ่ายศิลาวิญญาณชั้นกลางก้อนแรกออกมาอย่างไม่ยอมล้าหลัง สิบวันครึ่งเดือนจึงถ่ายออกมาก้อนหนึ่ง แต่ก็ถือว่าก้าวหน้ามากกว่าเมื่อก่อนที่ถ่ายได้แค่ศิลาวิญญาณชั้นล่าง
ที่จริงจินเฟยเหยารู้สึกว่าตนเองน่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง เลี้ยงมดหนึ่งผลึกคือเรื่องที่ทำหรือไม่ทำก็ได้ แต่นางยังเลี้ยงมาตลอด ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องดูแลเอง ใครจะรังเกียจว่ามีศิลาวิญญาณมากไป
สบายใจนั้นสบายใจ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่ดี นั่นคือไม่มีประโยชน์ นอกจากเป็นบ่าวรับใช้จัดการเรื่องจิปาถะ หุ่นเชิดสองตัวนี้ก็ไม่มีความสามารถในการต่อสู้เลยสักนิด ในนั้นยังจดบันทึกหุ่นเชิดรูปร่างคนที่มีความสามารถด้านการต่อสู้ไว้หลายตัว แต่กู่หลิงซินคือของเล่นอะไร ของสิ่งนี้จินเฟยเหยาไม่เคยได้ยินมาก่อน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะไปหามาหลอมสร้างหุ่นเชิดต่อสู้
จินเฟยเหยาดื่มชาในมือหนึ่งคำก็จุปากเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าจะหวานเปรี้ยว ไม่รู้ว่าต้านิวใส่สิ่งใดลงในนั้นอีก จะดื่มแล้วตายหรือไม่”
ไม่รอให้นางดื่มอีกคำ พื้นดินพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นก้อนหินเหนือศีรษะพังทลายลงมา เศษศิลาแตกร่วงลงมาตามวงแสงของเกาะลอยได้ จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองข้างบนอย่างประหลาดใจ เห็นแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาจากในหินภูเขาที่พังทลาย สาดส่องจนนางอดหรี่ตาลงไม่ได้
หลังจากนางมองเห็นชัดเจน คิดไม่ถึงว่ายอดเขาถล่มลงมาทั้งหมด เกาะลอยได้เล็กๆ เผยโฉมออกมา ในมือของจินเฟยเหยายังถือถ้วยชา พั่งจื่อและต้านิวก็อ้าปากกว้างมองท้องฟ้า เสี่ยวหงและเสี่ยวลวี่ยังเดินไปมาทำงานอยู่บนเกาะดังเดิม
“มารร้าย รับความตายเสียเถอะ!” เสียงราวกับฟ้าผ่าดังขึ้นกลางอากาศ สั่นสะเทือนจนจินเฟยเหยาหูชา
นางมองดูอย่างละเอียด กลางอากาศมีผู้บำเพ็ญเซียนเกราะทองคนหนึ่ง รัศมีของเกราะทองบนร่างยังเสียดแทงนัยน์ตามากกว่าดวงอาทิตย์ด้านหลังเขา ต่อให้มองเห็นไม่ชัดเจนจินเฟยเหยาก็รู้ดี เจ้าหมอนี่คงไม่มีเจตนาดี ยิ่งมิใช่พลาดมาทำลายยอดเขาของตนเอง
จินเฟยเหยานำพั่งจื่อและต้านิวสาวเท้าออกมาจากเกาะลอยได้ จากนั้นพลิกมือเก็บเกาะลอยได้ ตอนนี้ในเกาะมีเสี่ยวหงกับเสี่ยวลวี่ จึงไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีคนดูแล
จากนั้นจินเฟยเหยาก็หรี่ตามองผู้บำเพ็ญเซียนกลางอากาศ พลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ช่วงต้น เรือนร่างสูงใหญ่อย่างยิ่ง ตลอดร่างสวมชุดเกราะสีทองเป็นประกาย แม้แต่ศีรษะก็สวมหมวกเกราะสีทอง มือถือกระบองมังกรเพลิง ตำแหน่งสามฉื่อด้านหน้ากระบอง มีแสงสีแดงกระพริบราวกับหินหลอมเหลว บวกกับกล้ามเนื้อมันวาวทั่วร่างของผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ทำให้คนรู้สึกว่าร้อนแรงจนทนไม่ได้
จินเฟยเหยาครุ่นคิด แล้วเอ่ยถามอย่างถือว่าเกรงใจ “ผู้อาวุโส ท่านกำลังหาสัตว์ปิศาจใดอยู่ใช่หรือไม่? ทำลายถ้ำเซียนของข้าแล้วก็ไม่เป็นไร โชคดีที่ไม่พลาดมาทำร้ายคน”
ใครจะรู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่เร่าร้อนคนนี้ใช้กระบองมังกรเพลิงชี้จินเฟยเหยา เอ่ยอย่างดุร้าย “มารร้าย ข้ามาหาเจ้าโดยเฉพาะ!”
“มาหาข้าทำไม?” จินเฟยเหยาเอ่ยปากถาม ดวงตาเริ่มมองพินิจรอบด้าน พบว่าคนผู้นี้มาเพียงคนเดียวไม่ได้พาผู้ช่วยมาจึงมีความกล้าขึ้นมาก
“เจ้ากลืนหยวนอิงต่อหน้าทุกคนที่เมืองซันจือในวันนั้น เป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายที่ไม่อาจอยู่ในเผ่ามนุษย์ได้ ข้าตามหาเจ้าอย่างลำบากลำบนมาสามปีก็เพื่อกำจัดเจ้า และชำระสำนักแทน!” ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้กระตือรือร้นดุจเปลวเพลิงจริงๆ ระหว่างที่พูดจา จินเฟยเหยารู้สึกได้ถึงไอร้อนที่พุ่งเข้ามาปะทะหน้า
ว่างเกินไปแล้ว! คิดว่าตนเองเป็นวีรบุรุษ คิดไม่ถึงว่าจะใช้เวลาสามปีมาตามหาตนเอง ทั้งยังมิใช่เพื่อเทาเที่ย จินเฟยเหยาบอกเขาด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้ “ผู้อาวุโส ข้าไม่รู้จักท่าน ใครจะรู้ว่าหยวนอิงนั่นเป็นคนรู้จักหรือญาติสนิทของท่าน ท่านไม่ไปค้นหาเผ่ามาร แต่กลับใช้เวลาสามปีมาตามหาข้า สิ้นเปลืองชีวิตมากเกินไปหรือไม่”
“ฮึ! มารร้าย เจ้าเล่ห์ให้มันน้อยๆ หน่อย ข้าจะให้เจ้าตายอย่างกระจ่างแจ้ง ข้าคือราชันอัคคีแดง หยวนเหมิ่ง! วันนี้มาเพื่อส่งเจ้ากลับแดนประจิม[1]ขณะที่เทาเที่ยในตัวเจ้ายังไม่โตเต็มวัย” หยวนเหมิ่งถลึงตาอย่างเดือดดาล ตลอดร่างเปล่งแสงสีทอง
หยวนเหมิ่ง? จินเฟยเหยาเอียงศีรษะครุ่นคิด คือคนที่อยู่อันดับหนึ่งบนผังสงครามวิญญาณมิใช่หรือ ได้ยินว่ามีนิสัยเจ้าอารมณ์ ชอบต่อสู้รักความยุติธรรม ทั้งยังใช้เคล็ดวิชาหยางบริสุทธิ์ทำลายเคล็ดวิชาชั่วร้ายนอกรีตโดยเฉพาะ เผ่ามารจำนวนมากล้วนตายด้วยน้ำมือของเขา อีกทั้งได้ยินว่าเจ้าหมอนี่ร้ายกาจยิ่ง
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?” จินเฟยเหยารู้ว่าต้องมีคนมากมายกำลังค้นหาตนเอง แต่ก็รู้สึกว่าซ่อนตัวได้ดีแล้ว ทำไมเขาจึงหาพบได้
“ฮึ! นกไท่หยางของข้าสามารถค้นหาสิ่งที่มีปราณชั่วร้ายทุกอย่างได้ ต่อให้เจ้าซ่อนตัวอยู่ในภูเขา แต่มีเทาเที่ยอยู่ในร่าง ข้าก็สามารถหาเจ้าพบเช่นเดียวกัน!” ระหว่างที่หยวนเหมิ่งเอ่ยวาจา นกตัวหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นจากแสงเพลิงออกมาบินวนกลางอากาศรอบหนึ่งราวกับสำแดงอานุภาพ
ได้ยินว่าเจ้าหมอนี่บ้าความรุนแรง อีกทั้งลงมือกับศัตรูอย่างอำมหิต จินเฟยเหยาก็ไม่พูดมากกับเขาอีก ทว่าคิดจะฉวยโอกาสหลบหนี นางเพิ่งบรรลุขั้นหลอมรวมช่วงกลาง เมื่อครู่ยังรู้สึกพึงพอใจในตนเองอยู่ เพียงพริบตา คิดไม่ถึงว่าจะต้องหลบหนีอีกแล้ว จินเฟยเหยาไม่พอใจอย่างยิ่ง หรือว่าจะไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมหลายคนมาให้ข้าได้แสดงอานุภาพสักหน่อย!
ทันใดนั้น จินเฟยเหยามองด้านหลังเขาแล้วร้องอย่างประหลาดใจ “ท่านคิดจะทำอะไร!”
หยวนเหมิ่งถูกสีหน้าของนางทำให้ตกใจ รีบหันหน้าไปดู กลับพบว่าด้านหลังไม่มีอะไรเลย ติดกับแล้ว! เขายังนึกว่ามีเผ่ามารระดับสูงอะไรเสียอีก จึงสามารถปรากฏตัวขึ้นด้านหลังตนเองได้โดยไร้เสียง
จริงเสียด้วย เมื่อเขาหันหน้ากลับมา จินเฟยเหยากลายเป็นไฟนรกหลบหนีไปแล้ว
“จะหนีไปที่ใด!” หยวนเหมิ่งพลิกกระบองมังกรทองในมือไปเสียบไว้ด้านหลัง คนก็กลายเป็นเปลวเพลิงพุ่งออกไป
เขาก็เป็นเวทเปลวเพลิงหลบหนี! จินเฟยเหยารีบถ่ายเทพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง คิดจะชิงหลบหนีออกไปก่อน ส่วนบนร่างหยวนเหมิ่งพลันมีเปลวเพลิงออกมา พอดีเป็นนกไท่หยางเมื่อครู่ มันพลันกู่ร้อง แบ่งเปลวเพลิงขุมหนึ่งออกมาให้ไปโอบล้อมจินเฟยเหยาจากอีกด้านหนึ่ง
เปลวเพลิงและน้ำแข็งเข้ากันไม่ได้! แลเห็นเปลวเพลิงที่ไล่ตามมาโจมตีด้านหลังเปลี่ยนเป็นสองสาย ทั้งยังกำลังกดดันเข้ามาใกล้ จินเฟยเหยาพลันหยุดร่างกลางคัน พอนางหันมา ไฟนรกสีดำในมือซึ่งแฝงความเย็นเยือกสุดขั้วก็พุ่งไปใส่หยวนเหมิ่ง
ส่วนทางด้านนกไท่หยาง จินเฟยเหยาโยนทงเทียนหรูอี้ออกไปฟันนกไท่หยางโดยตรง
ไฟนรกพุ่งออกไปโจมตีร่างที่กลายเป็นเปลวเพลิงของหยวนเหมิงทันที จินเฟยเหยาไม่ขอดับชีพหยวนเหมิ่งที่อยู่ขั้นกำเนิดใหม่ในหนึ่งกระบวนท่า เพียงหวังว่าจะทำร้ายหรือถ่วงเวลาเขาทำให้ตนเองหลบหนีได้ง่ายขึ้น ไฟนรกเป็นเปลวเพลิงที่ร้ายกาจกว่าเปลวเพลิงธรรมดาหลายเท่า ขอเพียงใช้เปลวเพลิงมาต่อกร ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ก็น่าจะจัดการได้
คิดเสียดิบดี ทว่าเรื่องจริงไม่เป็นไปตามที่นางคิด
เสียงเปรี๊ยะๆ ดังมาไม่หยุด ตรงที่ไฟนรกปะทะกับเปลวเพลิง ผลึกน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายออกมา จากนั้นก็ละลายเป็นไอสีขาวภายใต้อุณหภูมิสูงจัด จินเฟยเหยาประหลาดใจอย่างยิ่ง เนื่องจากความเร็วของหยวนเหมิ่งไม่ได้ลดลงภายใต้การโจมตีของไฟนรก ทว่ายังรักษาความเร็วสูงสุดสะอึกเข้าหา
เพียงพริบตา หยวนเหมิ่งก็ปราดมาถึงเบื้องหน้าจินเฟยเหยา ได้ยินเสียงสัมผัสคราหนึ่ง จินเฟยเหยาก็ถูกหยวนเหมิ่งซึ่งกลายร่างเป็นเปลวเพลิงชนกระเด็นออกไปทันที
ถึงแม้จะใช้ไฟนรกผนึกเป็นผลึกน้ำแข็งสกัดไว้แล้ว ทว่าไฟนรกที่สามารถแช่แข็งทุกสิ่งได้มาตลอดกลับล้มเหลว โล่ผลึกน้ำแข็งกลายเป็นเศษน้ำแข็งราวกับแก้วที่เปราะแตกง่ายและถูกเปลวเพลิงของหยวนเหมิ่งกวาดม้วนหายไปทั้งหมด
จินเฟยเหยาถูกเปลวเพลิงของหยวนเหมิ่งโจมตีโดน จึงพกพาความร้อนลวกสุดขีดทั่วร่าง กระแทกกับพื้นและกลิ้งออกไปหลายร้อยจั้ง
“ฮ่าๆๆ! เจ้านึกว่ามีไฟนรกที่เยียบเย็นสุดขีดก็จะไร้ผู้ต่อต้านหรือ! ข้าจะบอกให้ทุกสรรพสิ่งล้วนมีสิ่งที่เกื้อหนุนและสะกดข่มกัน เพลิงแท้ไท่หยางและร่างหยางบริสุทธิ์ของข้าก็คือสิ่งที่สะกดข่มเปลวเพลิงเย็นเยียบชนิดนี้ของเจ้าโดยเฉพาะ!” กลางท้องนภามีเสียงหัวเราะอย่างกระหยิ่มใจของหยวนเหมิ่งดังมา
จินเฟยเหยาม่านตาหดวูบ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในพริบตา
…………………………………….
[1] แดนประจิม หมายถึง สวรรค์ซึ่งเชื่อกันว่าอยู่ทางทิศตะวันตก