คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 266 สัตว์เฝ้าบ้าน
หลังจากหลงเอ่ยจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับหงที่อยู่ด้านข้างว่า “อย่าป้อนอาหารนางสุ่มสี่สุ่มห้า อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าวางแผนอะไร”
“ใต้เท้าหลง ท่านว่าข้าแบบนี้ได้อย่างไร ข้าไม่ได้อยากได้นางเสียหน่อย” คนทั้งสองสนทนากันทิ้งจินเฟยเหยาให้งุนงงแล้วเดินจากไป
“ทำอะไรน่ะ ประหลาด…” จินเฟยเหยายื่นมือไปลูบใบหน้าตามความเคยชิน พลันรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง
นางก้มหน้าลงมองแล้วตกตะลึงทันที เหตุใดแขนจึงกลายเป็นแบบนี้! นี่คือกรงเล็บสินะ? ดวงตากวาดมองไปที่ขา มือ และบนท้องอีก จินเฟยเหยาก็มีโทสะทันที
“อา! เกิดอะไรขึ้น!” จินเฟยเหยาร้องอย่างตื่นตระหนก นางพบว่าตนเองกลายเป็นสัตว์ปิศาจตัวหนึ่ง ตลอดร่างมีขนสีดำ ทั้งยังมีหาง พอใช้มือลูบยังคลำเจอเขาคู่หนึ่ง
จินเฟยเหยาแตกตื่นลนลาน จริงสิ! จอมมารหลงต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ นางรีบหมุนตัววิ่งไปยังทิศทางที่หลงเดินจากไป
“อุ๊ก!” รู้สึกว่าลำคอตึง จินเฟยเหยาหน้าคะมำลงไป พอหันหน้าไปมองดูอีกครั้งจึงพบว่ามีโซ่สีดำเป็นประกายเส้นหนึ่งผูกอยู่กับท่อนเหล็กด้านข้าง จากนั้นโซ่ก็ยาวมาจนถึงลำคอของตนเอง นางใช้กรงเล็บลูบ ก็คลำเจอปลอกคออันหนึ่ง
ตกตะลึงพรึงเพริด…
นี่คือเมืองตันหลิง ศูนย์กลางของดินแดนที่เผ่ามารยึดครอง บรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่ามารที่มีเรี่ยวแรงสัตว์ป่าให้ใช้ไม่หมดสิ้นขุดอุโมงค์บนภูเขาหินที่อยู่ไกลออกไป ใช้หินยักษ์กว้างหนึ่งจั้งสร้างเป็นกำแพงเมืองและคูเมืองอันแข็งแกร่ง รอบนอกล้อมด้วยกำแพงหินขนาดยักษ์ ด้านในเป็นทุ่งหญ้าและบ้านศิลาน้อยใหญ่ สถานที่ซึ่งหลงอาศัยอยู่คือด้านใน ด้านหน้าเป็นสนามหญ้ากว้างขวางผืนหนึ่ง ด้านหลังเป็นตำหนักศิลาสูงสามชั้น
ด้านล่างบันไดร้อยขั้นของตำหนักศิลา มีสัตว์เฝ้าบ้านอยู่ตัวหนึ่ง เนื่องจากล้ำค่าหายากเกินไปจึงมักจะดึงดูดความสนใจของคนเผ่ามาร
วันนี้มีคนเผ่ามารหลายคนมาห้อมล้อมอีก นอกจากล้อมวงดูก็ส่งเสียงเอะอะเอ็ดตะโรไม่หยุด “ให้เจ้ากินสิ่งนี้ แล้วร้องคำรามให้ฟังหน่อย” โยนกระดูกขาสัตว์ไม่ทราบชื่อท่อนหนึ่งมาเบื้องหน้าจินเฟยเหยา
จินเฟยเหยากำลังนอนหลับอยู่ตรงนั้น ไม่สนใจกระดูกขาสัตว์ชิ้นนี้เลยสักนิด แม้แต่หนังตาก็ยังไม่ยกขึ้น เรื่องที่ตนเองกลายเป็นเช่นนี้ ในที่สุดนางก็ได้ยินจากปากหง วันนั้นหลังจากจอมมารหลงกลับมาก็ไม่ได้พบหน้ามาตลอด ได้ยินว่าบาดเจ็บต้องไปปิดด่านกักตน
ตอนหงบอกยังถลึงตาใส่จินเฟยเหยาหลายครั้ง ราวกับเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะนาง ทว่านางกลับส่งเสียงขึ้นจมูกให้กับความคิดนี้ เห็นได้ชัดว่าไปเพื่อจับเทาเที่ย แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย
อีกทั้งเรื่องนางเป็นบุตรสาวของหลงแล้วตอนนี้กลายเป็นสัตว์เฝ้าประตู หงจึงมาถามนางโดยเฉพาะ มองสีหน้าโกรธแค้นของเขา จินเฟยเหยากลับแสยะยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าเอาหยวนอิงของเจ้าให้ข้ากิน ข้าจะครุ่นคิดเรื่องบอกเจ้า”
ทำให้หงมีโทสะจากไปเช่นนี้
จินเฟยเหยาไม่ใส่ใจพวกคนเผ่ามารที่มามุงดู หาวทีหนึ่งแล้วนอนหลับต่อ เฝ้าบ้านอะไรกัน ต่อให้มีโจรเข้าไป ข้าก็จะไม่ส่งเสียงสักแอะ
จินเฟยเหยาเดือดดาลอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าเทาเที่ยจะฉวยโอกาสนี้หนีออกมา นางกลับเข้าไปในการรับรู้เพื่อหาเรื่องเทาเที่ยโดยเฉพาะ ทว่าไม่รู้ว่าเจ้านี่ได้รับบาดเจ็บหนักเกินไปหรือกระทำผิด ทุกครั้งที่เข้าไปล้วนไม่เห็นเงาร่าง ทว่านางใช้การรับรู้ตรวจดูก็รู้สึกได้ว่ามันอยู่ในห้วงการรับรู้ชัดๆ เพียงแต่ซ่อนตัวไม่ยอมมาเจอคนเท่านั้น
ไม่รู้ว่าพั่งจื่อและต้านิวถูกกินในที่เกิดเหตุหรือไม่ น่าเสียดายถุงเฉียนคุนของข้า ในนั้นมีสิ่งของดีๆ จำนวนไม่น้อย ตอนนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย
ฟังจากที่หงบอก ดูเหมือนขณะที่ตนเองบรรลุขั้นกำเนิดใหม่จึงสามารถใช้เคล็ดวิชาทงเสินควบคุมเทาเที่ยได้ ถึงตอนนั้นจะสามารถเปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์ได้ อีกทั้งตามที่เล่ามาเคล็ดวิชาทงเสินถูกใส่ไว้ในเคล็ดวิชาสร้างร่างมารแต่แรกแล้ว นึกถึงเรื่องนี้ จินเฟยเหยาก็เดือดดาล เจ้าอยากสอนข้าก็บอกมา ซ่อนไว้ในเคล็ดวิชาสร้างร่างมารนับเป็นเรื่องใด!
หรือว่าก่อนขั้นกำเนิดใหม่ข้าต้องเฝ้าบ้านให้เจ้าหมอนี่? แต่คิดอีกทีหนึ่ง ถ้าเป็นแบบนี้เขาก็ต้องเลี้ยงข้า ข้าไม่ต้องไปหาตานสัตว์ปิศาจเอง พึ่งพาเจ้าหมอนี่ก็ได้ อีกทั้งตอนนี้เป็นช่วงที่ทั้งสองเผ่าสู้รบกัน คาดว่าคงได้จินตันและหยวนอิงมากมายมากิน พอคิดถึงตรงนี้ จินเฟยเหยาพลันรู้สึกว่าเฝ้าบ้านก็ถือเป็นเรื่องจริงจัง น่าจะไม่แตกต่างอะไรกับศิษย์เฝ้ายามของสำนักใหญ่
“เจ้าร้องหน่อยสิ ทำไมจึงไม่ร้อง”
“ขี้เกียจแทบตายแล้ว รีบขยับสิ พวกเรานำเนื้อติดกระดูกมาให้เจ้าด้วยนะ”
“ยังบอกว่าเป็นเทาเที่ยอีก เหตุใดจึงเกียจคร้านเหมือนสุกรเลย”
“น่าเบื่อจริงๆ”
รำคาญแทบตายแล้ว จินเฟยเหยาหรี่ตา มองผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่ามารขั้นกำเนิดใหม่หนึ่งคนและขั้นหลอมรวมสองคนที่อยู่ห่างไม่ถึงห้าก้าวเบื้องหน้า เจ้าพวกนี้แก่ขนาดนี้แล้วยังทำเรื่องเด็กๆ อีก ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงลุกขึ้นนั่ง อ้าปากหาว แล้วใช้กรงเล็บขยี้ตา
เห็นท่าทางของนางน่ารักไร้เดียงสา คนเผ่ามารทั้งสามก็อดยิ้มไม่ได้ พลันมีลมแรงพัดมา จินเฟยเหยาฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายไม่ทันระวังใช้ฝ่ามือตบคนทั้งสามลอยออกไป
เห็นคนทั้งสามกระอักโลหิตสดลอยออกไปสิบกว่าจั้งและ กระแทกบ้านศิลาสองชั้นทางด้านข้างพังทลาย พอเห็นแมลงวันน่ารังเกียจสามตัวถูกตบไปแล้ว จินเฟยเหยาก็หาวแล้วนอนลงอย่างเกียจคร้านอีกครั้ง
ในชั้นสามของบ้านศิลาด้านหลัง หงและหลงเห็นจินเฟยเหยาตบคนทั้งสามลอยไปพอดี จากนั้นก็นอนอาบแดดอย่างเกีบจคร้านอีกครั้ง หงอดเอ่ยปากไม่ได้ “ใต้เท้าหลง ดูเหมือนนางจะเคยชินกับการใช้ชีวิตเช่นนี้แล้ว ทั้งยังกินอย่างเดียวไม่ทำงาน และยังต้องการกินอาหารปรุงสุก กลายเป็นพวกเรารับใช้นางแทน นี่ไม่ถูกต้อง ไหนบอกว่านางกินตานสัตว์ปิศาจได้ ทำไมพวกเราต้องย่างเนื้อให้นางกินด้วย ยุ่งยากเกินไปแล้ว”
“เทาเที่ยยังไม่โตเต็มวัย กินตานสัตว์ปิศาจบำรุงได้แต่ไอปิศาจของมัน ส่วนความแข็งแกร่งของกายเนื้อยังต้องกินอาหารจำพวกเนื้อ ไม่เช่นนั้นหลังจากโตเต็มวัยจะเป็นเพียงเสือกระดาษ[1]ที่มีเวทมนตร์แข็งแกร่งเท่านั้น ต่อสู้ไม่อึด” หลงมองนางหลับพลางใช้หางไล่แมลงวันที่มารบกวน ถ้าไม่บอกไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าในนั้นจะเป็นคนที่มีสติปัญญา
ราวกับเห็นนางอยู่อย่างสบายเกินไป หลงชะงักไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “จะให้นางทำงานง่ายดายยิ่ง ขอเพียงยึดกุมอาหารของนางก็พอ”
“ข้าว่าท่าทางของนางเกียจคร้านแต่ในใจต้องมีโทสะ ให้ข้าควบคุมนางดีกว่า แบบนี้จะไม่ตายและยังทำงานโดยไม่ก่อเรื่องด้วย” หงหรี่ตายิ้มแย้มด้วยสีหน้าชั่วร้าย
หลงมองเขาแวบหนึ่ง “ข้าเคยบอกแล้ว นี่คือสิ่งของของข้า”
หงทำปากยื่น “ข้าแค่พูดเท่านั้น ถ้าท่านไม่ยอมก็ช่างเถอะ”
เป็นสัตว์ปิศาจที่กินแล้วนอนตัวหนึ่งสบายจริงๆ จินเฟยเหยาอาบแดด สัมผัสประสบการณ์ในการใช้ชีวิตของพั่งจื่อก่อนหน้านี้ เจ้าพั่งจื่อว่างจริงๆ ต่อไปต้องหางานให้มันทำ พอนางใช้ชีวิตแบบนี้จึงได้รู้ว่าพั่งจื่อวอนโดนอัด เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าสองตัวนั้นหนีไปที่ใดแล้ว ไม่แน่ว่าตอนนี้กำลังก่อหายนะให้อาปู้อยู่
ทันใดนั้น จินเฟยเหยารู้สึกคันจมูก พอลืมตาขึ้นมองก็พบว่าหงนั่งยองๆ อยู่ด้านข้างกำลังใช้กิ่งไม้เล็กๆ แหย่จมูกของนาง
“ท่านทำอะไรน่ะ? สังวรการกระทำหน่อยได้หรือไม่ ปกติเจ้ามีสีหน้าเย่อหยิ่งและท่าทางวอนโดนอัดนี่นา ตอนนี้มาแสร้งทำน่ารักไร้เดียงสาทำไม ไปเล่นตรงโน้นไป จะได้ไม่กระทบถึงการนอนของข้า” จินเฟยเหยากลอกตาใส่หง หลับตาลงคร้านจะสนใจเขา
สำหรับจอมมารที่ชื่อหงคนนี้ จินเฟยเหยารู้สึกอยากจะกระอักโลหิต ไม่รู้ว่าหลงให้กำเนิดเจ้าหมอนี่ใช่หรือไม่ ปกติดูเย่อหยิ่งสุดเปรียบปาน ดวงตางอกเงยอยู่บนหน้าผาก[2] แต่ขอเพียงเห็นหลงก็ไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย ใช้หมดทุกวิธีทั้งกระเง้ากระงอดและเล่นลูกไม้อย่างไร้ยางอาย น่าแปลกที่จอมมารใบหน้าเย็นชาอย่างหลงไม่รังเกียจเขา ปล่อยให้เขาตามทั้งวันอย่างขี้เกียจจะสลัดทิ้ง
จินเฟยเหยาคร้านจะสนใจเขา ทว่าหงกลับมายุ่งกับนาง เห็นจินเฟยเหยาหลับตาไม่สนใจเขา หงใช้กิ่งไม้แหย่รูจมูกและใบหน้าของจินเฟยเหยาอีก เนื่องจากกินมากเกินไปร่างเทาเที่ยของจินเฟยเหยาจึงอวบอ้วนยิ่ง ตลอดร่างอ้วนฟูและนุ่มนิ่ม จิ้มแล้วน่าสนุก
“ฟังไม่เข้าใจหรือ! ข้าบอกว่าอย่าก่อเรื่อง!” จินเฟยเหยาพลันลุกขึ้นใช้กรงเล็บตบหงคว่ำกับพื้น จากนั้นอ้าปากงับ
แข็ง! เนื้อของขั้นแปลงจิตไม่อร่อยขนาดนี้เลย จินเฟยเหยาเดือดดาลสุดขีด หากมิใช่ปลอกคอธาราสะกดไอปิศาจในร่างเทาเที่ยไว้ นางคงกินหงไปนานแล้ว
จินเฟยเหยาเห็นว่ากัดเนื้อของเขาไม่เข้า จึงใช้กรงเล็บแหลมคมตบอีกหลายครั้ง ทำเอาเสื้อคลุมยาวสีแดงดำของเขาขาดวิ่น จากนั้นจึงย้ายร่างหนักๆ ออกจากบนร่างของเขาแล้วใช้หางกวาดหงออกไป
“ยายสารเลว หากมิใช่เห็นแก่หน้าใต้เท้าหลง ข้าต้องถลกหนังดึงเส้นเอ็นเจ้าแน่ ขนก็จะเอามาทำพรม ให้ข้าเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าทุกวัน!” หงรู้ว่าจินเฟยเหยาถูกปลอกคอธารากักพลังปิศาจของเทาเที่ยไว้ ดังนั้นจึงกล้าหยอกล้อนางเล่นแบบนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกตบจนคว่ำ เวลานี้เปลือยกายนั่งอยู่บนพื้นชี้หน้าด่าทอจินเฟยเหยาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
จินเฟยเหยาย่อมรู้ว่าเขาไม่กล้าทำอะไรตนเอง นางรู้จักหลักเหตุผลที่ว่าจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์[3]ดี จึงเอียงหน้ามาส่งเสียงขึ้นจมูกให้หงแล้วนอนลงอย่างเกียจคร้านอีกครั้ง
“ใต้…ใต้เท้าหง ตรงนี้มีเสื้อผ้า เชิญท่าน...” หงกำลังมีโทสะ ด้านข้างพลันมีสตรีเผ่ามารขั้นหลอมรวมคนหนึ่งเดินถือเสื้อผ้ามาด้วยหน้าแดงก่ำและพูดจาติดๆ ขัดๆ หงลุกขึ้นยืนมองพินิจสตรีเบื้องหน้าอย่างเย่อหยิ่ง มองจนสตรีผู้นี้ใจเต้นรัว ฐานะและพลังการบำเพ็ญเพียรแตกต่างกันมากเกินไปจึงทำให้นางรู้สึกจิตใจไม่สงบภายใต้สายตาจับจ้องของหง
เห็นเขาเปลือยกายแล้วยังโอ้อวดรูปโฉมและบุคลิกลักษณะอีก จินเฟยเหยาจึงอดด่าทอไม่ได้ “ก้นโดนลมพัดแล้ว ยังเสแสร้งอะไรอีก”
หงถือเสียว่าไม่ได้ยินคำพูดของนาง บอกผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ไม่ใช่ชนชั้นสูงคนนั้นอย่างเย่อหยิ่งว่า “เจ้าถือเสื้อผ้าตามข้ากลับไป ปรนนิบัติข้าสวมใส่เถอะ”
“เจ้าค่ะ” สาวน้อยยินดีอย่างยิ่ง ตัดสินใจว่าอีกสักครู่จะตัดเขา
สาวน้อยโอบกอดเสื้อผ้าวิ่งตามหลังหง ตระเตรียมติดตามเขาไปพลีกาย
จินเฟยเหยากลับมองเงาหลังอันเรียบลื่นของหง แล้วเอ่ยอย่างเฉื่อยชา “ม้าตัวผู้[4]”
หงหยุดฝีเท้า หมุนตัวมากระโดดเข้าใส่ “วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าสักยกแทนใต้เท้าหลง”
จินเฟยเหยาพองขนทั่วร่างแล้วคำรามใส่เขา “ข้าไม่แสดงอานุภาพเจ้าก็เห็นว่าข้าเป็นแมวป่วยหรือ! บุรุษเปลือยอย่างเจ้า วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้รู้ว่าอะไรคือยางอาย!”
“อา! ใต้เท้าหง พวกท่านอย่าสู้กันอีกเลย!” สาวน้อยเห็นคนทั้งสองต่อสู้กันก็ได้แต่ตะโกนอย่างร้อนใจ
…………………………..
[1] เสือกระดาษ หมายถึง สิ่งที่ดูแล้วน่ากลัว แต่ที่จริงอ่อนแอทนการโจมตีไม่ได้
[2] ดวงตางอกเงยอยู่บนหน้าผาก หมายถึง เย่อหยิ่ง ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา
[3] จิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์ หมายถึง อาศัยอำนาจของผู้อื่นไปรังแกคน
[4] ม้าตัวผู้ หมายถึง บุรุษทรงเสน่ห์ที่มีหญิงสาวหลายคนคลั่งไคล้และพยายามจะเอาชนะใจเขา หรือ ผู้ชายที่มีความต้องการทางเพศสูง