คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 269 ปกป้องวิถีชีวิตของตนเอง
เปลืองคารมไปไม่น้อย จินเฟยเหยาจึงไล่เจ้าหมอนี่ไปได้
เห็นจู๋ซวีอู๋เดินจากไปพลางส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจ จินเฟยเหยาก็คร้านจะสนใจว่าเจ้าหมอนี่คิดได้ปรุโปร่งหรือไม่ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้กลายเป็นสัตว์ จากนั้นนางก็หาวหวอดอย่างเกียจคร้าน บิดก้นแล้วกระโดดขึ้นไปบนแท่นศิลา
ผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงของทั้งสองเผ่าหลายสิบคนบนแท่นศิลากำลังเจรจากันอย่างคึกคัก ทำสงครามคารมกันเรื่องแบ่งดินแดน เห็นจินเฟยเหยากระโดดขึ้นมากะทันหัน เผ่ามารนั้นไม่เป็นไร ทว่าคนเผ่ามนุษย์กลับตะลึงงัน หรือว่าเทาเที่ยหิวแล้วจึงขึ้นมาหาอาหารกิน?
จินเฟยเหยาขึ้นมามิใช่เพื่อหาของกิน ค้นหาในกลุ่มคนจึงพบหลง จากนั้นนางก็วิ่งไปหาอย่างร่าเริงและนอนหลับอยู่ด้านหลังหลง
นางว่างจนเบื่อหน่ายอยากจะนอน ทว่ามีคนรอบด้านมากเกินไป ไม่มีความรู้สึกปลอดภัยจึงนอนไม่หลับ คิดไปคิดมาจึงไปนอนหลับอยู่ข้างจอมมารหลง มีเขาเป็นโล่ย่อมหลับได้สนิท ใครให้เขาเป็นบิดาของข้าเล่า
จินเฟยเหยาไม่ได้ตระหนักเลยสักนิด นอนหลับไปอย่างเปิดเผย หลงย่อมต้องรับสายตามองมาตามมารยาทจำนวนนับไม่ถ้วน แต่เขาคือใคร เรื่องเช่นนี้เล็กน้อยจนไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
เห็นเขาเอนพิงบนหลังของจินเฟยเหยาอย่างเปิดเผย เอ่ยอย่างชืดชา “ถ้าทุกท่านไม่คัดค้าน ก็แบ่งตามความคิดที่พวกเราเสนอเถอะ”
“ไม่ได้ ที่เผ่ามารของพวกเจ้าต้องการล้วนเป็นดินแดนดีๆ แบ่งแบบนี้ไม่ได้!” หัวข้อสนทนาถูกเขาเบนกลับไปทันที การโต้เถียงอย่างคึกคักในที่นั้นเริ่มขึ้นอีกครั้ง
สุดท้ายผลลัพธ์เป็นอย่างไรจินเฟยเหยาก็ไม่รู้ นางหลับจริงๆ และฝันว่าตนเองแบกภูเขาขนาดใหญ่เดินบนทางภูเขาอันไร้ที่สิ้นสุดสายหนึ่ง ไม่ว่าเดินอย่างไรก็ดูเหมือนจะเดินไม่สุดทางเสียที เหน็ดเหนื่อยแทบตายจริงๆ
ตอนที่นางตื่นขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเต็มอก กลับเป็นเพราะนางถูกหลงลากจนตื่น เห็นตนเองถูกลากลงมาจากแท่นศิลา ร่างกระแทกลงมา จินเฟยเหยาก็คำรามอย่างไม่พอใจ ไม่ได้ตายเสียหน่อย ทำไมต้องลากไปด้วย ไม่ใช่ถุงกระสอบนะ
ก่อนกลับเรือกระดูก จินเฟยเหยาหันกลับไปมองพินิจทางเผ่ามนุษย์ หากมิใช่โชคดีบ้าๆ ตนเองสมควรอยู่ในกลุ่มมนุษย์ทางด้านนั้นจึงถูกต้อง เทาเที่ยที่น่าตาย ที่แท้ทำไมจึงเลือกมาโดนตนเองนะ!
ไม่รู้ว่าหลายคนในกลุ่มเผ่ามนุษย์ทางด้านนั้นมองตนเองด้วยความริษยาหรือโกรธแค้น บางทีอาจยังมีความเห็นใจ…
นางหันหน้ากลับมาขึ้นเรือกระดูกร้อยสรรพสัตว์อย่างสง่างาม นอนใช้กรงเล็บสางขนอยู่ด้านข้าง หูฟังคำสนทนาของพวกเขาราวกับมีเจตนาและไร้เจตนา
สุดท้ายคิดไม่ถึงว่าแบ่งดินแดนแบบนี้ เริ่มแบ่งจากตรงกลางฝ่ายละครึ่ง ไม่ว่าดินแดนจะใหญ่หรือเล็ก ดีหรือไม่ดี ถึงอย่างไรก็แบ่งคนละครึ่ง ทั้งสองฝ่ายห้ามข้ามไปดินแดนของอีกฝ่าย ส่วนโลกระดับเทพส่วนนอกก็คนละครึ่งเช่นกัน ส่วนสถานที่ห่วยๆ อย่างชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพ ใครอยากจะไปก็ไป ไม่ต้องแบ่ง แบ่งดินแดนเหมือนเด็กๆ แบบนี้คิดไม่ถึงว่ายังหารือกันอยู่นาน ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้กำลังทำอะไรอยู่
กลับถึงเมืองตันหลิง หลงไม่ได้ลากจินเฟยเหยากลับไปอุ่นตั่ง ทว่าโยนให้ไปเฝ้าประตูต่อ นี่ตรงกับใจจินเฟยเหยาพอดี เพียงแต่พลันนึกถึงเรื่องก่อนไปที่หลงบอกว่าต้องลดปริมาณอาหารลงครึ่งหนึ่ง นางรีบส่ายหางเอ่ยด้วยสีหน้าประจบประแจง “ใต้เท้าหลง ท่านจะจำกัดปริมาณอาหารของข้าจริงๆ หรือ อย่าทำแบบนี้สิ ถ้ากินไม่อิ่ม ผู้อื่นจะไม่โต ต่อไปจะช่วยท่านสังหารสัตว์ประหลาดกินคนไม่ได้นะ”
เห็นนางกระพริบตา ส่ายหางอย่างร่าเริง ถ้าเป็นสุนัขตัวหนึ่งเกรงว่ายังต้องแลบลิ้นด้วย หลงเงยหน้าขึ้นมองด้านหลังนาง เอ่ยเรียบๆ “กินต่อไปเถอะ”
เอ่ยจบเขาก็เดินจากไปอย่างวางอำนาจ ส่วนหงหรี่ตามองนางแวบหนึ่งจึงติดตามหลงจากไป “ใต้เท้าหลง ท่านเป็นคนดีจริงๆ” จินเฟยเหยาฉวยโอกาสประจบประแจง ถึงอย่างไรพูดจาดีๆ ก็ไม่ต้องเสียเงิน พูดมากหน่อยก็ไม่เป็นไร
จากนั้นพอนางหมุนตัวก็กลายเป็นหินในพริบตา สถานที่ซึ่งไม่ไกลจากด้านหลังนาง ไม่รู้ว่าปู้จื้อโหยวยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อใด ข้างกายยังมีกบสองตัวยืนอยู่และมองอย่างประหลาดใจ
อารมณ์ของจินเฟยเหยาในยามนี้กระอักกระอ่วนและย่ำแย่อย่างยิ่ง ปู้จื้อโหยวนั้นช่างเถอะ นางจ้องมองพั่งจื่อและต้านิว ถึงแม้พวกมันสองตัวจะมีท่าทางโง่งมดังเดิม แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จินเฟยเหยาจึงเห็นเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางโง่งม
ทันใดนั้น นางก็เห็นต้านิวมุมปากกระตุกราวกับคิดจะหัวเราะ ส่วนพั่งจื่อใบหน้าแปรเปลี่ยน มีรอยยิ้มชั่วร้ายทันที จินเฟยเหยาอับอายจนกลายเป็นโทสะ โก่งหลังพุ่งเข้าใส่พวกเขา
“อา อับอายจนกลายเป็นโทสะแล้ว” ปู้จื้อโหยวอุทานอย่างตกตะลึง พริบตาก็หายไปจากที่เดิมกลับเข้ามุกเทียนจี้ของเขา ส่วนพั่งจื่อและต้านิวไม่มีที่หลบจึงถูกจินเฟยเหยาใช้ฝ่ามือตบลอยออกไป
แต่นางใช้ระดับแรงไม่มากนัก แค่เนื่องจากเข้าหน้าไม่ติดจึงระบายโทสะกับพวกมันเท่านั้น
“ฮ่าๆๆ! น่าขำแทบตายแล้ว เจ้าเล่นลูกไม้อะไรน่ะ คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นสุนัข” ปู้จื้อโหยวนั่งบนพื้น ชี้ปลอกคอธาราที่ห้อยไว้บนลำคอของจินเฟยเหยาแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
พั่งจื่อและต้านิวก็นั่งอยู่ข้างเขาและกลั้นหัวเราะในใจ หนึ่งคนสองกบนั่งหัวเราะนางอยู่ตรงนั้น
สีหน้าของจินเฟยเหยาไม่ดีอย่างยิ่ง นางเอ่ยอย่างจริงจัง “นี่คือเทาเที่ยในสัตว์ร้ายทั้งสี่ ขอร้องล่ะพวกเจ้ามองให้ชัดเจนหน่อย นี่ไม่ใช่สุนัข”
“เจ้าจะเป็นอะไรก็ตามใจ น่าขำแทบตายแล้ว ท่าทางประจบประแจงของเจ้าเมื่อครู่ น่าขำจริงๆ” ปู้จื้อโหยวยังหัวเราะอีก ทำให้จินเฟยเหยาไม่เข้าใจ เจ้าหมอนี่มาทำอะไรกันแน่ จริงจังหน่อยได้หรือไม่
“ท่าทางเจ้าจะอยู่ดีมีสุข กินจนอ้วนขนาดนี้ แต่ข้ารู้สึกว่าต่อไปเจ้าคงอยู่อย่างลำบาก ข้าได้ยินมานานแล้ว หลังจากตอนที่ท่านลุงรู้ว่าเจ้าบอกว่าเป็นบุตรสาวของเขาก็หัวเราะ ข้ายังนึกว่าหลังจากเจ้าถูกจับมาจะถูกเขาสังหารทิ้งตรงนั้นเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกลายเป็นสุนัขตัวโต ประจบได้ไม่เลว” ปู้จื้อโหยวหัวเราะพลางบอกเล่า
จินเฟยเหยามองท่าทางยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่นก็อยากจะฉีกหน้าของเขาจริงๆ
รออยู่นาน ในที่สุดปู้จื้อโหยวก็หัวเราะจนพอ เริ่มพูดธุระสำคัญ เขาชี้พั่งจื่อและต้านิวแล้วยิ้มตาหยีพลางเอ่ยว่า “หาเจ้าพบพอดี ข้าขอคืนเจ้าสองตัวนี้ให้เจ้า ถุงเฉียนคุนของเจ้าก็อยู่ที่พวกมัน จริงสิ ข้าดูในถุงเฉียนคุนของเจ้าแล้ว พวกกำไลเฉียนคุนเข้าไปไม่ได้ แต่โยนขยะในถุงของเจ้าทิ้งไปได้หรือไม่ ข้ายังพบเนื้อย่างที่บอกไม่ถูก ย่างจนดำปี๋ราวกับถ่าน ฝีมือทำอาหารของเจ้าย่ำแย่เกินไปแล้ว ของแบบนี้กินได้หรือ?”
“เจ้าจบสิ้นแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะบอกว่าเนื้อย่างที่ใต้เท้าหลงทำดำเหมือนถ่าน” จินเฟยเหยาปิดปากหัวเราะหึๆ
ปู้จื้อโหยวตะลึงงัน รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและเสยผม “ข้ายังมีธุระต้องทำ ข้าพากบกลับมาให้เจ้าแล้ว ข้าขอตัวก่อนล่ะ”
“นี่! เจ้ามีธุระด่วนอะไร เพิ่งอยู่ครู่เดียวก็จะไปแล้ว อีกทั้งตอนนี้ข้ามีสารรูปแบบนี้ เลี้ยงสัตว์ภูติไม่ได้ เจ้าช่วยข้าเลี้ยงต่อหน่อย!” เห็นเขาคิดจะหนีไปอย่างกะทันหัน จินเฟยเหยาก็ใช้กรงเล็บไปกดชายเสื้อของเขาไว้
ปู้จื้อโหยวดึงชายเสื้อไม่ออกจึงมองไปยังบ้านทางด้านข้าง หลังจากแน่ใจว่าหลงไม่ได้จ้องมองพวกเขาอยู่ จึงเอ่ยช้าๆ “ข้ายุ่งจริงๆ หยวนเหมิ่งที่เป็นอันดับหนึ่งของผังสงครามวิญญาณตายแล้ว ตอนนี้ข้าเลื่อนจากอันดับสิบเอ็ดมาเป็นอันดับสิบ ถือว่าเป็นคนดังแล้ว ทุกห้าสิบปีโลกวิญญาณเป่ยเฉินและโลกวิญญาณอื่นๆ จะจัดงานคบหาสหายทางเวทมนตร์ครั้งหนึ่ง สิบอันดับแรกของผังสงครามวิญญาณล้วนต้องไป เงินรางวัลสูงอย่างยิ่ง มีกระทั่งของวิเศษชั้นยอด ข้าย่อมต้องไปอย่างไม่เปิดเผยฐานะสักครา”
“ดีจริง ข้าก็อยากไป ที่จริงเผ่ามารที่ข้ากำจัดมากกว่าเจ้าเยอะนะ ทำไมบนผังสงครามวิญญาณจึงไม่มีชื่อของข้า” จินเฟยเหยาเอ่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“พี่สาว นั่นเจ้ากินไม่ใช่สังหาร ป้ายสงครามวิญญาณก็ไม่มี เจ้าขึ้นผังนักกินเถอะ อีกทั้งเจ้ายังกินเผ่ามนุษย์ไปไม่น้อย ถ้าจะขึ้นผังจริงๆ ทั้งผังวิญญาณและผังโลหิตล้วนมีชื่อของเจ้า” ปู้จื้อโหยวถลึงตาใส่นางอย่างอารมณ์ไม่ดี
จากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างเดือดดาลอีก “สัตว์ภูติสองตัวของเจ้ากินเก่งเกินไป ข้ายุ่งแทบตายทั้งวัน ยังต้องหาอาหารให้พวกมันกิน ข้าเลี้ยงไม่ไหวจริงๆ พอดีเจ้ากินฟรีดื่มฟรีอยู่ที่นี่ดูแล้วไม่เลว ขอคืนพวกมันให้เจ้า คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีคนยอมเลี้ยงสัตว์ภูติแบบนี้”
“อา!” คิดไม่ถึงว่าจะถูกรังเกียจเสียแล้ว จินเฟยเหยามองไปด้านข้าง พบว่าพั่งจื่อและต้านิวยืนอยู่ฝั่งตนเอง ต้านิวกำลังช่วยตนเองสางขน ส่วนพั่งจื่อนั่งอยู่ด้านข้างเริ่มเฝ้าบ้านแทนนางด้วยสีหน้าจริงจัง
เจ้าสารเลวสองตัวนี้
“เจ้าเป็นชนชั้นสูงเผ่ามารมิใช่หรือ? บ้านเจ้าร่ำรวยมีอำนาจขนาดนั้น เลี้ยงสัตว์ภูติสองตัวต้องบ่นว่าลำบากและหาข้ออ้างมาปฏิเสธด้วยหรือ” จินเฟยเหยาไม่พอใจ เจ้าเศรษฐีนี่ตระหนี่เกินไปแล้ว
ปู้จื้อโหยวมองนางอย่างประหลาดใจ “นั่นเป็นของท่านแม่ข้า กฎตระกูลของเผ่ามาร นอกจากผู้อาวุโสมอบให้ ไม่เช่นนั้นสิ่งของทั้งหมดล้วนต้องไปหามาเอง นอกจากผู้อาวุโสสิ้นลง ไม่เช่นนั้นอย่างมากที่สุดก็แค่ให้สถานที่อยู่อาศัยแก่เจ้า ไม่เช่นนั้นข้าจะเข้าร่วมงานคบหาสหายทางเวทมนตร์นั่นเพื่อให้ได้ของวิเศษชั้นยอดมารักษาชีวิตสักชิ้นหรือ”
“คิดไม่ถึงว่าเจ้ากับข้าจะเป็นยาจกเหมือนกัน” จินเฟยเหยามีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
“ยังมีเวลาห้าปี ข้าต้องยกระดับพลังการบำเพ็ญเพียรและเตรียมศรวิญญาณหน่อย คนพวกนั้นแต่ละคนร้ายกาจอย่างยิ่ง” ปู้จื้อโหยวเอ่ยยิ้มๆ
จินเฟยเหยามองไปรอบด้าน แล้วเอ่ยกระซิบ “ตอนเจ้าไปพาข้าไปด้วยได้หรือไม่ ข้าก็อยากเห็นว่าโลกวิญญาณอื่นๆ ว่าเป็นอย่างไร อีกทั้งท่านลุงของเจ้าก็น่ากลัวมาก ไม่แน่ว่าถ้าไม่พอใจเมื่อไรจะปาดข้าฉับ แต่ตอนนี้ยังไม่ต้องชั่วคราว อยู่ที่นี่มีกินมีดื่ม ข้าขออยู่สักหลายปีก่อน”
“เจ้า…” ปู้จื้อโหยวมองนางอย่างหมดวาจา อยากหลบหนียังคิดจะกินข้าวฟรีเพิ่มอีกหลายปี
“สิ่งนี้ให้เจ้า เจ้าคิดเอาเองเถอะ” ปู้จื้อโหยวฉวยโอกาสที่คนไม่ทันระวังป้องกัน โยนแผ่นหยกชิ้นหนึ่งลงบนพื้นอย่างกะทันหัน จินเฟยเหยายื่นกรงเล็บไปทับแผ่นหยกไว้ใต้ฝ่าเท้า
“นี่คือสิ่งใด?”
“เป็นวงเวทเล็กๆ หลายอัน ใช้สำหรับทำลายของวิเศษกักขังโดยเฉพาะ เจ้าคิดเอาเอง ตอนอยากจะหลบหนีก็ทำลายปลอกคอบนลำคอเอง”
“ใต้เท้าอาปู้ เจ้าใจร้ายมาก คิดไม่ถึงว่าจะให้ข้าหลบหนีเอง เจ้าลงมือก็ไม่ตายเสียหน่อย”
“ข้าไม่หาเรื่องใส่ตัวหรอก คนที่แอบมองคนอื่นอยู่บนคมหอกคมดาบอย่างข้า ถ้าไม่หัวไวสักหน่อยจะอยู่มาจนบัดนี้ได้หรือ?”
“ถ้าเจ้าไม่แอบมองความลับของผู้อื่นก็ไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนคมหอกคมดาบ เปลี่ยนนิสัยแย่ๆ ของเจ้าเสีย หน้าอกของภรรยาผู้อื่นจะใหญ่หรือไม่ใหญ่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
“เช่นนั้นเจ้าก็ควบคุมกระเพาะของเจ้าหน่อยเถอะ”
“…”