คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 270 ลุย
ใต้เท้าอาปู้ปรากฏตัวขึ้นครู่เดียวราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เขาทิ้งกบสองตัวไว้ ทักทายตามสบายแล้วหนีไปราวกับสายลม ไม่รู้ว่ายุ่งอะไรทั้งวัน
คิดจะเก็บแผ่นหยกซ่อน จินเฟยเหยาจึงพบว่าตนเองไม่มีที่ใส่ คิดนิดหนึ่ง นางก็โยนแผ่นหยกใส่ถุงเฉียนคุนบนคอต้านิว ส่วนพวกกำไลเฉียนคุนแค่ใช้ใส่สิ่งของเท่านั้น ไม่มีความสามารถในการเปลี่ยนขนาด ดังนั้นตอนนี้นางจึงไม่มีทางสวมบนมือได้
จินเฟยเหยาใช้กรงเล็บค้นถุงเฉียนคุน อดทอดถอนใจชมว่าตนเองโชคดีไม่ได้ เพลิงใหญ่ขนาดนั้นยังไม่ได้เผาถุงเฉียนคุนทิ้ง โชคดีจริงๆ มองพั่งจื่อและต้านิวทางด้านข้าง จินเฟยเหยาก็เอ่ยอย่างไม่พอใจ “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าสองคน คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนส่งกลับมา ถือว่าพวกเจ้าสองตัวโชคดี ที่นี่มีอาหารกินมีที่อยู่รับประกันว่าเลี้ยงพวกเจ้าสองตัวให้อ้วนท้วนได้”
“อ๊บ!” พั่งจื่อและต้านิวพร้อมใจกันร้องอย่างยินดี พวกมันทนปู้จื้อโหยวมามากพอแล้ว ติดตามเจ้าหมอนั่นลำบากกว่าติดตามจินเฟยเหยาอีก พอนึกถึงชีวิตเกือบหนึ่งปีมานี้พวกมันก็ระทมทุกข์
เมื่อสองเผ่าสู้รบอย่างรุนแรงก็ต้องปะปนเข้าสู่สนามรบเพื่อตรวจสอบของวิเศษแก่นชีวิตของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนหนึ่งว่าโจมตีอย่างไร ในกระโจมใหญ่ที่มีการเฝ้ายามอย่างเข้มงวดก็ต้องแนบร่างกับมุมผนังเพื่อแอบฟังข้อมูลทางการทหารหรือแอบฟังว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่าก่นด่าสหายร่วมสำนักอย่างไร
ครั้งที่แล้วยังแอบมองผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นแปลงจิตคนหนึ่งอาบน้ำเพียงเพื่อยืนยันว่านางมีปานแดงบนก้นหรือไม่ ต่อมาถูกผู้อื่นไล่ล่าอยู่สิบกว่าวัน วิ่งผ่านเกาะลอยได้เจ็ดเกาะจึงหนีรอดมาจากเงื้อมมือผู้บำเพ็ญเซียนสตรีด้วยโอกาสตายเก้ารอดหนึ่ง ใช้ชีวิตติดตามเจ้าวิปริตแบบนี้ยังลำบากกว่าติดตามยายโง่จินเฟยเหยาเสียอีก
กบสองตัวครุ่นคิด ถึงแม้ติดตามจินเฟยเหยาจะต้องหลบหนีสามวันสองคืนเช่นเดียวกัน ทว่าดีที่มีอาหารกินเยอะ และยังได้สำราญบ่อยๆ ไม่เหมือนปู้จื้อโหยว พาตนเองเข้าไปหาอันตรายแท้ๆ ทั้งยังเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายสูงที่ไม่ได้รับสิ่งตอบแทน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าต้องช่วยเขาหลบหนีแบบหิวไส้กิ่ว ไม่มีข้าวกินสองสามวัน
เมื่อหงออกมาจากบ้านหลง พลันพบว่าข้างจินเฟยเหยามีกบสีขาวสองตัวเพิ่มขึ้นมา เขาเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “นี่คือตัวอะไร คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรับเจ้าสองตัวนี้เป็นลูกสมุน?”
“นี่เป็นสัตว์ภูติของข้าในอดีต ตอนนี้มันหาข้าพบแล้ว ให้พวกมันรั้งอยู่เถอะ ถึงอย่างไรพวกมันก็กินน้อย ทั้งยังหน้าตาน่ารัก” จินเฟยเหยาเอ่ย
ได้ยินคำพูดของนาง หงก็กอดอกมองพินิจพวกมันสองตัว สายตาหลุกหลิกไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
จินเฟยเหยาสะบัดหางเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี “มีอะไรน่าดูกัน ไม่ใช่สัตว์ปิศาจขั้นสูงเสียหน่อย เจ้าเอาไปก็ไม่มีประโยชน์”
คิดๆ ดูแล้วก็ใช่ จากนั้นหงจึงลงนั่งยองๆ ดึงกรงเล็บของจินเฟยเหยามาดู จากนั้นก็ดึงขนและตบแผ่นหลังกว้าง เอ่ยพึมพำกับตนเองว่า “ขนไม่เลวเลยทีเดียว ถ้าถลกหนังมาทำหมอนอิง น่าจะพอไหว บางทีใต้เท้าหลงอาจจะชอบ”
“อ๊า! รีบปล่อยข้านะ!” หงร้องตะโกน จินเฟยเหยาพลันกระโดดขึ้นใช้ปากกัดศีรษะของเขา ทั้งสองคนด่าทอพลางทะเลาะกันอีก นอกจากบรรดาสตรีเผ่ามารเห็นใต้เท้าหงเสื่อมเสียภาพลักษณ์และเจ็บปวดอย่างยิ่งแล้ว ผู้ฝึกบำเพ็ญคนอื่นๆ ก็คร้านจะใส่ใจเจ้าบ้าสองคนนี้
หลังจากพั่งจื่อและต้านิวกลับมา ชีวิตของจินเฟยเหยาก็ดียิ่งขึ้น ตอนกินข้าวเสร็จแล้วอาบแดด ต้านิวก็ถือใบไม้มาพัดให้นาง ถึงแม้ว่าพั่งจื่อจะไม่ทำงาน แต่นอนหงายท้องอยู่ด้านข้างเบี่ยงเบนความแค้นของคนเผ่ามารได้
ขณะที่จินเฟยเหยานึกว่าตนเองจะใช้ชีวิตอย่างไร้ทุกข์ไร้กังวลจนถึงขั้นกำเนิดใหม่ ปิศาจร้ายก็ปรากฏตัวขึ้นอีก หลงสวมชุดเสื้อคลุมมังกรเหินสีดำยืนอยู่เบื้องหน้านางอีกครั้ง มองตัวกินจุสามตัว เขาก็เอ่ยอย่างเย็นชา “เปลี่ยนร่างให้ใหญ่ขึ้นแล้วตามข้าไป”
“เปลี่ยนร่างให้ใหญ่ขึ้น?” จินเฟยเหยาพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง มองเขาอย่างงุนงง
“ถ้าเจ้าไม่เปลี่ยนให้ใหญ่ขึ้น ตัวเล็กขนาดนี้ข้าจะขี่ได้อย่างไร ไม่ต้องใหญ่นักประมาณสองจั้งก็พอ ถ้าใหญ่เกินไปจะเดินในป่าไม่ได้” หลงมองนางอย่างเฉยชา ความหมายในดวงตาคือ เรื่องนี้เจ้าก็ไม่รู้ โง่งมจริงๆ
จินเฟยเหยามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านคิดจะขี่ข้า?”
“ทำไม เจ้ารู้สึกว่าเป็นหมอนอิงที่วิ่งไปทั่วไม่ได้กับเป็นพาหนะอย่างไหนจะสบายกว่ากัน?”
ข่มขู่ นี่คือการข่มขู่อย่างเปิดเผย! จินเฟยเหยาลุกขึ้นอย่างไม่ยินยอม สะบัดขนทั่วร่างผ่อนคลายกระดูก กำลังเตรียมจะเปลี่ยนขนาดให้ใหญ่ขึ้นก็ได้ยินหลงเอ่ยถามว่า “บนร่างเจ้ามีหมัดหรือ?”
“ไม่มี! ข้าอาบน้ำทุกวัน ไม่ชอบนั่งท่านก็ไปเหยียบของวิเศษสิ” จินเฟยเหยาหันหน้าไปคำรามใส่เขา แค่สะบัดขน จะมีหมัดอะไร
“เช่นนั้นหรือ?” หลงตอบอย่างเฉยชาดังเดิม
น่าโมโหแทบตายแล้ว เจ้าหมอนี่เห็นข้าใช้ชีวิตอยู่ดีมีสุขที่นี่เป็นที่ขัดตา ดังนั้นจึงจงใจหาเรื่องข้า จินเฟยเหยาไม่พอใจ เพียงแค้นที่ตนเองทำไมไม่มีหมัดสักหลายตัวจริงๆ เวลานี้หมัดจะได้กระโดดขึ้นร่างเขาพอดี ดูสิว่าเขาจะยังได้ใจอยู่หรือไม่
ภายใต้การจับจ้องอย่างเย็นชาของหลง ร่างของจินเฟยเหยาขยายเป็นสูงสองจั้งกว่า จากนั้นมือของหลงก็ดีดเบาๆ อานอันงดงามก็สวมอยู่บนหลังนาง
หลังสวมอานเสร็จ หลงกระโดดขึ้นนั่งอย่างสบายๆ จากนั้นก้มลงพยักหน้าให้พั่งจื่อและต้านิวที่ยืนเรียบร้อยราวกับหยกสลักสองชิ้น “พวกเจ้าสองตัวก็ขึ้นมา”
จินเฟยเหยาวิ่งเข้าไปในป่าและแค้นใจจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หลงนั่งบนหลังนางอย่างเอ้อระเหย ต้านิวมีท่าทางหวาดกลัวขณะรินน้ำชา ส่วนพั่งจื่อกลับโบกพัดให้เขาด้วยร่างแข็งทื่อ
“ข้าได้ยินว่าตอนแรกเจ้ากลับมาจากถิ่นยักษ์ตาเดียว เจ้าน่าจะรู้จักทาง ไปที่นั่นอีกครั้ง” หลงดื่มชาพลางสั่งการ ใต้เท้าหลง
“ที่นั่นอันตรายเกินไป ข้าพาท่านไปชมทะเลเมฆดีกว่า” จินเฟยเหยาไม่อยากไปชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพ ที่นั่นเต็มไปด้วยสัตว์ปิศาจขั้นเก้าวิ่งกันให้วุ่นน่ากลัวจริงๆ
“ข้าไม่รังเกียจที่จะเตะเจ้าลงจากบนทะเลเมฆ” หลงจิบชาเบาๆ เอ่ยอย่างชืดชา
“ถือว่าท่านอำมหิต” จินเฟยเหยาด่าทอ แบกหลงวิ่งไปชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพ
มีหลงนั่งบัญชาการ จินเฟยเหยาจึงมาถึงชายขอบของโลกระดับเทพส่วนนอกโดยไร้อุปสรรคตลอดทาง เพียงแต่ตำแหน่งไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วเท่านั้น นางหยุดอยู่ตรงชายขอบ มองม่านสายฟ้าบนทะเลเมฆเบื้องหน้าแล้วเอ่ยถามหลง “ใต้เท้าหลง ทำอย่างไรจึงข้ามม่านสายฟ้าฝั่งตรงข้ามได้?”
จินเฟยเหยาไม่คิดจะบอกว่าตอนนั้นตนเองข้ามมาอย่างไร ให้เจ้าหมอนี่คิดว่าเจอความลำบากแล้วล่าถอยไป ตนเองจะได้ไม่ต้องเคราะห์ร้ายแล่นไปยังชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพอีกรอบ
แต่หลงกลับทำลายแผนการของนาง เห็นเขานำร่มสีดำคันหนึ่งออกมาโยนขึ้นไป ร่มสีดำกางออกและลอยขึ้นเอง หมุนวนอยู่เหนือศีรษะและมีม่านแสงสีขาวชั้นหนึ่งร่วงลงมา บนร่มมีประกายสายฟ้ากระพริบนิดๆ ตามม่านแสงที่เปิดออก เห็นได้ชัดว่าเป็นของวิเศษชั้นบนที่มีคุณสมบัติสายฟ้า
“ไป” หลงเอ่ยเหมือนไม่มีเรื่องราวใดเมื่อเผชิญกับม่านสายฟ้า
ก็ได้ ข้าเชื่อว่าจะท่านจะไม่ไปตายเปล่า จินเฟยเหยากระโดดไปอย่างฝืนใจเชื่อมั่นและไม่แน่ใจ แสงสีดำใต้เท้าแลบแปลบปลาบก็เริ่มเดินกลางอากาศอย่างช้าๆ
เมื่ออยู่ห่างจากม่านสายฟ้าสองสามจั้ง จินเฟยเหยารู้สึกได้ว่าขนสีดำบนร่างของตนเองเริ่มลอยขึ้นเนื่องจากสายฟ้า นางกัดฟันคำรามครั้งหนึ่งบรรทุกหลงพุ่งข้ามม่านสายฟ้า
ฟ้าร้องฟ้าแลบอย่างรุนแรง ม่านสายฟ้าที่ทอดตัวลงมาถูกร่มสีดำชักนำไป ถึงแม้รอบด้านจะยังมีสายฟ้าตัดสลับกัน ทว่าจินเฟยเหยาก็ข้ามไปได้อย่างตื่นตระหนกแต่ไร้อันตราย เหินร่อนลงบนพื้นดินชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพ จินเฟยเหยาหันหน้ากลับไปมองม่านสายฟ้าแวบหนึ่ง ช่องนั้นปิดลงเองแล้ว ทว่าชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพยังมีฝนตกอย่างต่อเนื่องเหมือนในอดีตทำให้คนรู้สึกหดหู่
จินเฟยเหยาหาทิศทางแล้ววิ่งไปทางตะวันออก ตอนแรกนางมุ่งหน้ามาทางตะวันตกตลอดทางจึงพบไห่หลันอิน ตอนนี้กลับไปย่อมต้องไปทางตะวันออก อย่าเห็นว่านางอยู่ที่ชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพมาสามปีกว่า ที่จริงมีอยู่สองปีที่ไม่ได้ออกจากเกาะลอยได้ และหนึ่งปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในกระดองเต่า ชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพมีลักษณะเป็นอย่างไร นางไม่ทราบกระจ่างจริงๆ
ตอนนี้ไม่ต้องเดินอยู่ในกระดองเต่าอย่างหลบๆ ซ่อนๆ หยาดฝนก็ถูกม่านแสงของร่มสีดำกันไว้ข้างนอก บนหลังยังมีจอมมารขั้นว่างเปล่า ตลอดทางสามารถเดินช้าๆ ได้
จินเฟยเหยาเหลียวซ้ายแลขวาคิดจะหาหญ้าวิญญาณขั้นเทพในตำนาน ไม่เห็นหญ้าวิญญาณกลับเจอหอยทากสูงหนึ่งตัวคนกว่าจำนวนมากคลานอย่างเชื่องช้าในสายฝน พอพบความเคลื่อนไหวก็หยุดลงทันทีและหดตัวเข้าในข้างในทั้งหมด เปลือกแข็งทั่วร่างงอกหนามแหลมมีพิษขนาดยักษ์เต็มไปหมดเป็นการป้องกัน
คิดถึงฉากนี้จริงๆ ทำให้จินเฟยเหยาอดนึกถึงเรื่องในเวลานั้นไม่ได้ ที่จริงถ้าทุกคนต่างหลบอยู่ในเปลือกหอยทาก การบุกฝ่าชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพก็ไม่ใช่เรื่องยาก นั่นคืออะไร จินเฟยเหยาวิ่งไปวิ่งมาพลันหยุดลง ใต้รากไม้อันห่างไกลมีพืชที่เหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง หากมิใช่มันส่งกลิ่นหอมออกมาและยังมีปราณวิญญาณโอบล้อมก็เกือบจะพลาดไปเสียแล้ว
“หญ้าศิลาสวรรค์ เจ้าโชคดีไม่เลว นี่เป็นวัตถุดิบหลอมยาแดนสวรรค์” หลงก็สังเกตเห็นหญ้าศิลาสวรรค์ก้อนนั้น แต่กลับไม่รีบร้อนไปเด็ด ทว่าอธิบายให้จินเฟยเหยาฟังรอบหนึ่ง
จินเฟยเหยารู้จักยาแดนสวรรค์ นี่เป็นยาชนิดหนึ่งที่ให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่กิน เป็นยาวิญญาณทั่วไปที่ใช้สำหรับเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียร นางเพียงรู้จักยาแต่ไม่รู้ตำรับยา แต่สิ่งที่จินเฟยเหยาสนใจมากกว่าตำรับยาคือสิ่งนี้ขายได้กี่ศิลาวิญญาณ
เห็นหลงไม่เอ่ยวาจาและไม่มีความคิดจะเข้าไปเด็ด จินเฟยเหยาอดคาดเดาไม่ได้ หรือว่าเขาไม่ต้องกินยาแดนสวรรค์ ดังนั้นจึงไม่สนใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าให้เสียเปล่าเลยให้ข้าเด็ดมันไปเถอะ นางกำลังคิดจะสั่งให้พั่งจื่อนำกล่องหยกออกมาเด็ดหญ้าวิญญาณ ก็เห็นด้านหลังต้นไม้ข้างหลังหญ้าศิลาสวรรค์มีหัวจิ้งจอกสีขาวโผล่ออกมา จากนั้นก็เห็นจิ้งจอกแสงจันทร์ขั้นแปดตัวนี้วิ่งออกมาจากด้านหลังต้นไม้ มีร่างกายขนาดห้าจั้งกว่า จับจ้องจินเฟยเหยาด้วยสายตาดุร้าย
“หญ้าศิลาสวรรค์เป็นยาบำรุงที่ดีที่สุดของจิ้งจอกแสงจันทร์ ตั้งแต่หญ้าศิลาสวรรค์งอกออกมาก็จะมีจิ้งจอกแสงจันทร์ตัวหนึ่งอยู่ด้วย หลังจากหญ้าศิลาสวรรค์สุกงอมก็จะกินจนหมดแล้วพวกมันก็จะไปค้นหาหญ้าศิลาสวรรค์ต้นอื่นๆ อีก” เหนือศีรษะมีเสียงหลงดื่มน้ำชาพลางเอ่ยวาจาดังมา
จินเฟยเหยาได้แต่ถอยหลังไปหลายก้าว พลันนึกได้ว่าตอนนี้ตนเองก็เป็นสัตว์ปิศาจขั้นเก้าตัวหนึ่ง ถึงตอนนี้ร่างจะเล็กไปหน่อยทว่ายังมีพลังอยู่ เมื่อตระหนักถึงปัญหานี้นางก็อดคิดไม่ได้ หรือว่าหลงเรียกให้ตนเองมาที่นี่ไม่เพียงใช้เป็นพาหนะ ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งคือเรียกให้ข้ามาสังหารสัตว์ปิศาจ?
เพิ่งคิดเช่นนี้ ก็ได้ยินเสียงเอื่อยเฉื่อยของหลงลอยมา “ลุย กำจัดมัน”