คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 271 รสนิยมไม่เหมือนกัน
จินเฟยเหยาคำรามแล้วพุ่งเข้าใส่จิ้งจอกแสงจันทร์และระบายโทสะเต็มท้องลงบนตัวมัน ส่วนหลงเก็บอาน ยืนกางร่มสีดำมองการต่อสู้อยู่ด้านข้างอย่างสบายๆ
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วพึมพำกับตนเอง “อากาศของชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพ ทำให้คนรู้สึกไม่สบาย ฝนตกลงมาไม่หยุดเลย”
พั่งจื่อและต้านิวก็ยืนอยู่ด้านข้าง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าตามเขา หยาดฝนกระทบร่างของพวกมันอย่างต่อเนื่อง ไหลลงมาตามผิวหนังอันเรียบลื่นและร่วงหล่นลงพื้น
ข้าให้เจ้าปรากฏตัวหรือ ข้าให้เจ้าเห็นข้าเป็นสุนัขรับใช้หรือ ข้าให้เจ้าขี่ข้าหรือ จินเฟยเหยาคำรามอย่างเดือดดาล แม้แต่ทงเทียนหรูอี้ก็ไม่ใช้ วาดกรงเล็บอันแหลมคมตบจิ้งจอกแสงจันทร์ ระบายเพลิงโทสะที่พวยพุ่งลงบนจิ้งจอกแสงจันทร์ จิ้งจอกแสงจันทร์ถูกการโจมตีอันรุนแรงทำให้งุนงงไป นี่เป็นความแค้นสังหารบิดาชัดๆ อีกทั้งความเคลื่อนไหวยังรวดเร็วเกินไป คิดไม่ถึงว่าอาศัยระดับความว่องไวอันเลื่องชื่อของจิ้งจอกแสงจันทร์จะหลบการโจมตีของจินเฟยเหยาไม่พ้น
อย่างจินเฟยเหยาไม่ได้เรียกว่าการโจมตี แต่เป็นการทุบตีมันล้วนๆ หญ้าศิลาสวรรค์บ้าบออะไรก็ไม่สนใจ ก้มหน้าทุบตีอย่างบ้าคลั่ง คมวายุจันทราในวารีของจิ้งจอกแสงจันทร์ยังไม่ได้ปล่อยออกมาก็ถูกจินเฟยเหยาตบหลายครั้งจนคว่ำลงกับพื้น
จินเฟยเหยาเตะอย่างดุร้ายอีกที แล้วเหยียบขาของจิ้งจอกแสงจันทร์อย่างแรง ส่วนหญ้าศิลาสวรรค์ทางด้านข้างก็ถูกนางเหยียบย่ำจนกลายเป็นเศษซากผสมกับดินบนพื้นจนกลายเป็นก้อน กรงเล็บแล้วกรงเล็บเล่า จิ้งจอกแสงจันทร์ถูกผู้มาจากภายนอกทุบตีจนหลงเหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายอย่างงุนงง เห็นท้องฟ้ามีฝนโปรยปรายลงมาไม่หยุด มันก็งุนงงอยู่บ้าง เพียงเพื่อหญ้าศิลาสวรรค์ต้นหนึ่งจำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ?
“ดุร้ายจริงๆ…” หลงกางร่มมองจินเฟยเหยาทุบตีจิ้งจอกแสงจันทร์อย่างสงบนิ่ง รู้สึกว่าตนเองพบวิธีที่สามารถควบคุมเทาเที่ยให้ทำงานได้แทนที่จะทำพันธะสัญญาสัตว์ภูติ ทรมานมันก็พอ
จินเฟยเหยาสังหารจิ้งจอกแสงจันทร์แล้วนำตานสัตว์ปิศาจออกมา มองตานสัตว์ปิศาจสีขาวน้ำนมในมือ นางก็หัวเราะหึๆ ตอนนี้ร่างขยายใหญ่ขึ้น สามารถกินตานสัตว์ปิศาจที่ใหญ่กว่ากำปั้นคนสองเท่าพวกนี้ลงไปได้สบายๆ กินมากๆ หน่อยจะได้เลื่อนเป็นขั้นกำเนิดใหม่เร็วๆ จะได้หลุดพ้นจากเจ้าบ้าที่น่าชังคนนี้
กำลังเตรียมจะโยนตานสัตว์ปิศาจเข้าปาก ตานสัตว์ปิศาจพลันหายวับไปจากบนอุ้งเท้าของนาง “อ๊า!” จินเฟยเหยารีบหันไปมอง ตานสัตว์ปิศาจของจิ้งจอกแสงจันทร์ร่วงลงในมือของหลงแล้ว
หลงใช้มือชั่งน้ำหนักตานสัตว์ปิศาจเม็ดนี้ แล้วใช้มือเก็บตานสัตว์ปิศาจไป
“นี่เป็นของข้า ข้าเป็นคนฆ่านะ ท่านมีความละอายหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าจะแย่งสิ่งของของข้า” จินเฟยเหยาอ้าปากกว้างพุ่งเข้ามา ตัดสินใจจะกัดเจ้าหมอนี่ให้ตาย
หลงเพียงยกมือและดีดนิ้ว จินเฟยเหยาที่พุ่งมาถึงเบื้องหน้าถูกการโจมตีอันแข็งแกร่งดีดออกไป หยาดฝนที่โปรยลงมาถูกดีดออกไปเป็นรูปวงกลมอันน่ามองและสาดกระจายไปรอบด้านตามแนวขวาง
“ตัวเจ้าทั้งหมดเป็นของข้า สิ่งของที่ได้มาย่อมต้องเป็นของข้าทั้งหมด” หลงไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด มองจินเฟยเหยาถูกดีดลอยไปตกบนพื้นอย่างเงียบๆ
“ทางที่ดีอย่าให้โอกาสข้า ไม่เช่นนั้นข้าต้องจัดการท่านแน่” จินเฟยเหยาขนเปียกไปหมดทั้งตัว แบกหลงเดินในป่าต่อไป
คนที่รู้จักเบิกทางไล่สัตว์คือตนเองไม่ใช่หลงที่อยู่ด้านหลัง นางเริ่มแสดงลักษณะพิเศษของเทาเที่ย ใช้การได้ยินและการรับกลิ่นอันเฉียบคมหลีกเลี่ยงสัตว์ปิศาจอื่นๆ เพื่อให้สัตว์ปิศาจอื่นๆ หวาดกลัว จินเฟยเหยาจึงแผ่ไอมารทั่วร่างออกมา ไอมารสีดำเหล่านี้ค่อยๆ ออกมาจากร่างนางจนกระทั่งสูงสามสี่จั้ง
เดิมทีเทาเที่ยก็แตกต่างจากสัตว์ปิศาจอื่นๆ นางปลดปล่อยไอมารออกมาแบบนี้ สถานที่ที่เดินผ่านจะมีสัตว์ปิศาจระดับต่ำจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแย่งชิงกันหลบหนี พบสัตว์ปิศาจขั้นเก้าก็มองหน้ากันอย่างเดือดดาล คำรามข่มขู่อีกฝ่ายหลายครั้ง หลังจากประชันความแข็งแกร่ง อีกฝ่ายก็มักจะล่าถอยไปก่อน
“อ๊บๆ” เวลานี้พั่งจื่อกลับคืนสู่ความสดใส หลังจากเห็นจิ้งจอกแสงจันทร์ก็ไม่มีสัตว์ปิศาจใดกล้าปะทะซึ่งหน้า มันจึงทำใจกล้าประจบประแจงหลง
หลงฟังคำพูดของพั่งจื่อไม่เข้าใจ มองดูท่าทางของมันแล้วเอ่ยถามจินเฟยเหยา “มันกำลังร้องว่าอะไร?”
จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี “มันกำลังชมว่าท่านปราดเปรื่อง รู้ว่าแรงงานอย่างข้ามีความแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงใช้ข้ามาเบิกทาง ฉลาดมากจริงๆ”
“อ้อ สัตว์ภูติของเจ้าน่าสนใจมาก เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้จงใจแต่งเรื่องขึ้นเพื่อประจบข้า” หลงมองพินิจกบสองตัวนี้ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกน่าสนุก
“ถุย ข้าไม่มีความคิดจะประจบท่านหรอก ใครจะไปสนใจ” จินเฟยเหยาส่งเสียงถุยทางด้านข้างทีหนึ่งแล้วก้มหน้าเดินต่อไป
หลงใช้มือกระทุ้งศีรษะนาง นั่งพิงบนอานเอียงๆ พลางเอ่ยอย่างเฉยชา “เช่นนั้นหรือ? เมื่อครู่ไม่รู้ว่าใครกระดิกหางบอกว่าข้าหล่อเหลา สง่างาม และมีโฉมหน้าแห่งราชันเพื่อตานสัตว์ปิศาจเม็ดหนึ่ง”
จินเฟยเหยาเอ่ยตอบอย่างเย็นชา “ไม่รู้ว่าใคร เหลวไหลจริงๆ คำพูดจอมปลอมเช่นนี้ก็พูดออกมาได้ ใช้อำนาจคุกคามและผลประโยชน์หลอกล่อหน่อยก็เสื่อมทรามแล้ว ข้าขอดูแคลนนาง”
“ตอนกินอิ่มก็ปากแข็ง เช่นนั้นอีกเดี๋ยวจะมีคนบางคน ไม่ถูกสิ สัตว์บางตัวอย่าเสื่อมทรามตอนหิวก็แล้วกัน” หลงยื่นมือมาเหมือนไม่มีเรื่องราวใด ต้านิวที่อยู่ด้านข้างก็รินน้ำชาร้อนๆ มาให้ด้วยสีหน้าประจบเอาใจ
ต้านิวพั่งจื่อ…พวกเจ้าสองตัวคอยดูเถอะ ต่อไปข้าจะให้พวกเจ้าลากรถและล่าสัตว์ปิศาจ ไม่รักเอ็นดูพวกเจ้าแล้ว จินเฟยเหยามีโทสะจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สาปแช่งอย่างรุนแรงหนึ่งรอบ พลันนึกอะไรขึ้นได้ ดูเหมือนเมื่อก่อนตนเองจะเคยทรมานสัตว์จำพวกกบแบบนี้ ส่ายศีรษะอย่างแรง จินเฟยเหยาหัวเราะเสียงเย็นชา เป็นไปไม่ได้ ข้าดีต่อพวกพั่งจื่อมาก ไม่เคยทรมานมาก่อน ทั้งหมดเป็นภาพลวงตา
ต้องขอบคุณลักษณะพิเศษของเทาเที่ย ตอนนั้นใช้เวลาหนึ่งปีจึงเดินทางมาถึงจุดหมาย ตอนนี้จินเฟยเหยาใช้เวลาเพียงสามเดือนจึงเดินมาถึง นางเก็บไอปิศาจทั่วร่างและค่อยๆ เดินไปข้างหลุมยักษ์
ตอนนี้กลางดึกแล้ว ภายในหลุมยักษ์เต็มไปด้วยจุดแสงไฟกระพริบ ยักษ์ตาเดียวพวกนี้สร้างแม้กระทั่งบ้าน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงก่อกองไฟหลายกอง ในหลุมบางครั้งยังมีเสียงเอะอะที่ฟังไม่เข้าใจของยักษ์ตาเดียวดังมา และมีเสียงกินอาหารกร้วมๆ เป็นภาพอันอบอุ่นยิ่งนัก
“ท่านคงไม่โหดร้ายขนาดสังหารพวกเขาทั้งหมดนะ ข้าว่าพวกเขานอกจากตัวสูงใหญ่ก็ไม่ค่อยมีค่าเท่าไร ท่านใจโหดมือเหี้ยมจริงๆ” เพื่อไม่ให้แหวกหญ้าให้งูตื่น จินเฟยเหยาจึงหดเล็กจนมีขนาดครึ่งตัวคน พั่งจื่อและต้านิวก็หดเล็กลงนั่งอยู่บนหลังนาง สภาพเช่นนี้มองไม่ออกเลยว่าเป็นเจ้านายกับสัตว์ภูติ ทว่าเหมือนสัตว์ภูติสามตัวที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
หลงยังกางร่มสีดำคันนั้น นอกจากกันฝนยังสกัดกั้นไอมารบนร่างอีก เวลานี้เขากำลังมองจินเฟยเหยา “ตอนเจ้าพูดคำพูดเหล่านี้ ไม่ก้มหน้าลงมองดูตนเองบ้าง เจ้ามีคุณสมบัติมาว่าข้าหรือ?”
“ข้าเป็นคนดี โดยพื้นฐานแล้วไม่เคยทำเรื่องเลวร้าย” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างกินปูนร้อนท้อง
“อ้อ เช่นนั้นหรือ ฉวยโอกาสที่ฟ้ามืด พวกเราลงไปเถอะ” หลงตอบรับอย่างชืดชาประโยคหนึ่ง หิ้วจินเฟยเหยาแล้วบินร่อนลงในหลุม
ความรู้สึกถูกคนเมินเฉยเช่นนี้ น่าชังยิ่งนัก ในขณะที่จินเฟยเหยากำลังแค้นเคือง พวกเขาก็ร่อนลงถึงก้นหลุมแล้ว หลงยืนกางร่มสีดำอยู่ตรงนั้นอย่างเปิดเผย ไม่มีความคิดจะหาที่หลบซ่อนเลยสักนิด
“ยักษ์ตาเดียวมาแล้ว!” จินเฟยเหยารีบบอก ตามเสียงฝีเท้าหนักๆ ยักษ์ตาเดียวสูงสิบกว่าจั้งตนหนึ่งเดินผ่านข้างกายพวกเขาไป เท้าเปล่าที่เหยียบลงอยู่ห่างจากพวกเขาไม่ถึงหนึ่งจั้ง ทว่าราวกับตาบอด ยักษ์ตนนี้เดินผ่านไปราวกับเห็นจนชิน ไม่ได้กวาดตามองพวกเขาสักแวบ
จินเฟยเหยาซ่อนอยู่ด้านหลังหลงตามสัญชาตญาณ เห็นยักษ์ตาเดียวเดินผ่านไปก็โผล่ศีรษะออกมาเอ่ยวาจา “ที่แท้ยักษ์ตาเดียวสายตาแย่ขนาดนี้ ฟ้ามืดก็มองไม่เห็น”
“เจ้าลองเดินออกไปจากในร่มไร้ร่างสิ ดูว่าพวกเขาจะมองเห็นหรือไม่” หลงเอ่ย
“อา! ใต้เท้าหลง ท่านหมายความว่าทั้งหมดล้วนพึ่งพาร่มคันนี้ แม้แต่ยักษ์ตาเดียวก็มองไม่เห็นพวกเรา” จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองร่มที่เก็บสายฟ้ากลับเข้าไปคันนี้ ภายใต้เปลือกนอกที่ธรรมดาสามัญ คิดไม่ถึงว่าจะมีความเทพขนาดนี้
จินเฟยเหยาส่ายหางและใช้ศีรษะถูไถ “ใต้เท้าหลง ให้ข้าเล่นร่มคันนี้หน่อยนะ”
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าสมควรกลับคืนสู่ร่างมนุษย์โดยเร็ว” เห็นนางถูไถกับชุดยาวของตนเอง หลงพลันเอ่ยปากอย่างกะทันหัน
จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างงุนงง “เพราะเหตุใด?”
“เพราะเจ้ายิ่งไร้ยางอายมากขึ้นทุกที จนทลายขีดจำกัดสูงสุดของมนุษย์แล้ว” หลงสะบัดชุดยาวสีดำแล้วก้าวไปข้างหน้า
“…เชอะ” ส่งเสียงเชอะแล้วรีบติดตามไป
ไม่รู้ว่าหลงคิดจะทำอะไร แต่เห็นท่าทางของเขาคงมาขโมยของเสียแปดส่วน จินเฟยเหยาติดตามอยู่เบื้องหลังเขาอย่างดูแคลน พวกยักษ์ตาเดียวยากจนขนาดนี้ ขนาดเสื้อผ้ายังไม่มีจะสวมใส่ แค่พันด้วยหนังสัตว์ คิดไม่ถึงว่าจะมาขโมยสิ่งของของพวกเขา
ขณะที่เดินผ่านกระท่อมไม้หลังหนึ่ง ด้านในมีเสียงประหลาดดังมาราวกับมียักษ์ตาเดียวเพศเมียถูกทุบตี จินเฟยเหยาจึงมองเข้าไปในกระท่อมที่ไม่มีประตูหลังนั้นแล้วตกตะลึงทันที
“ใต้เท้าหลง ใต้เท้าหลงท่านรีบดูสิ พวกมันกำลังผสมพันธ์กัน ใหญ่มาก…” ขนาดของยักษ์ตาเดียวใหญ่มากจริงๆ สูงกว่าจินเฟยเหยาสามสี่สิบเท่า มองจากมุมที่นางอยู่ ฉากนี้น่าตกตะลึงเกินไปจริงๆ พั่งจื่อและต้านิวก็อ้าปากกว้างมองฉากนี้อย่างอึ้งๆ ราวกับหวาดกลัว
หลงไม่เอ่ยวาจา ลากปลอกคอของจินเฟยเหยาฉุดดึงนางไปจากประตูบ้านของผู้อื่น ส่วนจินเฟยเหยายังไม่ละความพยายาม ชี้ในกระท่อมแล้วเอ่ยไม่หยุด “ใต้เท้าหลง ท่านเห็นหรือไม่ นี่แตกต่างจากพวกสัตว์ปิศาจ เจ้าพวกนี้หน้าตาเหมือนมนุษย์ ข้าจำได้ว่าในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดใต้เท้าไหวมีอาหารจานหนึ่งเป็นเจ้าสิ่งนี้ หรือว่าท่านมาเพื่อเอาสิ่งนี้ ความอยากอาหารมากเกินไปกระมัง เจ้าสิ่งนี้ใหญ่มาก ข้าไม่กินหรอก ถ้าท่านจะกินก็กินเอง”
“โป๊ก!” เสียงจินเฟยเหยาเงียบไป บนศีรษะปูดขึ้นมาเป็นก้อนใหญ่ นางถูกใต้เท้าหลงตีอย่างแรง
จากนั้นหลงก็ลากเทาเที่ยวิปริตตัวนี้และเตะกบสองตัวที่ยังอ้าปากกว้างตัวละที หลังถูกเตะพั่งจื่อและต้านิวก็ได้สติคืนมา รีบช่วยหลงลากจินเฟยเหยาไปจากที่นี่
ส่วนจินเฟยเหยาที่ห้อยปลอกคอธาราบนคอและร่างถูกลากไปบนพื้นกลับยังไม่ยอมจบ “ข้าพูดถูกสินะ จึงทุบตีคน ที่จริงนี่เป็นเพียงปัญหาเรื่องรสนิยม ข้าไม่เคยเหยียดรสนิยมและขนบธรรมเนียมที่แตกต่างกันมาก่อน ท่านไม่จำเป็นต้องทุบตีข้า แค่มีให้กินก็พอแล้ว”
“โป๊ก!” เสียงหนักๆ ดังขึ้นอีก ครั้งนี้จินเฟยเหยาเงียบกริบโดยสมบูรณ์