คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 276 บาดเจ็บ
พอจินเฟยเหยาหันหน้ามามอง ก็เอ่ยอย่างตกตะลึงทันที “ใต้เท้าหลง ท่านเป็นแบบนี้แล้ว ยังทำให้ข้าตกใจอีก”
ชุดอาคมชั้นยอดบนตัวหลงเสียหาย ร่างเต็มไปด้วยบาดแผล ไม่รู้ว่าถูกฟ้าผ่าหรือถูกฟันมา โลหิตสดไหลออกมาจากศีรษะเขา ใบหน้าครึ่งซีกและทั่วร่างเต็มไปด้วยโลหิต ดูน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง อย่าเห็นว่าเขากระเซอะกระเซิงไปทั้งตัว ทว่ายังมีท่าทางยังเย็นชาและสงบนิ่งอย่างยิ่ง
“พวกเรากลับเมืองตันหลิง” หลงเอ่ยเรียบๆ
จินเฟยเหยาตะลึงงัน แต่ยังหดร่างให้ไม่ใหญ่นัก หลังสวมอานหลงก็ขึ้นนั่งและงีบหลับไป
ไม่รู้ว่าเขาสลบไปหรือไม่ จินเฟยเหยายืนอยู่ที่เดิมอย่างตัดสินใจไม่ได้อยู่บ้าง ครุ่นคิดว่าจะหนีไปตอนนี้ดีหรือไม่ นึกถึงการหลบหนี นางพลันนึกได้ว่าทำไมไม่เห็นพั่งจื่อและต้านิวเลย
“ทำไมจึงไม่ไป?” ในเวลานี้เอง หลงที่งีบหลับอยู่พลันเอ่ยปากถาม
โชคดีที่ไม่ได้โยนเขาทิ้งแล้วหนีไป ที่แท้เจ้าหมอนี่แค่พักผ่อน จินเฟยเหยารีบเอ่ยว่า “ข้ากำลังหากบสองตัวนั้น ไม่รู้ว่าหนีไปที่ใดแล้ว”
“ข้าเก็บไว้” พอหลงโยนเบาๆ พั่งจื่อและต้านิวก็ถูกโยนออกมาจากถุงสัตว์ภูติ
“ที่แท้ใต้เท้าหลงเก็บไว้ ทำให้คนซาบซึ้งจริงๆ” เห็นพั่งจื่อและต้านิวที่ผ่านประสบการณ์การต่อสู้ฉากนั้นกับจอมมารหลงแล้วหวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้านไม่หยุด จินเฟยเหยาได้แต่เอ่ยตรงข้ามกับใจ
“ไปเถอะ” ดูเหมือนหลงได้รับบาดเจ็บไม่เบา จึงไม่ค่อยอยากเอ่ยปากพูดจา
แต่จินเฟยเหยามีเรื่องต้องทำ นางโผล่หัวไปมองดูรอบด้านจากนั้นเอ่ยถามอย่างไม่ยอมตัดใจ “ใต้เท้าหลง ท่านพักอยู่ด้านข้างสักครู่ก่อนได้หรือไม่ ข้าจะไปเก็บกวาดสิ่งของของติงจั๋ว เขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นผสานร่าง ต้องมีของดีๆ ไม่น้อย ถ้าไม่เอาไปก็น่าเสียดาย”
“ไม่ต้องหาแล้ว ทุกอย่างระเบิดอยู่ในอัสนีสวรรค์ ที่แท้ไม่ยอมไปอยู่นานเพราะสาเหตุนี้” หลงเอ่ยอย่างเย็นชา
“หา!” จินเฟยเหยาตกตะลึง ไม่เหลือเลย!
ร่างจินเฟยเหยาแข็งทื่อทำให้หลงเข้าใจความคิดของนางทันที ดังนั้นเขาจึงเอ่ยเรียบๆ “สิ่งของของเขาระเบิดเสียหายหมด ข้าก็ไม่คิดว่าอานุภาพของอัสนีสวรรค์ที่มารวมกันจะมากมายปานนี้ กลับเมืองตันหลิงก่อน เอายาคืนชีพกลับสวรรค์ที่เจ้าเก็บไว้มาให้ข้า ข้าลืมไปว่าข้าหลอมแค่สองเม็ด”
จินเฟยเหยานึกเรื่องหลังจากนั้นไม่ออก เมื่อได้สติคืนมานางก็ห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่งอยู่บนเส้นทางไปเมืองตันหลิงแล้ว พั่งจื่อและต้านิวยืนอึ้งอยู่บนอานราวไก่ไม้ หลงกินยาคืนชีพกลับสวรรค์แล้วหลับตาพักผ่อน ถึงบาดแผลบนร่างจะใช้ยาคืนชีพกลับสวรรค์รักษาจนหายดี ทว่าพลังมารและการรับรู้ที่ผลาญใช้กลับได้แต่ค่อยๆ หล่อเลี้ยง
อีกทั้งการระเบิดของอัสนีสวรรค์ครานั้นก็ทำให้ห้วงการรับรู้ของเขาได้รับผลกระทบอย่างหนัก หากมิใช่ติงจั๋วบรรลุขั้นผสานร่างแต่ยังอยู่โลกระดับเทพไม่ไปโลกตู้เทียนก็คงไม่ถูกอัสนีสวรรค์ผ่า ต้องขอบคุณอัสนีสวรรค์เหล่านี้ ไม่เช่นนั้นหลงเชื่อว่าตนเองคงกำจัดติงจั๋วไม่ได้ เกรงว่าความแค้นนี้คงต้องรอตนเองบรรลุขั้นผสานร่างก่อนจึงชำระได้
จินเฟยเหยาได้รับความสะเทือนใจครั้งแล้วครั้งเล่า สองตามองเบื้องหน้าอย่างไร้ประกาย บรรทุกหลงวิ่งไปเมืองหลิงตันราวกับหุ่นเชิด หลงลืมตามองนางเป็นบางครั้ง ครู่หนึ่งก็หลับตาลงพักผ่อนต่อ
ศึกใหญ่เพิ่งจบได้สองปี ระหว่างสองเผ่าล้วนอยู่ในช่วงฟื้นฟูสันติภาพ ระหว่างทางปลอดภัยอย่างยิ่ง จินเฟยเหยาพาหลงกลับถึงเมืองตันหลิงอย่างรวดเร็ว หลังจากหลงสั่งคนเผ่ามารด้านล่างไม่ให้กำจัดอาหารนาง พั่งจื่อ และต้านิวก็กลับไปปิดด่านกักตนทันที
ชีวิตของผู้บำเพ็ญเซียนมักจะผ่านการออกจากด่านกักตนมาก่อเรื่องและปิดด่านกักตนซ้ำไปซ้ำมา
จินเฟยเหยาอยู่อย่างสงบเสงี่ยม กินๆ นอนๆ อาบแสงอาทิตย์ดังเดิม ตอนไม่มีอะไรก็ไปทำลายเสื้อผ้าหง
ทว่าในคืนหนึ่งที่มีพายุฝนฟ้าคะนองอีกสองเดือนถัดมา จินเฟยเหยาก็หายไปจากเมืองหลิงตัน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก หลังจากพบว่านางหายไปคนเผ่ามารด้านล่างจึงแจ้งหลงทันที อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสัตว์ภูติของหลง
หลงตีสีหน้าเย็นชาออกมาจากการปิดด่านกักตน ยืนอยู่ข้างเสาที่ล่ามจินเฟยเหยามาตลอด ปลอกคอธาราถูกพบในพงหญ้าใกล้ๆ เวลานี้ถูกบรรดาคนเผ่ามารที่หาพบนำมาวางไว้ที่นี่ ปลอกคออยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ได้ใช้กำลังทำลาย
ถ้าใช้กำลังทำให้ขาดหลงคงรู้นานแล้ว ไม่ต้องรอจนจินเฟยเหยาหายตัวไปคืนหนึ่งหรอก หลังจากคนด้านล่างมาแจ้งจึงรู้ เขามองสิ่งเหล่านี้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พลันพบอักษรบนเสาศิลา คนโกหก
นี่คือมันใช้กรงเล็บขูดบนเสาศิลาที่ล่ามมันไว้ ผู้อื่นล้วนไม่เข้าใจ จินเฟยเหยากินๆ นอนๆ ทั้งวันยังหลอกนางได้ ทว่าหลังจากมองดูใต้เท้าหลง ทุกคนก็นึกได้ คงไม่ใช้ใต้เท้าหลงไม่มีอะไรทำจึงเย้านางเล่น ล้อเล่นมากไป เทาเที่ยจึงมีโทสะจนหลบหนี
“ใต้เท้าหลง จะให้คนทั้งหมดออกไปตามหาหรือไม่ เพิ่งคืนเดียว นางน่าจะยังหนีไปได้ไม่ไกล” จินเฟยเหยาไม่มีคนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นต่อให้หนีไปก็ไม่มีคนต้องรับโทษ แต่นี่เป็นเรื่องร้ายแรง นางไม่ใช่สัตว์ปิศาจธรรมดา ทุกคนมองใต้เท้าหลง หวังว่าเขาอย่าได้เอาโทสะไปลงคนอื่น
“ไม่ต้องไปตามหา ขอเพียงนางยังต้องกินอาหารก็สามารถหานางพบได้ นางไม่กล้าไปชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพ นอกจากที่นี่นางก็ไม่มีที่อื่นให้ไป เผ่ามนุษย์รับนางไว้ไม่ได้หรอก” หลงเอ่ยอย่างเย็นชาแล้วสะบัดชายเสื้อจากไป
ทุกคนคิดไม่ถึงว่าเทาเที่ยที่นำกลับมาอย่างยากเย็นจะหนีไปแบบนี้ ยายนี่จะซ่อนตัวกินคนอยู่ในดินแดนเผ่ามารหรือไม่ คิดไปคิดมา ถึงแม้ใต้เท้าหลงบอกว่าไม่ต้องตามหา รอให้นางกลับมาเอง แต่เพื่อความปลอดภัย ค้นหาดูหน่อยดีกว่า
ดังนั้นพวกเขาจึงจับกลุ่มห้าคนหรือสิบคน เริ่มค้นหาที่อยู่ของเทาเที่ยอย่างละเอียดโดยมีเมืองตันหลิงเป็นศูนย์กลาง น่าเสียดาย ค้นหาอยู่หลายเดือน แทบจะพลิกแผ่นดินของเผ่ามารทั้งหมดรอบหนึ่งก็หาร่องรอยของเทาเที่ยไม่พบ ส่วนสายสืบที่ซ่อนตัวอยู่ในเผ่ามนุษย์ก็ไม่ได้ยินข่าวลือว่าพบเทาเที่ยในดินแดนเผ่ามนุษย์เลยสักนิด
หลังจากส่งข่าวพวกนี้ไปให้หลง หลงแค่เอ่ยอย่างเย็นชา “ข้ามีหลานชายคนหนึ่ง ขอเพียงให้ราคามากพอ ข่าวสารแบบใดก็ซื้อได้ทั้งนั้น”
หลังจากเผ่ามนุษย์เสียเมืองซันจือไป เรือเหาะของเมืองวั่นเซียนสุ่ยก็ย้ายไปที่เมืองหลีฮวาซึ่งเป็นเมืองใหญ่อีกเมือง
นี่เป็นเมืองที่สร้างอยู่ในหุบเขา เนื่องจากรอบหุบเขาแห่งนี้มีต้นซานหลีงอกอยู่เต็มไปหมด ในหนึ่งปีมีแปดเดือนที่เมืองแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยกลีบดอกสีชมพูที่เบ่งบานของต้นซานหลี ดังนั้นจึงได้ชื่อนี้
เรือเหาะของเมืองวั่นเซียนสุ่ยมาถึงโลกระดับเทพเป็นเวลานาน งานซ่อมบำรุงชั่วคราวก็ใกล้เสร็จ ในไม่ช้าจะกลับเมืองวั่นเซียนสุ่ยแล้ว เนื่องจากเรื่องในครั้งนี้ มีผู้บำเพ็ญเซียนที่รุดมาจำนวนไม่น้อยต้องกลับไป ก่อนวันที่เรือจะออกเดินทาง ผู้บำเพ็ญเซียนที่เตรียมกลับโลกระดับวิญญาณต่างเร่งทำเวลา คิดจะล่าสังหารสัตว์ปิศาจที่นี่ให้มากหน่อยและค้นหาหญ้าวิญญาณมาขายหาศิลาวิญญาณ
ผู้บำเพ็ญเซียนในเมืองหลีฮวาจำนวนมากกว่ายามปกติถึงสองสามเท่า ศิษย์ของสำนักมากมายต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ รอกลับเมืองวั่นเซียนสุ่ยพร้อมกัน
คนของสำนักตงอวี้หวงก็รวมอยู่ในนี้ด้วย จู๋ซวีอู๋ฉวยโอกาสที่มีคนเยอะแยะร้านค้าแบกะดินมากมาย จึงเรียกให้ไป๋เจี่ยนจู๋ไปเดินเล่นเป็นเพื่อน เห็นจู๋ซวีอู๋มีท่าทางไม่ใส่ใจ คงจู๋โหย่วที่พูดน้อยมาตลอดจึงเอ่ยโน้มน้าว “อาจารย์ เทาเที่ยกินผู้บำเพ็ญเซียนไปมากมาย อยู่ในเผ่ามารก็ถือเป็นเรื่องดี สำนักหลิงเถี่ยวมีฮุ่นตุ้น[1] ก็เพียงแค่กักอยู่ในเขตต้องห้ามหลังภูเขา หลายร้อยปีไม่เห็นปล่อยออกมาเลยสักครั้ง”
“ฮุ่นตุ้น...สตรีที่อ่อนโยนคนนั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเปลี่ยนไปเป็นเช่นไร” จู๋ซวีอู๋นึกถึงเรื่องที่ทำให้คนสะเทือนใจขึ้นได้จึงถอนใจอย่างหดหู่
ไป๋เจี่ยนจู๋เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ซือจู่ นอกจากเทาเที่ย ในโลกระดับวิญญาณยังมีสัตว์ร้ายอื่นๆ อีกหรือ?”
จู๋ซวีอู๋พยักหน้ารับ “มีสิ สำนักหลิงเถี่ยวมีฮุ่นตุ้นตัวหนึ่ง ข้ารู้จักคนผู้นั้นก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นฮุ่นตุ้น เป็นสตรีที่อ่อนโยนอย่างยิ่ง ตอนนั้นข้ายังเป็นเพียงขั้นฝึกปราณ นางอยู่ขั้นหลอมรวมแล้ว ข้าพบนางตอนไปเล่นที่สำนักหลิงเถี่ยวเป็นเพื่อนอาจารย์”
“อ่อนโยนอย่างยิ่งจริงๆ จิตใจก็มีเมตตา สัตว์เลี้ยงธรรมดาหรือสัตว์ปิศาจเล็กๆ บาดเจ็บ นางก็รักษาบาดแผลให้พวกมัน หลังจากรักษาหายก็ปล่อยเป็นอิสระ คนที่อ่อนโยนมีเมตตาขนาดนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฮุ่นตุ้นที่ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วจึงมาเข้าร่างนาง ไม่รู้ว่านางไม่รู้เรื่องหรือไม่กล้าบอก ขณะที่นางเลื่อนเป็นขั้นกำเนิดใหม่ก็ถูกดวงจิตที่แยกออกมาของฮุ่นตุ้นกลืนกิน ได้ยินว่าตอนนี้บรรลุร่างเทพของฮุ่นตุ้นแล้ว นอกจากมีเสียงดนตรีดังออกมาจากเขตต้องห้ามหลังภูเขาของสำนักหลิงเถี่ยวทุกวัน ก็ไม่มีคนภายนอกเคยเห็นนางมานานแล้ว” จู๋ซวีอู๋สั่นศีรษะ ถอนหายใจยาวอย่างหาได้ยาก
ไป๋เจี่ยนจู๋ชะงักนิดหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ข้านึกว่ามีเพียงคนที่พฤติกรรมมีปัญหาจึงถูกร่างแยกของสัตว์ร้ายเลือกเสียอีก ที่แท้คนดีก็กลายเป็นสัตว์ร้ายได้? ขบคิดไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
“พฤติกรรมมีปัญหา?” จู๋ซวีอู๋ครุ่นคิด “นอกจากเถาอู้[2]ที่เมื่อหนึ่งพันปีก่อนถูกผู้บำเพ็ญเซียนล้อมปราบและสังหารตายเป็นเผ่ามารที่ชั่วร้ายแล้ว ดูเหมือนคนที่ฮุ่นตุ้นและเทาเที่ยเลือกล้วนไม่ใช่คนที่ชั่วร้าย ร่างแยกของฉยงฉียังไม่ปรากฏขึ้น และเป็นไปได้ว่าปรากฏขึ้นแล้วแต่ยังไม่มีคนรู้ อีกทั้งพอคำนวณดู ในสามคนมีสองคนเป็นเผ่ามนุษย์ นี่เป็นครั้งแรกที่เลือกเผ่ามารน้อยกว่าเผ่ามนุษย์”
“ซือจู่ การปรากฏตัวขึ้นของสัตว์ร้ายทั้งสี่มีกำหนดเวลาแน่ชัดหรือไม่?” ไป๋เจี่ยนจู๋รู้สึกว่าเรื่องนี้ประหลาดเกินไปจริงๆ ร่างแยกของสัตว์ร้ายเหล่านี้แล่นลงมาทำอะไร?
จู๋ซวีอู๋เอียงศีรษะครุ่นคิด “ดูเหมือนจะไม่มี บางครั้งหลายพันปีก็ไม่มี บางครั้งก็ปรากฏเป็นโขยง เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ชัดเจน”
คนทั้งสามพูดคุยกันแบบนี้ค่อยๆ เดินบนถนนที่มีคนคราคร่ำ จู๋ซวีอู๋พลันพบว่าเท้าเหยียบโดนบางสิ่ง มีเสียงสัตว์ร้องอย่างไม่พอใจขึ้น จู๋ซวีอู๋ก้มหน้ามองพบว่าตนเองเหยียบขาสุนัขตัวหนึ่ง
สุนัขตัวนี้ไม่ใหญ่นัก สูงประมาณสามฉื่อ มีขนสีดำมันปลาบทั้งตัว ท่าทางเฉลียวฉลาด บนร่างมีปราณวิญญาณจางๆ น่าจะไม่ใช่สุนัขธรรมดา แต่กลับดูสายพันธุ์ไม่ออก
อีกทั้งเจ้านายของสุนัขตัวนี้ต้องเป็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่น่าเบื่อคนหนึ่งแน่ เนื่องจากบนร่างของสุนัขตัวนี้มีแถบผ้าพันไว้ราวกับสวมเสื้อผ้าให้สุนัข วัสดุตัดเย็บยังเป็นลายดอกไม้เล็กๆ สีชมพู แต่งตัวสุนัขจนกลายเป็นเช่นนี้ มีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่หยาดเยิ้มพวกนั้นจึงกระทำ
“โฮ่งๆ!” สุนัขสีดำตัวนี้ยกเท้าที่ถูกจู๋ซวีอู๋เหยียบแล้วเห่าใส่เขาหลายครั้งอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็มุดหายไปในฝูงชน
จู๋ซวีอู๋ลูบศีรษะพลางเอ่ยยิ้มๆ “คิดไม่ถึงว่าจะถูกสุนัขด่าทอ”
……………………………..
[1] ฮุ่นตุ้น คือ หนึ่งในสี่สัตว์ร้ายตามตำนานจีน มีลักษณะเหมือนสุนัขขนาดยักษ์ รู้แจ้งในดนตรี
[2] เถาอู้ คือ หนึ่งในสัตว์ร้ายทั้งสี่ในตำนานจีน มีใบหน้ามนุษย์ ร่างเป็นเสือ มีเขี้ยวหมูป่า และหางยาว