คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 278 ราชันในหมู่สัตว์
ผู้บำเพ็ญเซียนบนเรือเหาะมีมากมายเกินไป สัตว์ภูติที่ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้นพามากินพื้นที่อย่างยิ่ง นางจึงเตรียมกลับห้องของตนเอง พอหันกายมาพลันพบว่าในสัตว์ภูติของตนเองมีสุนัขสีดำเพิ่มมาตัวหนึ่ง
“เด็กน้อย เจ้าตามข้ามาทำไม หรือว่าหลงทาง?” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้เห็นจินเฟยเหยาดวงตาก็เป็นประกาย รีบอุ้มนางแนบบนหน้าอกของตนเองอย่างรวดเร็ว
จินเฟยเหยาดิ้นรนอย่างเต็มกำลัง นางไม่สนใจหน้าอกของสตรีเลยสักนิด ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้รักสัตว์ภูติมาก เห็นจินเฟยเหยาดิ้นรนอย่างหนักจึงปล่อยนางลงพื้น จากนั้นย่อกายลงเอ่ยอย่างสนิทสนม “สวมชุดลายดอกด้วย เจ้าหลงทางใช่หรือไม่?”
จินเฟยเหยาเห็นนางยื่นมือมา บนนิ้วทั้งห้ามีพลังวิญญาณสีเหลืองจางๆ ก็รู้ว่านางคิดจะใช้เวทภาษาวิญญาณสนทนากับตนเองจึงหมุนตัวหลบ จากนั้นก็ทำท่าหวาดกลัว เวทภาษาวิญญาณเป็นเวทที่ไม่ถ่ายทอดคนนอกของสำนักโซ่วซิว ผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดาไม่เป็นเวทชนิดนี้ ได้ยินว่าฝึกปรือยุ่งยากอย่างยิ่ง
“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่แตะเจ้า เจ้ารีบกลับไปหาเจ้านายเถอะ” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีหดมือกลับแล้วเอ่ยกับจินเฟยเหยา แล้วหันกายนำสัตว์ภูติของตนเองจากไป
รอจนนางกลับมาถึงที่พักบนเรือของตนเอง หลังปิดประตูก็เห็นสุนัขสีดำตามมาด้วย มันนั่งอยู่บนพื้นกระดานกับสัตว์ทุกตัวและมองนางอย่างน่าสงสาร
“เจ้าเป็นสัตว์ภูติของใครกันแน่ เพราะเหตุใดจึงตามข้ามาตลอด” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีตั้งใจจะใช้เวทภาษาวิญญาณพูดคุยกับนาง แต่จินเฟยเหยากลับไม่ให้ความร่วมมือ พยายามหลบนางอย่างสุดชีวิต สัตว์หลัวซิงและสัตว์ปิศาจอื่นๆ อีกหลายตัวยื่นกรงเล็บมาตบนาง บีบคั้นจนจินเฟยเหยาต้องมุดเข้าไปใต้เตียงในห้อง เป็นตายก็ไม่ยอมออกมา
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีถอนหายใจ ได้แต่เอ่ยว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่นะ ข้าจะออกไปสอบถามหน่อยว่าเป็นสัตว์ภูติใคร คิดไม่ถึงว่าจะทิ้งสะเปะสะปะไว้ข้างนอก”
ประตูปิดลง จินเฟยเหยาก็กางหูมุดออกมาจากใต้เตียง นางเพิ่งออกมาก็มีสัตว์ภูติเจ็ดแปดตัวมาล้อมไว้โดยมีสัตว์หลัวซิงเป็นผู้นำ คิดจะสั่งสอนสัตว์ที่มาจากภายนอกสักหน่อย
“ข้าเคยบอกแล้วว่าจะจัดการพวกเจ้า” ท่าทางน่าสงสารของจินเฟยเหยาเมื่อครู่หายไปจนเกลี้ยง อ้าปากแยกเขี้ยวไอปิศาจทะลักออกมาเล็กน้อย
ไอปิศาจของเทาเที่ยลอยออกมา พวกสัตว์หลัวซิงตะลึงงันทันที จากนั้นเห็นสุนัขสีดำตัวนี้กระโดดขึ้นทุบตีพวกมัน จินเฟยเหยารู้ว่าสัตว์ภูติเหล่านี้ต้องเจอเจ้านายจึงต่อยส่วนท้องของพวกมัน ไม่แตะต้องส่วนหน้าเลยสักนิด
หมัดแล้วหมัดเล่า สัตว์ภูติเจ็ดแปดตัวถูกจินเฟยเหยาตบไม่กี่ครั้งก็คว่ำลงกับพื้น จากนั้นนางก็กระโดดขึ้นไปเหยียบบนหัวของสัตว์หลัวซิง ทงเทียนหรูอี้ลอยออกมากลายเป็นหนามยาวแหลมคมชิ้นหนึ่งหยุดลงบนม่านตาของสัตว์หลัวซิง จากนั้นนางก็ใช้ฝ่าเท้าเล็กๆ กดลงบนใบหน้าของสัตว์หลัวซิงแล้วเอ่ยอย่างดุร้าย “ไม่ดูเสียบ้างว่าข้าเป็นใคร คิดไม่ถึงว่าจะกล้าหาเรื่องข้า จะให้ข้าจิ้มดวงตาของเจ้าทะลุหรือไม่?”
ครั้งนี้จินเฟยเหยาไม่ได้ใช้เสียงเห่าโฮ่งๆ ทว่าใช้เสียงคนพูดกับมันโดยตรง สัตว์ภูติอย่างสัตว์หลัวซิง เคยทำสัญญาโลหิตมีความจงรักภักดีต่อเจ้านาย ต่อให้เผ่ามนุษย์คนอื่นๆ ร้ายกาจ พวกมันก็จะไม่ยอมสยบ
ทว่าจินเฟยเหยาไม่เหมือนกัน นางมีร่างเทาเที่ย ต่อให้เป็นดวงจิตเล็กๆ ที่แยกออกมาผนึกเป็นร่างก็ทำให้นางมีพลังสยบสัตว์ภูติอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางเป็นสัตว์ปิศาจขั้นเก้า ส่วนสัตว์หลัวซิงตัวนี้เพิ่งขั้นหก สัตว์หลัวซิงถูกจินเฟยเหยาข่มขู่ก็รีบส่ายหัวราวกับกลองป๋องแป๋ง
“ฮึ นับว่าพวกเจ้ายังรู้จักสถานการณ์ ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าเป็นลูกพี่ พวกเจ้าทั้งหมดต้องเชื่อฟังข้า” จินเฟยเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย
จากนั้นนางให้ทงเทียนหรูอี้เคลื่อนออกจากดวงตาของมัน นางกระโดดขึ้นบนเตียงแล้วมองพินิจห้องนี้ ห้องเล็กนิดเดียวมีแต่ประตูไม่มีหน้าต่าง ในห้องมีเพียงเตียงหนึ่งหลังและโต๊ะหนึ่งตัว เนื่องจากไม่มีหน้าต่าง ภายในห้องจึงมืดมาก บนโต๊ะมีตะเกียงหินแสงราตรีดวงหนึ่งวางไว้
นึกว่าห้องในเรือเหาะซึ่งภายนอกงดงามอลังการลำนี้จะหรูหราเพียงใด ผู้ใดจะรู้ว่าเป็นเช่นนี้ หรือว่าอาศัยอยู่ชั้นล่างสุดของเรือจะถูกปฏิบัติด้วยย่ำแย่ขนาดนี้
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นพินิจห้องโทรมๆ ฟังสัตว์ภูติที่อยู่เต็มห้องรายงานข้อมูลที่นางต้องการ “ที่แท้เจ้านายของพวกเจ้าชื่อลี่เหนียง ชื่อนี้ฟังดูเหมือนสตรีแต่งงานแล้ว” จินเฟยเหยาพยักหัวสุนัขแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัยอีกว่า “ในเมื่อเจ้านายของพวกเจ้าเป็นสำนักอันเที่ยงธรรม ทว่าการกระทำกำเริบเสิบสาน อีกทั้งข้าได้ยินคำพูดของพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ากินคน แบบนี้สมควรเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายมิใช่หรือ?”
ได้ยินคำพูดของนาง สัตว์ภูติเหล่านี้รีบเอ่ยแก้ต่างให้เจ้านายของตนเอง
“ไม่ใช่ เจ้านายไม่ใช่ผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย”
“พวกเราแค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่เคยกินคน”
“อีกทั้งพวกเราก็ไม่ใช่กำลังหลักในการโจมตี พี่หลง[1]ต่างหากที่เป็นยอดฝีมือในการโจมตีของเจ้านาย พวกเราไม่ได้กินคน”
“พี่หลงขั้นแปดแล้ว ร้ายกาจยิ่ง ติดตามอยู่ข้างกายของเจ้านายตลอด”
“ใช่ ต่อให้พวกเรากินคน ก็ได้แต่กินผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกสังหารแล้ว ไม่มีคนรู้หรอก” เสียงเล็กๆ ดังมา ทำให้สัตว์ภูติทุกตัวหันไปมองมัน
ที่แท้เป็นนกสือกงขั้นห้าตัวหนึ่ง มันกำลังเคี้ยวปากเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ข้าชอบกินดวงตา ถ้าพาผู้บำเพ็ญเซียนดูแลเรือคนนั้นมาและกินเขาได้ก็ดี”
“หุบปาก!” สัตว์หลัวซิงใช้อุ้งเท้าตบนกสือกง สัตว์ภูติอื่นๆ ก็พุ่งเข้าไปและฉวยโอกาสทุบตีมันหนึ่งยก
จินเฟยเหยาเห็นฉากนี้ก็ทอดถอนใจ ดูสิ สัตว์ภูติที่เคยทำสัญญาโลหิตนั้นไม่เหมือนกัน ไม่ว่าเมื่อไรก็คิดถึงผลประโยชน์ของเจ้านายเป็นอันดับแรก นึกถึงสัตว์ภูติที่ตนเองเลี้ยง ถ้าเจอแบบนี้ต้องแอบว่าร้ายตนเองไม่น้อย ทั้งยังมีสีหน้าดูแคลนแน่
“ทุกตัวหยุด พวกเจ้าทุบตีมันไปก็ไร้ประโยชน์ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่สนใจว่าเจ้านายของพวกเจ้าจะเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายหรือไม่” จินเฟยเหยาตวาดใส่พวกมันและเอ่ยต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าอยู่ที่นี่ไม่นานหรอก หลังจากลงเรือข้าจะจากไป ระหว่างนี้ถ้าพวกเจ้าเอาเรื่องข้าไปบอกลี่เหนียง ข้าจะกินทั้งเจ้านายและพวกเจ้าพร้อมกัน”
ในดวงตาสุนัขของนางเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร ไอแห่งความดุร้ายที่กินคนมานับไม่ถ้วนทำให้สัตว์ภูติเหล่านี้รู้สึกหวาดกลัวทันที เจ้านี่อันตรายเกินไป ต้องปกป้องเจ้านายไม่ให้ถูกมันกิน
จินเฟยเหยาเห็นพวกมันรู้จักสถานการณ์ก็พยักหน้า ขณะกำลังคิดจะพูดอะไรก็รู้สึกว่านอกประตูมีคน นางรีบมุดเข้าไปใต้เตียง
จากนั้นก็เห็นลี่เหนียงผลักประตูเข้ามา นางเห็นสัตว์ภูติทั้งหมดของตนเองยืนเป็นแถวอยู่หน้าเตียง ส่วนสุนัขสีดำตัวนั้นซ่อนตัวอยู่ด้านล่างและโผล่หัวเล็กๆ ออกมามองนาง สุนัขสีดำตัวเล็กยังร้องหงิงๆ อย่างน่าสงสาร มีท่าทางเสียใจที่ถูกสัตว์ภูติรังแก
ลี่เหนียงชี้สัตว์ภูติของตนเองแล้วเอ่ยอย่างจนใจ “ทำไมพวกเจ้าจึงเป็นแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าจะรังแกมัน”
บรรดาสัตว์ภูติได้รับความไม่เป็นธรรมสุดขีด ใครรังแกใครกันแน่! ร้ายกาจขนาดนั้นยังแสร้งทำท่าน่าสงสาร
“ด้านนอกมีผู้บำเพ็ญเซียนมากมาย ข้าสอบถามไปทั่วก็ไม่ได้ข่าวคราว เจ้าอยู่กับข้าที่นี่ก่อนดีกว่า เจ้าตัวน้อยที่น่าสงสาร หวาดกลัวจนกลายเป็นเช่นนี้” ลี่เหนียงถลึงตาใส่พวกสัตว์หลัวซิงหลายครั้งและบริภาษเสียงเข้มงวด “ถ้าพวกเจ้ารังแกมันอีก ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นดี” บรรดาสัตว์ภูติก้มหน้าลงอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม มีความทุกข์ก็บอกออกมาไม่ได้ เศร้าสลดอย่างหนัก
จากนั้นลี่เหนียงก็หยิบถุงเล็กๆ ออกมาจากถุงเฉียนคุน ล้วงสิ่งของขนาดลูกเหอเทาออกมาจากด้านใน สัตว์ภูติตัวใหญ่ให้สองเม็ด ตัวเล็กให้เม็ดหนึ่ง
สิ่งใด หรือว่าเป็นอาหารสัตว์? ข้าไม่สนใจหรอก จินเฟยเหยาเห็นพวกมันกินอาหารหมดอย่างดีอกดีใจก็หดหัวกลับเข้าไป
แต่ลี่เหนียงที่รักและห่วงใยสัตว์ภูติจะลืมนางได้อย่างไร จึงนำอาหารสัตว์วางบนพื้นและเอ่ยด้วยรอยยิ้มแฉ่ง “หมาน้อย นี่ให้เจ้า อร่อยนะ”
จินเฟยเหยาหลบอยู่ด้านล่างไม่ส่งเสียง ลี่เหนียงก็ไม่บีบบังคับให้ออกมากิน นางเดาว่าสุนัขวิญญาณตัวนี้ต้องเคยได้รับบาดแผล อย่างเช่นถูกเจ้านายทอดทิ้งหรือเจ้านายตายจึงหวาดระแวงคนอื่นอย่างหนัก ถ้าจะรับเลี้ยงมันต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
เวลานี้ภายนอกมีเสียงเคาะประตูดังมา “ศิษย์พี่ อาจารย์อาเรียกท่านไปพบ”
“มาแล้ว” ลี่เหนียงตอบรับ ปิดประตูแล้วเดินออกไป
พอนางไป จินเฟยเหยาก็วิ่งออกมา ใช้กรงเล็บเขี่ยอาหารสัตว์เม็ดนี้ ไม่มีความคิดจะกินเลยสักนิด
สัตว์ภูติสิบกว่าตัวมองนางอย่างน้ำลายไหล นกสือกงยังจุปากกลืนน้ำลาย “นี่เป็นอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ รสชาติดียิ่ง น่าเสียดายที่พวกเราได้กินวันละหนึ่งถึงสองเม็ดเท่านั้น เจ้ารีบกินเถอะ วางไว้นานจะไม่อร่อย”
จินเฟยเหยากลอกตาใส่มัน “ไม่ใช่อาหารเพิ่งปรุงเสร็จที่วางไว้นานจะเย็นชืดเสียหน่อย เห็นได้ชัดว่าหลอมเป็นอาหารแห้ง มีอะไรน่าอร่อยกัน หรือว่าลี่เหนียงไม่เคยให้พวกเจ้ากินอิ่ม?”
“กินอิ่ม? นั่นต้องใช้เนื้อสัตว์มากเพียงใด เจ้านายล่าสังหารสัตว์ปิศาจแล้วต้องให้พี่หลงกินก่อน ส่วนที่เหลือยังต้องหลอมเป็นอาหารสัตว์ ไม่มีส่วนเกินมาให้พวกเรา” สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณเหล่านี้เอ่ยด้วยสีหน้าอิจฉา
จินเฟยเหยาเหงื่อตกด้วยความอับอาย ลี่เหนียงยากจนขนาดนี้ยังเลี้ยงสัตว์ภูติเยอะแยะ นางตั้งใจจะนำเนื้อสัตว์ออกมาให้พวกมันกิน ทว่าทั้งหมดอยู่ในเกาะลอยได้ ที่นี่ไม่มีพื้นที่สิบหมู่ให้วางเกาะเล็กๆ นางจึงได้แต่ผลักอาหารสัตว์เม็ดนั้นมาถึงเบื้องหน้าพวกมัน “ข้าไม่กิน พวกเจ้ากินเถอะ”
“ลูกพี่ ท่านเอาอาหารให้พวกเราแล้วท่านจะกินอะไร คงไม่ได้คิดจะกินพวกเรานะ” นกสือกงกลืนน้ำลาย เอ่ยถามโดยไม่คิด
เห็นท่าทางของมัน จินเฟยเหยาก็รู้สึกว่าเหตุใดคำพูดของเจ้านี่จึงคุ้นหูขนาดนี้ ฟังน้ำเสียงและเนื้อหาแล้ววอนโดนอัดมาก
จินเฟยเหยาลุกขึ้นนั่ง ล้วงเข้าไปในแถบผ้าตรงหน้าอก หยิบตานสัตว์ปิศาจขั้นห้าเม็ดหนึ่งโยนใส่ปาก ภายใต้สายตาตกตะลึงของสัตว์ภูติเหล่านี้ นางเอ่ยอย่างวางมาด “นอกจากตานสัตว์ปิศาจและเนื้อมนุษย์ ข้าไม่กินอาหารอื่นๆ”
“ยอดเยี่ยมยิ่ง!” บรรดาสัตว์ภูติของลี่เหนียงดวงตาเป็นประกาย มองจินเฟยเหยาด้วยสีหน้าชื่นชมบูชา สุนัขสีดำตัวนี้เป็นราชันในหมู่สัตว์จริงๆ
จินเฟยเหยาสูดจมูกแล้วเหล่มองพวกมัน รู้สึกเห็นใจตนเองที่ตอนนี้ได้แต่รับความชื่นชมบูชาจากสัตว์ เห็นพวกมันจับจ้องอาหารสัตว์เม็ดนั้นอย่างน่าสงสาร นางก็ครุ่นคิดว่าในเมื่อเป็นลูกพี่ สมควรจะให้ผลประโยชน์แก่เจ้าพวกนี้สักหน่อยหรือไม่ อย่างน้อยก็ให้พวกมันได้กินอิ่มสักครั้ง ลี่เหนียงคนนี้ยากจนและยังต้องเลี้ยงสัตว์ภูติมากมาย