คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 91 ควบคุมการรับรู้
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ร่างอวบอ้วนยังไม่ยอมจากไป ตอนที่รู้สึกว่าใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว เขาก็เอ่ยปากอย่างเย็นชา “ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ไว้วางใจ เพียงแต่เกรงว่าพวกเจ้าจะมีธุระอยากไปจากสำนักเฉวียนเซียนกะทันหัน ดังนั้น พวกเจ้าต้องทิ้งการรับรู้เอาไว้สายหนึ่ง ตอนเริ่มการประลองจะคืนการรับรู้สายนี้ให้พวกเจ้า”
ในใจจินเฟยเหยาหนาวเหน็บ คิดไม่ถึงว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่จะต้องการการรับรู้ ถึงแม้จะเป็นเพียงการรับรู้สายใยหนึ่ง ทว่าเมื่ออยู่ในมือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ เพียงพอจะทำร้ายพวกเขาที่อยู่ไกลออกไปถึงพันหลี่ให้ได้รับบาดเจ็บหนักได้ ดังนั้น ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานล้วนเงียบงัน ไม่มีผู้ใดยอมมอบการรับรู้ของตนเองให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ทว่าเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ที่แข็งแกร่งกว่า พวกเขาไม่กล้าต่อต้านทันที ภายในห้องโถงหลักเงียบกริบเหมือนเป่าสาก
เห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเหล่านี้ต่างสงวนท่าที ชายชราร่างอ้วนก็หลุบตา เอ่ยช้าๆ “อย่าโทษว่าข้าไร้มโนธรรมล่ะ ตอนนี้มีสองทางให้เลือกเดิน ทางแรกคือทิ้งการรับรู้ไว้ อีกหนึ่งเดือนตามข้าไปแต่โดยดี พื้นที่ที่ได้มาจากการประลองของโลกระดับดิน สามารถแบ่งส่วนหนึ่งให้พวกเจ้าสร้างถ้ำเซียนของตนเองได้ ส่วนอีกทางหนึ่งง่ายดายยิ่ง พวกเจ้าไม่ต้องไปเข้าร่วมการประลองของโลกระดับดิน ทว่าต้องทิ้งจิตวิญญาณดั้งเดิมไว้ให้ข้า”
ทิ้งจิตวิญญาณดั้งเดิมไว้ หมายถึงจะเอาชีวิตมิใช่หรือ
จินเฟยเหยาอดขมวดคิ้วไม่ได้ เหตุใดสำนักเฉวียนเซียนจึงกระทำเรื่องเผด็จการเช่นนี้ ไม่ไปก็ฆ่าคน
ถึงแม้นางเข้าเกาะทองคำมาหลายปี ทว่าเมื่อเทียบกับคนที่อยู่มาหลายสิบปีจนถึงเกือบร้อยปีแล้วยังถือว่าเป็นผู้มาใหม่ นางแอบมองไปยังผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่อยู่มานานเหล่านั้น ถ้าพวกเขาไม่เป็นไร ก็แสดงว่าสำนักเฉวียนเซียนแค่ข่มขู่ ไม่กล้าสังหารผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากมายขนาดนี้จริงๆ
ทว่า ผลลัพธ์ทำให้จินเฟยเหยาต้องผิดหวังอย่างยิ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่มีวัยวุฒิเหล่านั้นต่างสีหน้าเขียวคล้ำ ขมวดคิ้วทั้งยังมีคนเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก ท่าทางเคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน ใจนางหล่นวูบ ดูท่าวันนี้ต้องทิ้งการรับรู้สายหนึ่งไว้ที่นี่เสียแล้ว
ต่อให้จินเฟยเหยามั่นใจในตนเองกว่านี้ก็ไม่เชื่อเรื่องเหลวไหลอันน่าขบขันที่ว่าตนเองจะสามารถหนีรอดจากเงื้อมมือของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ได้ และไม่ต้องเอ่ยถึงว่ายังมีผู้อาวุโสขั้นหลอมรวมของสำนักเฉวียนเซียนอีกสิบคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่กำลังมองพวกเขาราวกับพยัคฆ์จับจ้องเหยื่อ หลี่ว์เหนียงเนียงก็อยู่ในนั้นด้วย นางหลุบตามองต่ำไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
ต่อให้สมองทื่อเพียงใด จินเฟยเหยาก็ไม่คิดจะขอร้องอาจารย์ในนามที่พบหน้ากันเพียงสองครั้งคนนี้ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนอื่นๆ ก็อยู่ภายใต้นามของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมทั้งสิบท่านนี้เช่นเดียวกัน บรรดาคนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงกว่านาง ไม่มีใครสักคนส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากอาจารย์เหล่านี้
รอคอย รอคอยให้ใครออกมานำเป็นคนแรก จะหนีหรือทิ้งการรับรู้ไว้ ถ้าหนีไปอาจจะโลหิตสาดกระจายคาที่ ทิ้งการรับรู้ไว้อาจจะรอดชีวิต ต่อให้การรับรู้ถูกควบคุม ขอเพียงหนีได้รวดเร็ว หนีไปไกลมากพอก็สามารถรักษาชีวิตไว้ได้
ความรู้สึกถูกคนข่มขู่ช่างย่ำแย่ยิ่ง จินเฟยเหยาหลับตาพยายามทำให้อารมณ์ของตนเองสงบลง ในขณะนี้เอง ในฝูงชนมีคนเริ่มเคลื่อนไหว
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงปลายคนหนึ่งเดินออกมา ท่าทางเฉยชา ราวกับเรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา เห็นเขาเดินมาถึงเบื้องหน้า ประสานมือเอ่ยกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ร่างอ้วนว่า “ผู้อาวุโส ข้ายินดีเข้าร่วมการประลองของโลกระดับดิน”
“ได้ ดึงการรับรู้ของเจ้าออกมาสายใยหนึ่งไว้ในธงนี้ จากนั้นกลับไปเตรียมตัวได้” ชายชราร่างอ้วนพยักหน้านิดๆ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมแปลกหน้าคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก็เดินออกมา ในมือถือธงวายุขาวขังจิตอันหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนนั้นไม่ลังเลแม้แต่น้อย แบ่งการรับรู้ออกมาสายใยหนึ่งไปไว้ในธงวายุขาวขังจิตอย่างว่องไว ประสานมือแล้วจากไป
เห็นเขาจากไปเช่นนี้ จินเฟยเหยาพลันรู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องโถงหลักที่อึมครึมอย่างยิ่งผ่อนคลายลง เห็นทุกคนเป็นเช่นเดียวกัน ทั้งหมดรอให้มีคนทำลายความลังเลและการคุมเชิงนี้ก่อน
พอมีคนนำแล้วก็แตกต่างออกไป ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานต่างคิดได้ปรุโปร่ง ผู้บำเพ็ญเซียนเดินไปด้านหน้าทีละคน แบ่งการรับรู้ไว้ในธงวายุขาวขังจิต จินเฟยเหยาก็ตามหลังทุกคนไป ใส่การรับรู้ลงในธงวายุขาวขังจิตอย่างไม่เร็วไม่ช้า การรับรู้ที่ใส่ลงไปพอเข้าสู่ธงก็ราวกับศิลาจมลงสู่ทะเลลึก หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากส่งมอบการรับรู้ จินเฟยเหยาก็เดินออกจากห้องโถงหลักได้อย่างราบรื่น หันหน้าไปมองตำหนักทองที่เป็นประกายแห่งนี้ ในใจมีความรู้สึกซับซ้อน เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเซียนล้วนเต็มไปด้วยอันตราย ต่อไปจะไม่เข้าสู่สำนักใดๆ อีก เป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่มีอิสรเสรีดีกว่า
กลับมาถึงถ้ำเซียน จินเฟยเหยาครุ่นคิดอย่างละเอียด ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนถึงจะไป ตนเองต้องไปที่แม่น้ำอันมืดมิดใต้ดินสักรอบก่อนหรือไม่ ไม่แน่ว่าจะได้ของวิเศษอะไรกลับมา เพิ่มความแข็งแกร่งให้ตนเอง พอคิดถึงความยาวของแม่น้ำอันมืดมิดในแผนที่และการรับรู้ที่ตนเองทิ้งไว้ในธงวายุขาวขังจิต นางก็ลังเล ถ้าเจ้าพวกนั้นนึกว่านางหลบหนี เอาการรับรู้มาจัดการ ข้าก็ติดอยู่ในแม่น้ำอันมืดมิดจมน้ำตายพอดี จะทำอย่างไรเล่า อีกทั้งแม่น้ำอันมืดมิดสายนั้นนำไปสู่เมือง ต้องมีของดีๆ มากมายแน่ ถูกคนไล่ตามการรับรู้มา แย่งชิงของดีๆ ไปก็ไม่คุ้มแล้ว
คิดไปคิดมา สุดท้ายนางจึงตัดสินใจรอให้การประลองของโลกระดับดินครั้งนี้จบลง ตนเองนำการรับรู้สายใยนั้นกลับมา ปลีกตัวออกจากสำนักเฉวียนเซียน จากนั้นค่อยไปหาสมบัติในแม่น้ำอันมืดมิดสายนี้ภายใต้สภาวะปราศจากอภยันตรายในภายภาคหน้า
ในเมื่อเตรียมปลีกตัวออกจากสำนักเฉวียนเซียนหลังการประลองของโลกระดับดินสิ้นสุดลง ก็ต้องนำสิ่งของภายในถ้ำเซียนทั้งหมดไปด้วย พอคิดถึงตรงนี้นางก็กระหยิ่มยินดี โชคดีที่ตนเองไม่ได้เลียนเยี่ยงผู้บำเพ็ญเซียนชั้นสร้างฐานเหล่านั้นเช่าที่ปลูกหญ้าวิญญาณในสวนสมุนไพรของตำหนักทอง ไม่เช่นนั้นตนเองขุดพืชวิญญาณทั้งหมดไปด้วย คนตาบอดยังดูออกว่าไม่คิดจะกลับมาแล้ว
จัดเก็บสิ่งของกลับสะดวกสบาย ตอนนี้ภายในอ่างมายาจิ่งเทียนไม่ต้องเลี้ยงมดหนึ่งผลึกแล้ว สามารถโยนสิ่งของภายในถ้ำเซียนเข้าไปทั้งหมด ถือว่าใช้เป็นกระเป๋าเก็บของขนาดยักษ์ ประสบเรื่องราวเช่นนี้ จินเฟยเหยายังคิดจะเลี้ยงมดหนึ่งผลึกอีก ทว่าอาศัยแค่ทรายอุจจาระที่พั่งจื่อถ่ายออกมา เลี้ยงมดหนึ่งผลึกจำนวนมากเกินไปไม่ไหว ถึงขนาดตัวต้านิวจะใหญ่เท่าพั่งจื่อ ทว่ากลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นพั่งจื่อ โดยพื้นฐานยังเป็นกบผานอวิ๋นตัวหนึ่ง ถ่ายทรายแบบนั้นออกมาไม่ได้
ดังนั้นต่อไปนางเตรียมตัวเลี้ยงใหม่อีกตัว ป้อนยาให้มดหนึ่งผลึก หาวิธีให้มันเลื่อนขั้น
จินเฟยเหยาคิดจะทดลองเลี้ยงมดหนึ่งผลึกตัวเดียว ดูว่ามันสามารถเลื่อนขั้นได้หรือไม่ จากถ่ายศิลาวิญญาณชั้นล่างเปลี่ยนเป็นถ่ายศิลาวิญญาณชั้นกลาง จากนั้นค่อยถึงศิลาวิญญาณชั้นบน สุดท้ายก็เป็นศิลาวิญญาณชั้นยอด ศิลาวิญญาณชั้นกลางหนึ่งก้อนเท่ากับศิลาวิญญาณชั้นล่างสองพันก้อน ทั้งยังล้ำค่าอย่างยิ่ง คนโง่จึงนำศิลาวิญญาณชั้นกลางมาแลกศิลาวิญญาณชั้นล่าง ถ้าสามารถถ่ายศิลาวิญญาณชั้นยอดตามการวิวัฒนาการของมดหนึ่งผลึกได้ก็ร่ำรวยแล้ว
ถึงความคิดจะดีก็เป็นเพียงแค่ความคิด รู้สึกว่านี่เป็นเส้นทางที่ยาวไกลและยากลำบาก
“พั่งจื่อ ต้านิว รีบเก็บข้าวของ พวกเราต้องย้ายบ้านแล้ว โดยทั่วไปจะไม่มีที่อาศัยเป็นระยะเวลานาน จริงสิ พวกเราไปเมืองลั่วเซียนสักรอบก่อน ซื้อของที่จำเป็นในการเดินทางไกลและอาศัยอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน ต้านิว ข้ากำจัดมดในอ่างมายาจิ่งเทียนหมดแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าพาเนี่ยนซีไปอาศัยอยู่ข้างใน ข้าจะเตรียมของกินของใช้ให้พวกเจ้า ถ้ายังไม่ได้ลงหลักปักฐานจะไม่ให้พวกเจ้าออกมาชั่วคราว” จินเฟยเหยาวางแผนว่าให้เนี่ยนซีอยู่ในอ่างมายาจิ่งเทียนจะดีกว่า ไม่มีความสามารถในการปกป้องตนเองและหน้าตาชั่วร้าย อยู่ข้างนอกก็ได้แต่เพิ่มความยุ่งยาก
ได้ยินว่ามดหนึ่งผลึกที่มืดฟ้ามัวดินในอ่างมายาจิ่งเทียนหมดไปแล้ว ต้านิวก็ไม่หวาดกลัวอีก เพียงแต่จะไม่ได้เห็นพั่งจื่อเป็นเวลานาน มันก็เสียใจอยู่บ้าง เห็นพั่งจื่อกำลังกินอาหารพลางเหม่อมองจินเฟยเหยา มันก็เดินมาข้างกายพั่งจื่อ ยื่นขาหน้าไปแตะ ดวงตาของพั่งจื่อเหล่มองมัน มองนานเข้านานเข้า สุดท้ายก็ส่งเนื้อติดกระดูกในมือให้อย่างไม่มีทางเลือก จากนั้นเดินวางมาดจากไป
ต้านิวจ้องมองเนื้อติดกระดูกในมือ ฉงนสนเท่ห์ ระดับสติปัญญาของมันต่ำกว่าพั่งจื่อมาก พยายามครุ่นคิดอย่างเต็มที่ ก็ไม่เข้าใจว่าพั่งจื่อหมายความว่าอย่างไร สุดท้ายได้แต่โยนเนื้อติดกระดูกใส่ปากอย่างเป็นธรรมชาติ และกินจนเกลี้ยง
“อาหาร แล้วก็น้ำ ถึงแม้หอน้อยจะเอียง แต่ข้ารื้อตรงด้านล่างที่ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่งออกแล้ว ชั้นบนยังสามารถใช้ได้ ต้องบรรจุสิ่งของทั้งหมดไปให้พร้อม ถ้าคุณหนูคนงามอยู่ไม่เป็นสุข อาละวาดจะออกมาก็ยุ่งแล้ว” เดินบนถนนใหญ่ในเมืองลั่วเซียน จินเฟยเหยานับสิ่งของที่ตนเองต้องเตรียมตลอดเวลา ด้านหลังนาง พั่งจื่อกลับคืนสู่ร่างขนาดสูงสองคนกว่า ให้เนี่ยนซีนั่งบนไหล่ และมีต้านิวเดินโง่งมอยู่ด้านข้าง
ดวงตาทั้งสองของเนี่ยนซีค้นหาหวาซีในฝูงชน ปากเอ่ยเบาๆ “ซีเอ๋อร์ๆ”
หลายปีมานี้เนี่ยนซีอยู่ในถ้ำเซียนของนางมาตลอด ไม่เคยมาในเมืองเลย แต่นางกลับไม่รู้สึกสนใจสักนิด
“ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เจ้าโดนหวาซีลงคำสาปอะไรไว้กันแน่ นอกจากหวาซีสองคำแล้ว ก็พูดคำอื่นๆ ไม่เป็น ชอบเขามากเพียงใดกันแน่ ทำให้คนรู้สึกสยองขวัญจริงๆ” จินเฟยเหยาส่ายศีรษะ ไม่สนใจเนี่ยนซีที่เหมือนคนบ้าอีก เดินเข้าร้านของวิเศษแห่งหนึ่ง
ครั้งที่แล้วนางทำอาวุธเวทรูปโอ่งน้ำ ใช้สำหรับบรรจุน้ำสะอาดให้ต้านิวรดน้ำหญ้าวิญญาณโดยเฉพาะ ตอนนี้ไม่มีหญ้าวิญญาณแล้ว แต่โอ่งน้ำยังอยู่ หาบ่อน้ำแห่งหนึ่ง เติมน้ำด้านในจนเต็ม ก็เพียงพอจะให้เนี่ยนซีและต้านิวใช้กินดื่มอาบในอ่างมายาจิ่งเทียนได้หลายเดือน ตอนนี้นางคิดจะค้นหาดูว่า มีสิ่งที่ใช้เก็บของซึ่งไม่เหมือนกระเป๋าเก็บของหรือไม่ ต้องเหมือนโอ่งน้ำ ใช้สำหรับบรรจุอาหารให้ต้านิว
เนื่องจากกระเป๋าเก็บของพกพาสะดวก อาวุธเวทบรรจุของที่หนักแบบนั้นมีไม่มาก ค้นหาอยู่นาน นางก็พบอ่างเรียกทรัพย์หยาบๆ อ่างเรียกทรัพย์เป็นวิธีการเรียกในโลกมนุษย์ ที่จริงเป็นติ่ง[1]ขนาดใหญ่ที่ภายนอกประดับประดาด้วยสิ่งของมีค่าให้แลดูงดงามเป็นพิเศษ ดูเหมือนไม่เหมาะจะใช้บรรจุอาหาร
แต่คิดจะหาลักษณะแบบถังไม้ ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ต้องหาไม่ได้แน่ อ่างเรียกทรัพย์ใบนี้เป็นสิ่งที่ร้านใหญ่หลอมสร้างให้ตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนใช้ใส่สิ่งของจำพวกอาวุธเวท ยันต์ เพื่อจัดวางในที่เด่นสะดุดตา
เห็นแก่ที่อ่างเรียกทรัพย์ใบนี้ยังมีประสิทธิภาพในการรักษาความสด จินเฟยเหยาจึงฝืนใจซื้อมา จากนั้นเริ่มซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเตรียมตัวใช้ชีวิตร่อนเร่ในวันข้างหน้า นางใจกว้างในเรื่องอาหารอย่างผิดปกติ ตลอดทางพบเห็นสิ่งใดก็ซื้อสิ่งนั้น ขอเพียงสามารถกินได้ เน่าเสียยาก และอยู่ได้หลายวัน ขนย้ายทุกอย่างเข้าไปไว้ในกระเป๋าเก็บของก่อนเป็นการชั่วคราว
[1] ติ่ง คือ หม้อสามขาใช้ประกอบอาหารซึ่งทำขึ้นจากสัมฤทธิ์ในสมัยจีนโบราณ