คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 92 ไม่ให้นั่งเรือ
“ข้าว่านะเจ้าของร้าน ร้านของท่านไม่มีเกราะป้องกันที่เหมาะกับตัวเลยสักนิด? ท่านดูเองเถอะ เกราะอกชิ้นนี้ของท่าน ขนาดครึ่งอกยังปิดได้ไม่มิด” จินเฟยเหยาพูดกับเจ้าของร้านตัวเป่าเก๋ออย่างไม่พอใจ
เจ้าของร้านตัวเป่าเก๋อเป็นหญิงวัยกลางคนขั้นสร้างฐาน มองจินเฟยเหยาอย่างช่วยไม่ได้ “สหายเซียนท่านนี้ มิใช่เกราะอกของพวกเราไม่เหมาะกับร่าง ทว่าไม่เคยมีคนซื้อเกราะป้องกันให้สัตว์ภูติต่างหาก อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ภูติของเจ้าร่างกายใหญ่โตถึงปานนี้ โดยพื้นฐานแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะสวมเกราะป้องกันของผู้บำเพ็ญเซียนไว้บนร่าง ถ้าอย่างไรเจ้าไปดูที่ร้านสัตว์ภูติเถอะ เกราะป้องกันสัตว์ภูติมีมากมายหลากหลายชนิด ใหญ่หรือเล็กล้วนมีหมด”
“พั่งจื่อ เจ้าคิดดูหน่อย ถ้าอย่างไรไปซื้อปลอกคอที่ร้านสัตว์ภูติมาลองสวมดู?” จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองมันอย่างลำบากใจ แนะนำให้มันลองคิดดู
ร่างกายขนาดมหึมาของพั่งจื่อ ชุดเกราะอกแบบบุรุษชุดหนึ่ง เดิมทีเป็นเกราะอกแบบสวมทั้งหมด ตอนนี้แค่ฝืนคลุมบนแขนของมันได้ข้างหนึ่ง แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าเกราะอกแล้ว ต้องเรียกว่าเกราะไหล่ต่างหาก
ได้ยินคำพูดนี้ ในดวงตาของพั่งจื่อก็เปล่งประกายดุร้าย จ้องมองจินเฟยเหยาและเจ้าของร้านแน่วนิ่ง ท่าทางเช่นนั้น ผู้ใดกล้าบอกให้มันสวมอุปกรณ์ป้องกันของสัตว์ภูติ มันก็จะสังหารคนผู้นั้น
จินเฟยเหยาได้แต่หันหน้ากลับไปคุยกับเจ้าของร้าน “เจ้าก็เห็นแล้ว ข้าจนปัญญา สวมเกราะป้องกันไม่เข้า เช่นนั้นพวกกำไลหรือเข็มขัดก็ได้” เอ่ยคำพูดนี้จบ นางก็มองพุงขนาดใหญ่เกินธรรมดาของพั่งจื่อ ครุ่นคิดว่าเถ้าแก่เนี้ยคงไม่นำผ้าสัตว์เลี้ยงม้วนหนึ่งมาทำเป็นผ้าคาดเอวให้มันโดยตรงหรอกนะ
“สหายเซียน ท่านให้เวลาหน่อยได้หรือไม่ สามารถสั่งทำได้”
“ไม่มีเวลาแล้ว เจ้าทำได้ภายในหนึ่งเดือนหรือ?”
“เวลาไม่พอ เดือนเดียวทำไม่ทัน”
“เช่นนั้นรีบนำของวิเศษทั้งหมดของเจ้าออกมา ไม่เอาอาวุธเวท” จินเฟยเหยาโบกมืออย่างใจกว้าง เจาะจงต้องการเพียงของวิเศษ เจ้าของร้านได้ยินก็ดีใจแทบแย่ นี่เป็นการค้ารายใหญ่ จึงรีบวิ่งขึ้นชั้นสองไปหยิบของวิเศษที่ซ่อนไว้ในที่ลับเหล่านั้นทันที
ครึ่งชั่วยามให้หลัง พั่งจื่อเดินออกมาอย่างพึงพอใจ บนเอวคาดหนังสัตว์เส้นหนึ่ง บนนั้นยังแขวนสิ่งของดังติงตังหกชิ้น ทั้งหมดเป็นหยกประดับหรือกระดูกสัตว์ ยังมีสายประดับเอวซึ่งหลอมสร้างจากโลหะลึกลับ ทั้งหมดล้วนเป็นของวิเศษชั้นยอด เครื่องประดับกระดูกสัตว์ชิ้นนั้นเป็นของวิเศษชั้นกลาง ยามเดินบนถนน สายตาอันดุร้ายของผู้บำเพ็ญเซียนระหว่างทางล้วนสามารถกรีดผิวหนังของพั่งจื่อลงไปได้หลายชั้น
จินเฟยเหยาไม่ได้ซื้อของวิเศษให้ตนเอง ใช้สิ่งของที่ไม่เหมาะมือเหล่านี้ มิสู้รอหลอมสร้างของวิเศษที่เหมาะสมกับตนเองในวันหน้า บางครั้ง ไม่ใช่ว่าของวิเศษยิ่งมากก็ยิ่งดี ยามที่มีสิ่งของมากเกินไป จะเลือกใช้ของวิเศษอะไรก็ปวดศีรษะ ตอนลงมือจะช้ากว่าอีกฝ่ายหลายอึดใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากต้องครุ่นคิด และภายในหลายอึดใจนี้อาจจะทำให้เจ้าต้องเสียใจจนตาย
ซื้อสิ่งของครบถ้วน พวกนางก็กลับมาถึงถ้ำเซียน รอเวลาออกเดินทางอย่างสงบ
บนเกาะซวีชิงอันห่างไกล บรรดาศิษย์ของหอซวีชิงก็ได้รับคำสั่งให้ออกเดินทาง ทว่าแตกต่างกับสำนักเฉวียนเซียนที่ต้องให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ใช้กำลังบังคับจึงยอมเข้าร่วมแต่โดยดี พวกเขาไม่ลังเลที่จะบุกน้ำลุยไฟเพื่อสำนักเลยสักนิด เพียงแต่ขณะพวกเขาเดินออกจากห้องประชุม สีหน้าก็ไม่ดีไปกว่าผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเฉวียนเซียนเท่าใด แต่ละคนล้วนมีสีหน้าเขียวคล้ำ ในใจเต็มไปด้วยความกังวล
สีหน้าของไป๋เจี่ยนจู๋ยิ่งปั้นยาก ขมวดคิ้วเอ่ยกับศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง “เหตุใดทางสำนักจึงต้องทำถึงขนาดนี้ ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
“ศิษย์น้องไป๋ อย่าคิดมากเลย พวกเราแค่ทำตามคำสั่งอาจารย์ก็พอ เจ้าอย่าลืมสิ ทางสำนักดูแลและสั่งสอนพวกเรามาตั้งแต่เล็ก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด พวกเราแค่ทำอย่างสุดความสามารถก็พอ” ศิษย์พี่ใหญ่ตบบ่าเขา แนะนำอย่างจริงใจ
ไป๋เจี่ยนจู๋เอ่ยอย่างกังวล “ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ ข้าไม่ได้ถามถึงสำนัก ข้าแค่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง”
“ไม่เข้าใจก็อย่าไปคิด ถึงเวลาทำตามคำสั่งก็พอ ประโยชน์ของสำนักก็คือประโยชน์ของพวกเรา ตอนนี้ได้เวลาตอบแทนอาจารย์แล้ว”
ไป๋เจี่ยนจู๋ถอนหายใจยาว พยักหน้าให้ศิษย์พี่ใหญ่ “ศิษย์พี่ใหญ่โปรดวางใจ ข้าจะไม่ทำเสียเรื่อง”
“เช่นนั้นก็ดี”
จินเฟยเหยายืนมองทัศนียภาพอันโอ่อ่าอยู่บนลานกว้างของเกาะทองคำ พลันรู้สึกว่าความคิดเกี่ยวกับการประลองของโลกระดับดินของตนเองก่อนหน้านี้เรียบง่ายเกินไป
ภายในคลองจักษุเป็นของวิเศษบินได้ใหญ่น้อยหลากหลายรูปแบบ บนของวิเศษบินได้แต่ละชิ้นล้วนแขวนธงของแต่ละสำนัก ของวิเศษบินได้ส่วนมากเป็นเรือเหาะ บนเรือเต็มไปด้วยอาคารอันงามวิจิตร แต่ของวิเศษบินได้ของบางสำนักมีหลากหลายรูปแบบ
มีรูปร่างเป็นแผ่นกลมๆ ตรงกลางสร้างหอน้อยหลังหนึ่ง เพียงแต่ดูเหมือนบินได้ช้า ยังมีรถเหาะเทียมนกขนาดยักษ์ แต่ดูเหมือนรถจะบรรทุกได้แค่สิบกว่าคน น่าจะเป็นสำนักที่มีคนน้อย ส่วนหอซวีชิงที่จินเฟยเหยาใส่ใจที่สุด กลับเป็นแพไม้ไผ่ยาวสิบกว่าจั้งแพเดียว บนท่อนไผ่สีเขียวสดไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ ทว่าแพไม้ไผ่ใหญ่ถึงปานนี้เพียงพอให้กลิ้งไปมาบนนั้นได้ ไม่มีห้องหับยิ่งแสดงให้เห็นถึงกลิ่นอายเซียนอย่างเต็มที่
แต่พอจินเฟยเหยามองของวิเศษบินได้ของสำนักเฉวียนเซียน ก็รู้สึกว่าผู้อาวุโสของสำนักเฉวียนเซียนทั้งหมดล้วนเป็นคนสารเลว ของวิเศษบินได้ของสำนักเฉวียนเซียนคือเรือเหาะลำหนึ่ง ทั้งยังตกแต่งด้วยทองและหยกเช่นเดียวกันมีประกายสีทองเสียดแทงนัยน์ตา แต่ปัญหาคือเล็กเกินไป ยาวเพียงสิบกว่าจั้ง อย่างมากสามารถรองรับได้แค่ศิษย์ผู้สืบทอดและผู้อาวุโสเหล่านั้น ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานของสำนักเฉวียนเซียนมีมากกว่าสองร้อยคน แล้วจะนั่งอย่างไร
ขณะที่จินเฟยเหยายังครุ่นคิดว่าจะเบียดเข้าไปที่ใดบนเรือเหาะสีทองวิบวับลำนี้ดี ศิษย์ทำธุระคนหนึ่งก็วิ่งมาแจ้งผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานจำนวนสองร้อยคนว่า ขอให้ทุกคนโปรดใช้ของวิเศษบินได้ของตนเองติดตามด้านหลังเรือเหาะ ทางที่ดีตามให้ใกล้หน่อย ไม่เช่นนั้นผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่อาจนึกว่ามีคนคิดหลบหนี ต้องกระทำเรื่องไร้มโนธรรมออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ณ ที่นั้นเดือดดาล ยังไม่รู้เลยว่าต้องไปที่ใด ก็ให้พวกเขาใช้พลังวิญญาณขี่ของวิเศษบินได้ติดตามด้านหลังเรือเหาะจงใจล้อพวกเขาเล่นหรือ? ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเรือเหาะใช้ศิลาวิญญาณและวงเวทบนตัวเรือ นั่งอยู่บนนั้นไม่ต้องใช้พลังวิญญาณสักนิด ทั้งมั่นคงทั้งรวดเร็ว
ที่จริงต่อให้พวกเขาใช้ของวิเศษบินได้ของตนเองก็ไม่เป็นไร ต่อให้เรือเหาะบินเต็มกำลัง มีของวิเศษบินได้มากมายสามารถบินล้ำหน้าพวกมัน ทว่า ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานของสำนักอื่นๆ ต่างนั่งเรือลำใหญ่ เหตุใดต้องให้พวกเขาบินเองด้วย นี่มิทำให้ผู้อื่นดูแคลนหรือ
อีกทั้งตนเองยังต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณ ถ้าไม่หยุดพักระหว่างทาง ผู้บำเพ็ญเซียนก็ต้องกินยาเสริมพลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นทุกคนจึงอารมณ์ไม่ดีและเดือดดาลอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่กล้าสะบัดก้นจากไปทันที เรียกได้ว่าสำลักโทสะที่ระบายไม่ได้
“ใช้ของวิเศษบินได้ของตนเอง ตาแก่นี่ทรมานคนอื่นจนเป็นนิสัยใช่หรือไม่ เรื่องน่าเบื่อแบบนี้ยังทำออกมาได้ แต่ดีเลย เรือเหาะเล็กแค่นี้ นั่งเบียดกันคงน่าเกลียดกว่า” จินเฟยเหยาถอนใจเบาๆ อยู่ใต้ชายคาบ้านของผู้อื่นจำต้องก้มศีรษะ[1] ผู้อื่นว่าอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
เห็นใกล้จะได้เวลาแล้ว เรือเหาะส่งเสียงหึ่งๆ ออกเดินทางช้าๆ ทั้งหมดเคลื่อนไหวเตรียมตัวออกเดินทาง สำนักเฉวียนเซียนก็บอกบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ให้พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อม ทางที่ดีก็ติดตามอยู่รอบเรือเหาะ
ทุกคนมีโทสะซ้อนโทสะ ทว่าก็นำของวิเศษของตนเองออกมาอย่างทำอะไรไม่ได้ บินอยู่ด้านหลังเรือเหาะของสำนักเฉวียนเซียน ราวกับมีหางอันยาวเหยียด จินเฟยเหยาเห็นด้านหลังมีคนเบียดเสียดอยู่พอสมควร ไม่มีใครยินดีบินอยู่ข้างเรือเหาะ จึงเหยียบพรมบินไปข้างเรือเหาะ
มองของวิเศษบินได้มากกว่าสองร้อยชิ้นทั่วท้องนภา นั่นเป็นฉากอันตระการตา ดูท่าสำนักทั้งหมดในโลกหนานซานต่างเคลื่อนไหว บางทียังมีสำนักเล็กๆ บางแห่งที่ไม่มีของวิเศษบินได้ หลายสำนักหรือสิบกว่าสำนักรวมเข้าด้วยกัน นั่งเรือเหาะลำเดียวกัน
ทว่าจินเฟยเหยากลับไม่เข้าใจอยู่บ้าง หรือว่าการประลองของโลกระดับดินทุกครั้งล้วนวางมาดใหญ่โตถึงปานนี้? นี่คือการไปแย่งชิงดินแดนอย่างถูกต้องและเปิดเผย ถ้าในยามนี้มีโลกอื่น ฉวยโอกาสบุกรุกเข้ามาโดยไม่สนใจกฎเกณฑ์ มิใช่ไม่มีพลังตอบโต้เลยหรือ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานทั้งหมดและผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมจำนวนไม่น้อยล้วนไปร่วมการประลองของโลกระดับดิน บางสำนักแม้แต่ผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่ก็ไปด้วย กำลังคนของโลกหนานซานจะว่างเปล่าจริงๆ
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางสนใจ ตนเองตัดสินใจจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระแล้ว ไม่ว่าโลกเหล่านี้จะกลายเป็นเช่นไร ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระก็สามารถฝึกบำเพ็ญได้ดังเดิม
กองทัพเรือเหาะเริ่มเคลื่อนไหว จินเฟยเหยาก็ถ่ายเทพลังวิญญาณลงในพรมบิน รักษาระดับความเร็วให้เท่ากับเรือเหาะ ติดตามไปอย่างสบายๆ
นางไม่ได้ชอบอยู่ข้างเรือเหาะเป็นพิเศษ นอกจากเกรงว่าตาแก่อ้วนนั่นนึกว่านางจะหลบหนีจึงนำการรับรู้ออกมาระบายโทสะแล้ว ก็ยิ่งกังวลว่าถ้ารั้งท้ายมากเกินไป ไป๋เจี่ยนจู๋ผู้ยึดมั่นกับการล้างแค้น ต้องหาโอกาสโจมตีตนเองให้ร่วงแน่ นางไม่อยากมอบโอกาสนั้นให้แก่เขา
สิ่งที่จินเฟยเหยาคิดถูกต้องจริงๆ ไป๋เจี่ยนจู๋ยืนอยู่ด้านหน้าของแพไม้ไผ่ ใช้การรับรู้สังเกตทุกความเคลื่อนไหวของจินเฟยเหยา ขอเพียงนางตามเรือเหาะของสำนักเฉวียนเซียนไม่ทัน เขาก็จะบีบให้นางออกจากกองทัพแล้วหาสถานที่แก้แค้น ผู้บำเพ็ญเซียนในกองทัพเรือเหาะมีมากมายเกินไป การรับรู้จำนวนนับไม่ถ้วนกวาดไปกวาดมา แยกไม่ออกว่าเป็นการรับรู้ของใครบ้าง บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนแทบทั้งหมดจมอยู่ในการรับรู้นานาชนิด นอกจากหลบเข้าในเรือเหาะอาศัยการป้องกันด้านในมาสกัดกั้นการสำรวจตรวจตราด้วยการรับรู้อันน่าชังเหล่านั้น
จินเฟยเหยาก็จมอยู่ในการรับรู้ สามารถรู้สึกถึงการรับรู้สองสายที่แตกต่างจากอันอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน สายหนึ่งเต็มไปด้วยไอสังหาร ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นไป๋เจี่ยนจู๋ ส่วนการรับรู้อีกสายหนึ่งกลับให้ความรู้สึกบอกไม่ถูก แปลกประหลาดจนทนไม่ไหว
นางมองไปยังทิศทางที่การรับรู้ส่งมา พบว่าตรงที่ห่างไปไกลลิบ มีเรือเหาะลำหนึ่ง ดูแล้วไม่มีอะไรแตกต่างกับเรือเหาะลำอื่นๆ หรี่ตาเพ่งมองธงที่แขวนบนเรือ หลังจากเห็นชัดเจนว่าเป็นสำนักใด จินเฟยเหยาก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ที่แท้เป็นเรือของสำนักอวิ๋นซาน
“จินเฟยเหยา พรมบินของเจ้าไม่เลวนี่นา ได้มาจากไหนหรือ?” ขณะที่จินเฟยเหยานั่งขัดสมาธิบนพรม กำลังโคจรลมปราณคิดจะประหยัดพลังวิญญาณ มีเด็กหญิงคนหนึ่งนอนอยู่ข้างเรือเหาะเรียกนางอย่างยิ้มแย้ม
จินเฟยเหยาลืมตาขึ้นมอง ที่แท้เป็นอี้จือ ยายเด็กนี่มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงปลาย คิดไม่ถึงว่าจะติดตามมาด้วย จึงต้องส่งยิ้มอย่างหมดทางเลือกพลางเอ่ย “ที่แท้เป็นสหายเซียนอี้ สำนักดีต่อเจ้าไม่เลว ได้นั่งเรือเหาะด้วย ไม่เหมือนพวกเรา ต้องตรากตรำบินตามมาเอง”
“พวกเจ้าสามารถขี่อาวุธเวทบินได้ ข้าขี่ไม่ได้ ถ้าไม่นั่งเรือข้าคงไม่สามารถวิ่งบนพื้นได้” อี้จือเอ่ยด้วยรอยยิ้มแฉ่ง
[1] อยู่ใต้ชายคาบ้านของผู้อื่นจำต้องก้มศีรษะ หมายถึง อยู่ภายในขอบเขตอำนาจของคนอื่นก็ต้องยอมทำตาม ยอมรับการจัดการ หรือยอมถอยให้