ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 337 เมฆสีม่วงปรากฏขึ้นทิศปราจีน
ซีเหมินจินเหลียนกวาดสายตามองไปยังราคาข้างๆ หนึ่งแสนดอลลาร์ซื้อไปก็ไม่ขาดทุน เธอเตรียมจะซื้อไว้เหมือนกัน ทันใดนั้นแววตาของเธอพลันไล่มองไปที่ก้อนข้างๆ ก้อนหนึ่ง…ลักษณะภายนอกของหินหยกดิบก้อนนี้ใช้ได้เลย เพียงแต่เปลือกผิวของมันสีเข้มกว่าก่อนเมื่อสักครู่เล็กน้อย
ยื่นมือไปแตะๆ สัมผัสของมือใช้ได้เลย จากนั้นซีเหมินจินเหลียนถือโอกาสดูมันให้ละเอียดลงไปเปลือกผิวหนาเล็กน้อย แต่ลักษณะภายในไม่เลวเลยทีเดียว เป็นสีม่วงเช่นเดียวกัน แต่ไม่ใช่ม่วงดอกไลแอคหากแต่เป็นม่วงเข้ม ดูแล้วมืดทะมึนไปบ้าง แต่ทั้งหนาและหนักเหลือเกิน บริเวณสีส่วนที่เข้มที่สุดใกล้เคียงกับสีแดง
นี่คือสิ่งที่ผู้คนชอบพูดกันว่าม่วงแดงโด่งดังรุ่งโรจน์
เมื่อเทียบกับก้อนนั้นน่าจะมาจากแหล่งเหมืองหยกเดียวกัน แม้แต่เปลือกผิวยังดูคล้ายคลึงกัน ผลึกเนียนลื่น ความอิ่มน้ำเต็มอิ่ม เพียงแต่เพราะสีมันเข้ม ความโปร่งแสงเลยไม่ได้สูงมาก แต่ก็ยังพอจัดอยู่ในระดับขั้นเนื้อแก้วแล้ว สิ่งที่ทำให้ซีเหมินจินเหลียนยิ้มชอบพอก็คือราคาของก้อนนี้คงไว้ที่หนึ่งแสนห้าหมื่นดอลลาร์เช่นกัน
ความจริงดูจากสองวันนี้เธอก็พอรู้ตื้นลึกหนาบางพอควร การแบ่งกลุ่มราคาของหินหยกดิบพวกนี้ ความจริงก็แค่ดูจากเปลือกผิวและขนาดเล็กใหญ่เท่านั้น เปลือกผิวส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน ขนาดเล็กใหญ่ก็พอๆ กัน ไม่เพียงแต่รวมกลุ่มอยู่ด้วยกันราคายังใกล้เคียงกันอีก แม้จะมีความแตกต่างอยู่บ้าง แต่มันก็แค่ผิวเผิน
หินหยกทั้งสองนี้ล้วนเป็นสีม่วง ไม่รู้ว่าก้อนสุดท้ายจะเป็นหินหยกสีม่วงหรือเปล่า? เปลือกผิวสีเหลืองน้ำตาลเหมือนกัน มีลวดลายบนหินเหมือนกัน แต่สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็คือหินหยกทั้งสองก้อนมีจุดหยก หนาแน่นรวมตัวกันไว้ เส้นลายหยกก็พันล้อม แต่บนเปลือกผิวของหินหยกก้อนนี้แอบซุกซ่อนจุดหยกแต้มไว้อยู่ประปราย แทบที่จะมองข้ามไปเสียแล้ว ดังนั้นราคาห้าหมื่นดอลลาร์ของหินหยกดิบถือว่าไม่แพง
ซีเหมินจินเหลียนดูหมิ่นสมิธในใจเป็นฟืนเป็นไฟ เขาติดป้ายบอกราคาไว้ชัดเจนให้คนอื่นไม่มีทางต่อรองราคาได้ ไม่อย่างนั้นกับอีแค่หินหยกดิบก้อนหนึ่งที่วางขายตามตลาดหินหยกดิบที่พม่า เธอหั่นเฉือนราคาถึงหนึ่งหมื่นดอลลาร์ก็ไม่น่ามีปัญหา
นอกเสียจากเปลือกผิวที่เนียนลื่นแล้ว หินหยกดิบก้อนนี้ก็ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย
ซีเหมินจินเหลียนยื่นมือไปแตะด้านบน เปลือกผิวเนียนลื่นมาก ข้างในเป็นหินสีขาวเนียนละเอียดมาก ดูเข้าไปข้างในประมาณสามเซนติเมตร ข้างในมีปุยฝ้ายสีขาวถี่ยิบรวมกัน
เธอเองก็สงสัย ในบรรดาการพนันหิน มีการพูดถึงพนันปุยฝ้ายเฉพาะเป็นพิเศษ ไหนจะพนันเกลื้อน พนันรอยร้าว…แต่เธออาศัยพลังพิเศษในการมองทะลุผ่าน โดยทั่วไปก็ไม่ค่อยสนใจด้านนี้เท่าไหร่ ยังไงเสียแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าหินหยกดิบก้อนหนึ่งดีหรือร้าย
ไม่ใช่ว่าซีเหมินจินเหลียนไม่เคยเจอปุยฝ้ายขาวมาก่อน แต่ตอนนี้เห็นแต่ปุยฝ้ายขาวกับหิน ไม่มีวี่แววของหยกปรากฏตัวเลยสักนิด สถานการณ์แบบนี้แปลกจริง
แน่นอนในเมื่อดูแล้วก็ต้องดูให้มันกระจ่าง เธอไม่อยากให้ต้องมาเสียใจภายหลัง
ความหนาของปุยฝ้ายสีขาวมีประมาณสองเซนติเมตร ถัดจากนั้นในปุยฝ้ายสีขาวยังมีริ้วเส้นสีม่วงถี่ละเอียด แต่ใสพร่างพราว ลำดับชั้นของหยกประเภทนี้ถึงเรียกว่าหยกคุณภาพดีเยี่ยม ซึ่งไม่ใช่หินหยกสองก้อนนั้นจะมาเทียบเทียมได้เลย
แต่ซีเหมินจินเหลียนก็ต้องผิดหวังมาก หยกแบบนี้กลับพัวพันอยู่ในปุยฝ้ายสีขาว แถมยังเล็กเกินไป ไม่สามารถนำวัตถุดิบไปทำอะไรได้…เมื่อทุกอย่างหายไป เส้นสีม่วงฝอยๆ ตอนแรกพลันมีสีมันวาวทันที สดชื่นขึ้นมาทันตา…
ส่วนตรงกลางของหินหยกดิบก้อนนี้มีแสงเรืองรองของสีม่วงสะท้อนเข้ามาในก้นบึ้งหัวใจของซีเหมินจินเหลียน
“แสงอาทิตย์สีม่วงงั้นเหรอ?” เพียงแค่ชั่วเดียวซีเหมินจินเหลียนพลันนึกถึงตะวันยามลับฟ้าในช่วงพลบค่ำ แสงอาทิตย์สีม่วงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า สว่างสุกใสลานตา
ไม่ ไม่ใช่แบบนี้สิ ซีเหมินจินเหลียนโคลงศีรษะ สีม่วงภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นเป็นสีม่วงดอกไลแอค ถึงแม้จะสวยงามแต่ก็มีสีมืดยามสายัณห์ ในที่สุดก็ตกลงมาตามธรรมชาติ
ส่วนก้อนสีม่วงเป็นแสงอาทิตย์หมื่นทิศ ให้ถึงพลังของจักรพรรดิที่มีความน่าเกรงขามและโดดเก่น ไม่เหมือนกับแสงอาทิตย์สีเลือดที่เผด็จการอำนาจบาตรใหญ่
“เมฆสีม่วงปรากฏขึ้นทิศปราจีน…ลมปราณโอรสแห่งสวรรค์จักบังเกิด?” ซีเหมินจินเหลียนพลันคิดถึงประโยคนี้ขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ลำบากมาทั้งคืน ในที่สุดเธอก็เจอหยกแสงอาทิตย์ก้อนหนึ่งแล้ว ถือว่าไม่เสียแรงที่ทำไป เมื่อวานเธอพนันหยกแสงอาทิตย์สีเลือดได้ ไม่รู้ว่าจะมีหยกแสงอาทิตย์อะไรอีก? แต่เวลามีไม่มากแล้ว ซีเหมินจินเหลียนรีบเรียกจ่านป๋ายมาซื้อหินหยกดิบทั้งหมดไป
เมื่อจ่านป๋ายกับพนักงานสองคนนำหินหยกดิบทั้งสามก้อนขนย้ายไปในตู้เซฟนิรภัยเรียบร้อยแล้ว ซีเหมินจินเหลียนถึงได้วางใจไปอีกเปราะ มองดูเวลายังเหลืออีกสิบห้านาทีสุดท้ายห่างจากพนันยาเป่า ทันใดนั้นรีบจูงมือจ่านป๋ายสาวเท้าว่องไวขึ้นชั้นบน
“จินเหลียน คุณช้าหน่อย ระวังด้วย” จ่านป๋ายประคองซีเหมินจินเหลียนยืนในลิฟต์พร้อมถอนหายใจ “คุณจะรีบวิ่งทำไม? หินหยกไม่มีเท้าวิ่งไปไหนซะหน่อย?”
“พนันยาเป่าจะสิ้นสุดแล้ว พวกเราไปดูว่าจะได้รายได้พิเศษหรือเปล่า” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มๆ
“คุณนึกถึงเรื่องยาเป่า?” จ่านป๋ายยิ้มฝืดเฝื่อน
ซีเหมินจินเหลียนพลันคิดทันปัญหาใหญ่มากอีกหนึ่งอย่าง ถ้า…ถ้ายังมีหยกแสงอาทิตย์ แต่ถูกเลือกให้ไปเข้าร่วมพนันยาเป่า แล้วตอนที่เปิดเปลือกหินต่อหน้าธารกำนัล จะมีโอกาสตกถึงมือเธอเหรอ? แม้ว่าความน่าจะเป็นจะเป็นไปได้น้อย หินหยกดิบเมื่อวานทั้งสิบสองก้อน เธอดูมาหมดแล้ว สิบสองก่อนในคืนพรุ่งนี้มีเอาไว้ประมูล ดังนั้นขอแค่หินหยกดิบสิบสองก้อนในวันนี้ไม่มีหยกแสงอาทิตย์ เธอก็สบายใจแล้วล่ะ
“จินเหลียน คุณอย่าวิ่งสิ” จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนถึงชั้นห้า ไม่ทันได้รีรอให้ลิฟต์เปิดออกดี เธอก็วิ่งแจ้นออกมาแล้ว รีบตามไปพร้อมร้องเรียก “คุณระวังหน่อยสิ”
งานพนันยาเป่าใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นคนที่มาตรวจสอบดูหินหยกจึงไม่มาก เวลานี้สิ่งที่ควรจะพนันก็พนันแล้ว ตอนนี้รอก็แต่การเปิดเปลือกหินในตอนท้าย จะเป็นยอดเงินจำนวนโหด หรือเข้าเนื้อตัวเองก็ต้องรอฟังคำตัดสินจากฟ้าแล้ว
ซีเหมินจินเหลียนเริ่มตรวจสอบหินหยกแต่ละก้อน รอให้ดูหินหยกดิบทั้งสิบสองก้อนเสร็จรวดเดียว เธอจะได้หายใจหายคออย่างผ่อนคลาย บนโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ยังดีๆ ในบรรดาหินหยกดิบทั้งสิบสองก้อนไม่มีตัวตนของหยกแสงอาทิตย์อยู่ ขอบคุณฟ้าดิน
ไม่อย่างนี้ถ้าผ่าหินหยกดิบออกมาแล้วเป็นหยกแสงอาทิตย์แล้วละก็ เธออยากจะซื้อมันก็ยากราวกับขึ้นสวรรค์ ที่ยังเหลืออยู่ก็คือจัดการขั้นตอนในการพนัน สะดวกสบายมาก
รอให้จัดการเรื่องทุกอย่างเหมาะสม ซีเหมินจินเหลียนมองไปรอบๆ เห็นจ่านมู่ฮวากับหลินเสวียนหลานอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากำลังปรึกษาหารืออะไรกันอยู่นะ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่อยู่ในใจของเธอ จึงรีบเดินเข้าไป…
“จินเหลียน” หลินเสวียนหลานแหงนหน้าขึ้นพอดี เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนก็รีบเข้าไปทักทาย
“พี่หลิน แผลของพี่เป็นยังไงบ้างคะ?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร” หลินเสวียนหลานรีบตอบ
“พวกคุณสองคนอยู่ด้วยกันได้ยังไง?” จ่านป๋ายถามด้วยความแปลกใจ
“จินเหลียนไม่ให้ฉันซื้อตามลม” จ่านป๋ายถอนหายใจพูด “เพราะงั้นฉันเลยต้องดึงตัวคุณหลินมาให้คำแนะนำก่อน ไม่อย่างนั้นแค่ฉันพนันคนเดียว หากไม่แพ้ถึงขั้นกางเกงในโล่งโจ้งนั่นสิแปลก”
“นายก็รู้ดีนี่” จ่านป๋ายยิ้มอ่อน
“พนันตามผมก็แพ้จนไม่เหลือกางเกงในได้เหมือนกัน คุณชายจ่าน ผมบอกคุณไว้ตั้งแต่แรกแล้ว คุณให้ผมดูหินหยกดิบ ผมก็ดูไม่แม่น ถ้าคุณแพ้อย่าโทษผมแล้วกัน” หลินเสวียนหลานยิ้ม
“พนันก็พนันไปแล้ว ถ้าแพ้จริงผมจะทำอะไรคุณได้ล่ะ?” จ่านมู่ฮวายิ้มส่ายศีรษะ
“พวกคุณลงพนันไปเท่าไหร่?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย
“ไม่เยอะครับ ทบหน้าทบหลังรวมกันก็ประมาณหนึ่งล้านดอลลาร์” หลินเสวียนหลานยิ้ม “ผมวางเงินเดิมพันแค่แสนกว่า”
“จินเหลียน คุณพนันก้อนไหนเหรอ?” จ่านมู่ฮวาเดินพรวดพราดเข้ามาถาม
“อืม ฉันพนัน…” ซีเหมินจินเหลียนมึนงง ไม่นานพลันตั้งสติได้ เจ้าพวกนี้เริ่มใช้เล่ห์กับเธออีกแล้ว ตอนนั้นจึงรีบกลอกตาขาวใส่เขาพร้้อมเหอะเสียงใส่ “ทำไมฉันต้องบอกคุณด้วยล่ะ”
จ่านป๋ายกับหลินเสวียนหลานเห็นสถานการณ์ตรงหน้าได้แต่กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“ฉันรู้ว่าจินเหลียนพนันก้อนไหน แกติดสินบนฉันสิ บางทีฉันอาจจะบอกแกก็ได้” จ่านป๋ายยิ้ม
“ฉันไม่ได้คิดถึงเงินจนบ้าขนาดนั้น เชื่อว่านายก็ต้องแพ้จนรักษากางเกงในไว้ไม่อยู่เหมือนกัน” จ่านมู่ฮวาบ่นพึมพำ
“เสี่ยวป๋าย ฉันอยากกลับแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนพูดจบก็หันไปทักทายกับหลินเสวียนหลานอีกนิดแล้วหมุนตัวเดินไปที่ลิฟต์
“ทำไมถึงได้กลับซะเร็วเชียว?” จ่านมู่ฮวาถาม “ผลการพนันยาเป่ายังไม่ออกเลยนะ คุณไม่ดูเปิดเปลือกหินเหรอ?”
“ไม่ดู” ซีเหมินจินเหลียนไม่แม้แต่จะหันหัวกลับ ผลการเปิดเปลือกหยกเธอรู้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ได้ใจจดใจจ่อเลยสักกระนิด มีอะไรน่าดูกัน มากสุดก็แค่หลังจากผ่าหยกข้างในบัญชีธนาคารของเธอมีเงินโอนกองโตเพิ่มขึ้นแค่นั้น อีกอย่างหินหยกดิบยี่สิบก้อนนี้ ก้อนที่ดีที่สุดก็แค่ชนิดเนื้อแก้วพื้นขาวเขียว สีไม่เลว แต่แบบนี้มันยังดึงดูดความสนใจของเธอได้ไม่พอหรอก
ความจริงสภาพจิตใจของเธอในวันนี้ใช้ได้เลย ในที่สุดหูหวังกับหูชีเยี่ยนก็คืนดีกันแล้ว เธอจะไม่อยู่ตัวคนเดียวแล้ว เธอมีพ่อและยังมีปู่ที่คอยรักใคร่เอ็นดูเธอ
เมื่อวานนอนไม่สนิททั้งคืน เวลานี้เธอถึงงีบหลับไป กลับมานอนเร็วๆ ดีเสียจริง ไม่มีความจำเป็นต้องไปดูเปิดเปลือกหินแล้ว สงบจิตทำสมาธิเพื่อดูสินค้าคืนพรุ่งนี้และงานประมูลสิบสองราศีที่ยิ่งใหญ่ในวันสุดท้ายดีกว่า
“ผมก็กลับแล้ว” หลินเสวียนหลานยิ้มๆ หมุนตัวเดินตามหลังซีเหมินจินเหลียน
“เฮ้” จ่านมู่ฮวารีบพูด “คุณตามเธอไปทำไม? ดูเปิดเปลือกหินให้เสร็จแล้วค่อยไปสิ”
“เรื่องมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว ยังมีอะไรน่าดูอีกเหรอ?” หลินเสวียนหลานยิ้มแผ่วเบา
จ่านมู่ฮวาโคลงศีรษะ คนพวกนี้ไม่เห็นน่าสนใจเลยสักนิด? ในใจก็พร่ำคิดไป แต่เท้าก็รีบก้าวตามติด ช่างเถอะ ค่อยดูพรุ่งนี้แล้วกัน
ซีเหมินจินเหลียนกลับถึงคฤหาสน์ เปิดประตูบ้านเห็นหูหวังนั่งเหม่อลอยบนโซฟาในห้องรับแขก สีหน้ามีความอึมครึมเอาแต่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “คุณปู่คะ ท่านเป็นอะไรไปคะ? พ่อล่ะคะ?”
หูหวังเห็นท่าทางคาดหวังของซีเหมินจินเหลียน ในใจเขาก็รู้ดี ซีเหมินจินเหลียนหวังให้เขาคืนดีกับหูชีเยี่ยน ความจริงเขาก็เฝ้ารอมาตลอด เพียงแต่เขาไม่สามารถตอบตกลงในคำขอร้องของเขาเสียทุกครั้ง
“จินเหลียน ปู่กับพ่อหนูทะเลาะกันจนบ้านแตกสาแหรกขาดแล้ว” หูหวังนั่งพิงบนโซฟาอย่างไร้สิ้นเรี่ยวแรง ส่ายศีรษะพูด “หนูอย่าถามปู่เลย ปู่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง”
ซีเหมินจินเหลียนใช้แรงกำมัดแน่นอยู่นานจึงถามเสียงต่ำ “ความหมายของท่านก็คือ…ท่านกับเขาทะเลาะกัน”
“ไม่ได้ทะเลาะกัน” หูหวังส่ายศีรษะลุกขึ้นเดินไปด้านบน โดยไม่คิดอธิบายสักคำ
ซีเหมินจินเหลียนมองเงาด้านหลังเขาด้วยความสับสน ท่ามกลางความแก่ชรามีความอ้างว้างที่พูดออกมาไม่ได้ ความจริงเขาก็แค่ชายชราอ้างว้างคนหนึ่ง…