คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1754 แดนเซียนและเคล็ดวิชาลับ
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1754 แดนเซียนและเคล็ดวิชาลับ
ใจกลางของทะเลหมอก ท้องฟ้ายังคงมีลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ ดวงอาทิตย์เป็นแสงสีทองเรืองรอง
แต่นอกจากนี้ก็ไม่เห็นม่านหมอกใดๆ และไม่เห็นร่องรอยว่าพายุหมุนเคยพัดมา ทุกอย่างในรัศมีวงกลมร้อยลี้ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ ราวกับว่าทุกอย่างถูกพลังลึกลับบีบอัดเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
วันเวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปปรากฏการณ์ลึกลับกลางทะเลหมอกดูเหมือนจะยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
แต่วันที่สองบนดวงอาทิตย์สีทองกลับมีลายสีดำเพิ่มขึ้นมาและเป็นประกายวาววาบ
วันที่สามลายกลับรวมตัวกันเป็นเงาสีดำกลุ่มหนึ่งตรงใจกลางของดวงอาทิตย์
วันที่สี่กลุ่มก้อนสีดำเริ่มยืดยาวขึ้นและยิ่งไปกว่านั้นยังบางขึ้นเรื่อยๆ
วันที่ห้าลายเส้นสีดำยาวปรากฏขึ้นบนผิวของดวงอาทิตย์สีทอง มองจากไกลๆ ราวกับดวงตายักษ์สีทองกำลังปิดสนิทอยู่
ช่างแปลกประหลาดยิ่ง
วันที่หกปรากฏการณ์บนท้องฟ้าทุกอย่างยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง แค่ลำแสงสีทองที่แผ่มาจากดวงอาทิตย์เจิดจ้ามากยิ่งขึ้น
เที่ยงวันที่เจ็ด หานลี่ที่เดิมนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำ พลันลืมตาขึ้น
ในเวลาเดียวกันดวงอาทิตย์ที่กลายเป็นดวงตายักษ์สีทอง ลายเส้นสีดำก็บิดเบี้ยวเลือนรางคาดไม่ถึงว่าจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นเช่นกัน
ท่ามกลางลำแสงสีดำดวงแสงเจ็ดสีที่ดูคล้ายคลึงกับดวงตาปรากฏขึ้น
ผิวของดวงแสงมีลำแสงสีสันสดสวยไหลวนโคจรไปมา คาดไม่ถึงว่าจะให้ความรู้สึกว่าเข้าใจทุกสรรพสิ่งอย่างถ่องแท้จนน่าเหลือเชื่อ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ตรงตีนยอดเขาก็มีเสียงหวีดร้องยาวๆ ราวกับเสียงมังกรคำรามฟังดูระรื่นหูไปไกลสุดขอบฟ้า
……
กลางอากาศสักที่ซึ่งไม่รู้ว่าที่ใด เงาร่างคนรางเลือนสองสามคนกำลังลอยตัวอยู่ในวิหารสีขาวบริสุทธิ์ แต่ละคนกำลังนั่งสมาธิอยู่บนแท่นสูงยี่สิบสามสิบจั้ง ท่าทางกำลังพูดคุยอันใดกันอยู่
เงาร่างคนเหล่านี้ล้วนถูกลำแสงวิญญาณปกปิดใบหน้าเอาไว้กว่าครึ่ง ด้านหลังของทุกคนล้วนมีลูกศิษย์สวมอาภรณ์หลากหลายยืนอยู่สองสามคน บุรุษสตรีคนชราเด็กน้อยล้วนมีอย่างครบครัน และทุกคนล้วนมีสีหน้านอบน้อมเป็นอย่างมาก
ใจกลางที่มีแท่นสูงสองสามแท่นล้อมรอบอยู่ บุปผาประหลาดสีดำขาวเส้นผ่าศูนย์กลางร้อยจั้งลอยนิ่งอยู่กลางอากาศต่ำๆ กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก ดูลึกลับมาก
ฉับพลันนั้นเงาร่างคนรางเลือนที่มีลำแสงเจ็ดสีห้อมล้อมอยู่ก็เปล่งเสียงร้องอุทานออกมาเบาๆ จากนั้นก็ร้องตะโกนอย่างต่อเนื่อง
“ประหลาด”
“สหายเสวียนหมิง เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้” เงาร่างคนที่มีลำแสงสีขาวห่อหุ้มอยู่ใกล้เคียงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“มีคนกำลังฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัส’ และยิ่งไปกว่านั้นยังสำเร็จขั้นที่หนึ่งแล้ว ทำให้ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าถูกอาวุธเซียนตรวจตราของพวกเราสัมผัสได้” หลังจากที่เงาร่างคนเจ็ดสีลังเลเล็กน้อย ก็ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา
“เคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัส? เคล็ดวิชานี้ถูกแดนเซียนกำหนดไว้ว่าเป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามมิใช่หรือ ยังมีคนกล้าเสี่ยงฝึกฝนอีก? ต่อให้เป็นเช่นนั้นส่งคนไปจับผู้ฝึกมาก็ได้แล้ว เหตุใดสหายต้องตกตะลึงด้วย!” เงาร่างคนในลำแสงสีขาวยังคงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าย่อมไม่มีทางพูดอันใด อาวุธเซียนตรวจตราสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาฟ้าดินที่มาจากแดนวิญญาณ ไม่ใช่ผู้ที่ฝึกฝนในแดนเซียน” เงาร่างคนเจ็ดสีที่มีนามว่าเสวียนหมิงเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“คนจากแดนล่าง? น่าประหลาดใจจริงๆ ดูแล้วน่าจะเป็นคนที่ลักลอบเข้ามาจากแดนล่าง แล้วเอาเคล็ดวิชานี้ไป ทว่าก็ทำอันใดไม่ได้ เคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสแม้แต่ชาวแดนเซียนอย่างพวกเราก็ฝึกได้ไม่ง่าย แดนวิญญาณจิ๊บจ๊อยคนหนึ่งคงไม่อาจฝึกฝนจนถึงขั้นสุดท้ายได้” เงาร่างคนในลำแสงสีขาวพลันตกตะลึงไปเช่นกัน แต่ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้น
“อืม พูดเช่นนี้ก็ถูก แม้ว่าข้าจะรับหน้าที่ดูแล แต่ผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ไม่ได้อยู่ในแดนเซียน เดิมก็ทำอันใดไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้คนผู้นี้โชคดีฝึกฝนเคล็ดวิชานี้สำเร็จ ยามที่บรรลุข้ามแดนมาก็ไม่อาจปิดบังคนจากแท่นได้อยู่ดี” เงาร่างคนเจ็ดสีตอบกลับพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
ทั้งสองพูดคุยกันแค่สองสามประโยค คนอื่นๆ ได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง ก็เริ่มสนใจขึ้นมาหลายส่วน แต่เมื่อได้ยินว่าผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้คือ ‘คนจากแดนล่าง’ ก็พลันไม่สนใจเช่นกัน ทันใดนั้นอีกคนหนึ่งก็เอ่ยปากพร้อมกับอมยิ้ม แล้วพูดคุยกันเรื่องอื่น
เงาร่างคนในลำแสงเจ็ดสียิ่งไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ราวกับว่าลืมเรื่องนี้ไปอย่างไรอย่างนั้น
……
หานลี่พ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง หลังจากสัมผัสได้ว่าจิตสัมผัสเพิ่มขึ้นสองเท่า ความรู้สึกประหลาดที่มาจากทั้งโลกก็ทำให้เขารู้สึกดีใจมาก
ในที่สุดก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสขั้นที่หนึ่งสำเร็จ
แม้ว่าเขาจะยังไม่บรรลุระดับผสานอินทรีย์ แต่จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย ก็เป็นเช่นนี้
ชั่วพริบตานั้นจิตสัมผัสของเขาพลันทะลุผ่านห้องลับ มาปรากฏตัวที่ด้านนอกยอดเขา
ผลคือเขาอดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าสลายหายไปแล้ว แต่ด้านนอกยังคงมีฉากสยองขวัญอยู่เต็มไปหมด
ก่อนหน้านี้มีพายุหิมะไม่ธรรมดา ต้นไม้ใบหญ้าในบริเวณรอบไม่เพียงหายไปกว่าครึ่ง ต้นไม้ที่เหลืออยู่ก็ล้มระเนระนาด ท่าทางกำลังดิ้นรนเฮือกสุดท้าย
เทือกเขาครึ่งหนึ่งโล้นเกลี้ยง เผยท่าทางรกร้างว่างเปล่าออกมา
หลังจากที่หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปรอบๆ สองสามรอบ แล้วกวาดมองจุดที่ไกลออกไป ชั่วพริบตานั้นก็กวาดผ่านทุกอย่างในรัศมีพันลี้ไป
ฉับพลันนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี จิตสัมผัสหยุดชะงักที่ขอบของทะเลหมอก แล้วห่อหุ้มยอดเขาทั้งลูกเอาไว้
ในถ้ำพำนักแห่งหนึ่งตรงตีนเขา คาดไม่ถึงว่าจะมีจิตสัมผัสของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาแฝงตัวอยู่
แม้ว่าด้านนอกถ้ำพำนักจะมีเขตอาคมต้องห้ามอยู่ไม่กี่ชั้น แต่เมื่อจิตสัมผัสของหานลี่แข็งแกร่งแล้ว ย่อมเป็นเหมือนกับกระดาษแผ่นหนึ่งก็ไม่ปาน
รวบรวมจิตสัมผัสทะลวงเข้าไปใจเขตอาคมสองสามชั้น กลิ่นอายที่สัมผัสได้พลันปรากฏขึ้น
ในห้องลับแห่งหนึ่ง มีผู้สวมชุดคลุมสีขาวหน้าตาหมดจดนั่งสมาธิอยู่คนหนึ่ง!
หานลี่ไม่ได้ปกปิดจิตสัมผัสของตน ประกอบกับการทะลวงผ่านเขตอาคมเข้ามา ดังนั้นเมื่อปรากฏในห้องลับ ก็ถูกผู้สวมชุดคลุมสีขาวสัมผัสได้ทันที
เขาลืมตาทั้งสองข้างขึ้น แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ข้าน้อยกู่อวิ๋นจากภูเขาเย่ว์หนาน คารวะสหาย ยินดีด้วยที่สหายประสบความสำเร็จ!”
“ภูเขาเย่ว์หนาน? หรือว่าจะเป็นภูเขาเย่ว์หนานที่อยู่ใกล้ๆ กับเมืองฝุ่นธุลี?” หานลี่พลันตกตะลึง เอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจนัก
“หึๆ ใช่แล้ว ภูเขาลูกนั้นนั่นแหละ หรือว่าสหายรู้จักตระกูลกู่ของพวกเรา?” ครั้งนี้กลับทำให้ผู้สวมชุดคลุมสีขาวรู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย
“แม้ว่าตระกูลกู่ข้าจะไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่ชื่อเสียงของภูเขาเย่ว์หนานก็พอจะรู้อยู่บ้าง เช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรที่หลบซ่อนตัวอยู่ในภูเขาตามตำนาน ก็คือตระกูลกู่ของพวกเจ้า” หานลี่เอ่ยอย่างแช่มช้า
“หึๆ สหายน่าจะเคยได้ยินตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้สินะ ตระกูลกู่ของพวกเราสืบเชื้อสายมาตั้งแต่อดีตกาล เพื่อปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไข ตระกูลของเราจึงไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับโลกภายนอก แม้ว่าผู้ที่รู้เรื่องนี้จะมีไม่มาก แต่จากอิทธิฤทธิ์ของสหาย วันข้างหน้าก็คงรู้เรื่องนี้ในอีกไม่ช้าก็เร็ว” ผู้สวมชุดคลุมสีขาวหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา
“ตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้? เช่นนั้นเจ้ารู้จักตระกูลเยี่ยและตระกูลหล่งหรือไม่?” หานลี่เงียบขรึมไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามขึ้น
“ตระกูลเยี่ยตระกูลหล่งล้วนเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้ แม้ว่าตระกูลกู่อย่างพวกเราจะไม่ได้อ่อนแอ แต่เทียบกับสองตระกูลนี้ ก็ยังด้อยกว่าขั้นหนึ่ง สหายเอ่ยถึงสองตระกูลนี้ หรือว่ารู้จักศิษย์ในตระกูลทั้งสอง” ผู้สวมชุดคลุมสีขาวลังเลเล็กน้อย
“อืม ข้าน้อยเคยรู้จักกับลูกศิษย์จากสองตระกูลนี้ แต่ไม่นับว่าสนิทอันใด กลับเป็นสหายที่มาปรากฏตัวที่นี่ และรั้งรอไม่ไปไหน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือ?” หานลี่เอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“หึๆ ที่นี่เป็นสาขาย่อยที่ลูกศิษย์ของตระกูลกู่คนหนึ่งมาเปิดถ้ำพำนักอยู่ เดิมข้าแค่บังเอิญผ่านทางมา คิดไม่ถึงว่าจะมาพบกับสหายผู้มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรที่นี่ ภายใต้อารามดีใจจึงอยากจะทำความรู้จักกับสหายสักหน่อย” ผู้สวมชุดคลุมสีขาวเอ่ยด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ผู้แซ่หานฝึกฝนเสร็จแล้ว หากสหายไม่รังเกียจ ก็มาพบกันที่ที่พักของข้าเถิด ข้าน้อยเองก็สนใจเรื่องราวของตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้เช่นกัน เจ้ากับข้าทำความรู้จักกันน่าจะมีประโยชน์ไม่น้อย” หานลี่เอ่ยอย่างแช่มช้า
“เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผู้แซ่กู่ร้องขอก็ยังไม่อาจสมหวังจริงๆ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้” ผู้สวมชุดคลุมสีขาวได้ยิน ย่อมเอ่ยตอบรับด้วยความดีใจ
“เช่นนั้นผู้แซ่หานจะรอต้อนรับการมาเยือนของสหายในถ้ำพำนัก!”
น้ำเสียงของหานลี่ค่อยๆ แผ่วเบาขึ้น หลังจากผ่านไปชั่วครู่ จิตสัมผัสก็สลายหายไปจากในห้องลับ
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา สายรุ้งสีขาวก็พุ่งออกมาจากตีนเขา หลังจากกะพริบวาบๆ ก็มาอยู่ตรงขอบของทะเลหมอกที่ห่างออกไปสิบกว่าลี้
ทะเลหมอกที่แต่เดิมสงบนิ่งไม่ขยับเขยื้อน อักขระสีเงินตัวใหญ่สองสามตัวเปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นทะเลหมอกก็หมุนวนแบ่งออกเป็นสองฝั่ง
ทางเดินความกว้างสองสามจั้งปรากฏขึ้น แล้วสอดเข้าไปในส่วนลึกของทะเลหมอก
กู่อวิ๋นไม่ลังเลเลยสักนิด ลำแสงหลีกหนีพุ่งเข้าไปข้างใน หลังจากกะพริบวาบๆ สายรุ้งสีขาวก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยในส่วนลึกของทางเดิน
ยามนี้หมอกแยกออกแล้วผสานเข้าหากันดังเดิม
เมื่อกู่อวิ๋นบินมาอยู่ตรงใจกลางทะเลหมอกของยอดเขา หานลี่ก็เดินออกมาจากประตูถ้ำพำนัก แล้วรออยู่ตรงนั้นด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นหานลี่เป็นดังที่ตนเองคาดการณ์ไว้ เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นปลายคนหนึ่ง กู่อวิ๋นย่อมฉีกยิ้มกว้างขึ้น
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันตามมารยาทแล้วก็เดินเข้าไปในถ้ำพำนักตามลำดับ
และไม่รู้ว่าหานลี่และอีกฝ่ายพูดคุยอันใดกันในถ้ำพำนัก หลังจากผ่านไปครึ่งวันเต็มๆ ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลกู่ผู้นี้ถึงได้เดินออกมาอีกครั้งด้วยสีหน้าเสียดาย แล้วบินออกไปจากทะเลหมอก
หลังจากกลับมาที่พัก กู่อวิ๋นก็ออกคำสั่งกับชายชราที่เป็นสาขาย่อยของตระกูลกู่ให้จากไปจากที่นี่
ในเวลาเดียวกันหานลี่กลับอยู่ในห้องลับ ควงคัมภีร์สีขาวเล่ม ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“คาดไม่ถึงว่าตระกูลกู่จะมีสมญานามว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของวิญญาณเที่ยงแท้ และยังมีสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์นั่งบัญชาการอยู่ จากนี้คงต้องระวังหน่อยแล้ว”
หานลี่เอ่ยพึมพำสองสามประโยค ในมือเปล่งแสงสว่างวาบ คัมภีร์สลายหายไป
คัมภีร์นี้เป็นสิ่งที่กู่อวิ๋นมอบให้ ด้านในบันทึกสิ่งของที่เกี่ยวกับตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้เอาไว้ ให้หานลี่รู้จักตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้คร่าวๆ
แน่นอนว่าของเหล่านี้ไม่ใช่ของลึกลับอันใด ผู้บำเพ็ญเพียรที่พัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับหลอมสุญตาทั่วๆ ไป ล้วนค่อยๆ ทราบเรื่องนี้จากช่องทางอื่นๆ
ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลกู่ผู้นี้ แค่ถือโอกาสแสดงน้ำใจเท่านั้น
สาเหตุที่เมื่อครู่หานลี่เชิญอีกฝ่ายให้มาพูดคุยที่ถ้ำพำนัก กลับเป็นเพราะก่อนหน้าเขาได้ล่วงเกินตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้เช่นเดียวกันไปอย่างตระกูลหล่ง ทำให้แผนการต่อตระกูลเยี่ยของตระกูลนี้ล้มเหลว
แม้ว่าจะผ่านไปสองสามร้อยปีแล้ว แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วเวลาแค่นี้ย่อมไม่พอให้ตระกูลหล่งลืมเลือนทุกอย่างนี้
ในเมื่อเขากลับมาในเผ่ามนุษย์ และยังต้องพักอาศัยระยะยาว แน่นอนว่าย่อมต้องทำความเข้าใจและเตรียมการป้องกันก่อน
นี่ถึงได้พอได้ยินฐานะของกู่อวิ๋นก็เชิญให้อีกฝ่ายมาพูดคุยที่ถ้ำพำนัก
อย่างที่เขาคิดไว้ ตระกูลกู่ผู้นี้พูดคุยกับเขาได้ไม่นาน ก็เชิญให้เขาเข้าร่วมตระกูลกู่ รับตำแหน่งอาวุโสแขกผู้มีเกียรติ
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมปฏิเสธไปแบบอ้อมๆ
จากพลังยุทธ์ของเขาในยามนี้ ไม่อาจเข้าร่วมกับเผ่าหรือตระกูลใดได้ และยิ่งไปกว่านั้นจากต้นกำเนิดของเขา กู่อวิ๋นเอ่ยเงื่อนไขที่ค่าตอบแทนที่สูงลิบออกมา ก็ยิ่งไม่อาจทำให้เขาสนใจได้เลยสักนิด
หานลี่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ด้วยสีหน้าที่บัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส สั่นศีรษะโยนเรื่องนี้ทิ้งไป แล้วสะบัดข้อมือ ม้วนภาพวาดยาวสองสามฉื่อปรากฏขึ้นตรงหน้า