คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1871 พึ่งพิง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1871 พึ่งพิง
“ในเมื่อท่านอาวุโสว่าเช่นนี้ เช่นนั้นก็ย่อมไม่ผิดแน่นอน สำหรับชายผู้นั้น ข้าน้อยมองเห็นเงาจำแลงของมังกรวารีเลือนรางอยู่ในร่างของเขา และในกายยังมีไอมารระดับสูงบริสุทธิ์แอบแฝงอยู่ เขาคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลมารเที่ยงแท้หรอกกระมังเจ้าคะ” หญิงตระกูลมู่พูดขึ้นอีกครั้งด้วยความนอบน้อม
“มังกรวารี ไอมาร! น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเผ่ามาร ตอนนี้แดนวิญญาณสามารถอาศัยไอมารฝึกฝนวิทยายุทธ์ จำนวนมากมายเหลือคณา ถ้ากายแท้ของเขาเป็นมังกรวารี นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ เผ่าพันธุ์มังกรวารีเป็นศัตรูตัวฉกาจกับเผ่าพันธุ์มารแท้ หากได้พบหน้ากัน เป็นได้รบกันให้ตายไปข้างหนึ่ง” ชายชราชุดครามครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นพูดปฏิเสธ
ผู้อาวุโสตระกูลมู่คู่นี้ถึงแม้จะมีความรู้กว้างขวาง แต่ก็ไม่อาจจะมองร่างแท้ของชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำได้ออกว่านั่นคือผู้สืบสายเลือดมังกรชั่วร้ายที่ดับสลายไปจากแดนวิญญาณไม่รู้นานสักเท่าไรแล้ว
ดังนั้น การตัดสินของเขานับว่าผิดพลาดประการใหญ่
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหนือท้องฟ้าไกลออกไปนับหมื่นลี้ ชายฉกรรจ์หน้าตาอัปลักษณ์กำลังพูดถามหญิงสาวในชุดสีขาวด้วยความนอบน้อม
“ท่านบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ ในเมื่อบุปผาปัญญาสีดำนี้มีประโยชน์กับผู้สูงอายุอย่างท่าน เหตุใดจึงไม่เอามาเสียทั้งหมด ยังเหลือไว้ตั้งครึ่งนึงเพื่อประโยชน์อันใดหรือ ผู้อาวุโสตระกูลมู่ผู้นั้นเป็นเพียงระดับมหาเมธีช่วงต้น จะสามารถคุกคามท่านบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไรกัน อย่างไรเสียอิทธิฤทธิ์ของท่านนั้น ต่อให้เป็นบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถอยู่ในห้าอันดับแรกได้”
“จระเข้กระจ้อยร่อยอย่างเจ้านี้จะรู้อะไร! ข้าถึงแม้ว่ามีความมั่นใจว่าจะเอาชนะผู้อาวุโสตระกูลมู่ได้ แต่ก็ไม่ได้มั่นใจว่าจะฆ่าคนผู้นี้ได้ มิหนำซ้ำบุปผาวิญญาณสีดำนั้นมีฤทธิ์คืนสภาพอาการแบบเจ็บของข้าอยู่จำกัด กินเกินสิบดอกก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นไปอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ได้กับความเสี่ยงนั้นเทียบกันไม่ได้ แล้วไยข้าจึงไม่เลือกหนทางที่ทรงปัญญามากกว่าเล่า”
“ที่แท้ก็เช่นนี้นี่เอง แต่ทว่าท่านบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ พวกเราได้เดินทางทั่วทั้งดินแดนเฟิงหยวนไปมากกว่าครึ่งแล้ว ต่อจากนี้หากยังเก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้อีกล่ะก็ พวกเราจะไปจากดินแดนแห่งนี้หรือไม่ขอรับ หากข้าน้อยจำไม่ผิด สงครามศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนว่าจะปะทุขึ้นเร็วๆ นี้ หากเราประสบพบเจอกับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผู้อื่นที่มาจุติ เกรงว่าจะไม่ดีอย่างยิ่ง” ชายฉกรรจ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นอย่างระวัง
“สงครามศักดิ์สิทธิ์! อืม ตอนที่ยังไม่ได้หนีออกจากสงครามศักดิ์สิทธิ์ ถ้าบรรดาบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ได้รู้ถึงขณะนี้เวลาที่จะเกิดขึ้น และยังได้หารือเกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้อง ที่แห่งนี้เป็นดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งทั้งสองดินแดนข้องเกี่ยวไปมาหาสู่กันอย่างแน่นหนาอย่างยิ่ง แต่จระเข้น้อยอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น! ขอให้สงครามศักดิ์สิทธิ์ปะทุขึ้นโดยเร็ว บรรพชนศักดิ์สิทธิ์อื่นก็ไม่อาจมาปรากฏตัวบนแดนวิญญาณได้ในทันที สามารถมาจุติได้อย่างมากก็เป็นเพียงร่างจำแลงแบ่งภาคของพวกเขา อีกครั้งในตอนแรกข้าไม่ค่อยแน่ใจ แต่เมื่อมายังที่แห่งนี้แล้วได้ใช้เคล็ดวิชาลับคำนวณดูแล้ว สิ่งที่ข้าแสวงหามีความหวังอย่างมากในดินแดนแห่งนี้ สภาพเช่นนี้ จะให้ข้าจากไปแต่โดยเร็วได้อย่างไร” หญิงสาวในชุดสีขาวตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ
“ที่แท้ก็เช่นนี้นี่เอง ถ้าเช่นนั้นผู้น้อยก็จะไม่ห่วงชีวิต จะหาสิ่งนั้นมาให้ท่านบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ให้ได้อย่างแน่นอน จากนั้นท่านจะได้ฟื้นฟูอิทธิฤทธิ์กลับมาจนครบสิ้น” ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะดำได้ยิน ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา รีบพูดขึ้นพลางเอามือตบอก
“ดูแล้วหมิงหลัวของข้าเมื่อก่อนคงอบรมสั่งสอนเจ้ามาได้ไม่เลวทีเดียว หากเจ้าสามารถช่วยข้าฟื้นฟูอิทธิฤทธิ์ได้จริง ข้าก็จะไม่ตระหนี่ถี่เหนียวเป็นอันขาด ข้าย่อมต้องให้สิ่งที่ดีกับเจ้าเหลือคณาอย่างแน่นอน” บนมุมปากหญิงสาวในชุดสีขาวเผยยิ้มดูลึกลับ นางยิ้มแล้วตอบ
“ขอบพระคุณท่านบรรพชนเป่าหัว! ข้าน้อยจะทุ่มเทสุดกำลังอย่างแน่นอน ต่อให้ตายก็จะไม่มีทางลดละ” ชายฉกรรจ์ได้หยิ่งก็ดีใจเป็นการใหญ่ รีบร้อนแสดงความจงรักภักดีออกมาอีกครั้ง
หญิงสาวในชุดขาวชำเลืองมองชายฉกรรจ์ สีหน้าดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
ทว่าที่ซึ่งทั้งสองคนบินไป เห็นได้ชัดว่าคือทิศทางดินแดนซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่
……
หานลี่ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง มองไปยังริ้วมารที่สูงตระหง่านทอดยาวไกลหลายสิบลี้ สีหน้าดูบึ้งตึงไม่สงบอยู่เล็กน้อย
ห่างจากเขาไปด้านหลังไกลหลายจั้ง ลูกศิษย์อันดับสามไป๋กั่วเอ๋อร์ยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้านอบน้อมอย่างทำตัวไม่ถูก
“กลับไปเถอะ ดูไปแล้วเคราะห์มารคงต้องปะทุขึ้นครึ่งปีหลังจากนี้แน่” หานลี่ปรับน้ำเสียง จากนั้นก็พูดกำชับสั่งอย่างไร้ซึ่งความสงสัย
“เจ้าค่ะ อาจารย์!”
ศิษย์อันดับสามไม่มีความคิดเห็นใด
ครั้นแล้วหานลี่ก็สะบัดแขนเสื้อ ฉับพลันนั้นเองแสงสีน้ำผืนหนึ่งเงินก็แผ่พุ่งออกมา โอบล้อมทั้งสี่คนเอาไว้ จากนั้นก็พุ่งไปยังถ้ำที่พำนัก
ผ่านไปครึ่งช่วยยาม หานลี่ได้นั่งอย่างภูมิฐานบนที่นั่งเจ้าเรือน อีกข้างหนึ่งคือหญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดสีเงินนางหนึ่งนั่ง นั่นก็คือหงส์น้ำแข็งผู้ซึ่งหลายปีมานี้ได้ฝึกบำเพ็ญภายใต้การคุ้มครองดูแลของเขา
หงส์น้ำแข็งในเวลานี้ ไม่เพียงแต่พลังยุทธจะฟื้นฟูกลับมานานแล้ว หนำซ้ำยังได้เข้าสู่ระดับแปลงเทพช่วงปลาย สามารถเลื่อนข้ามขั้นได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่ายาวิเศษของหานลี่มีส่วนช่วยอยู่ไม่น้อย
ถัดลงมาจากหงส์น้ำแข็ง นั่นก็คือลูกศิษย์ทั้งสามคนไป๋กั่วเอ๋อร์ ไห่ต้าเซ่ารวมไปถึงชี่หลิงจื่อ
“พี่หาน ตอนนี้ริ้วมารอยู่ใกล้ท่านพำนักของพวกเราถึงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับฝึกบำเพ็ญอีกแล้ว ไม่รู้ว่าต่อจากนี้วางแผนจะทำเช่นไร พวกเราจะย้ายไปที่อื่นหรือไม่” หงส์น้ำแข็งถามหานลี่เบาๆ สีหน้าเจือด้วยความกังวล
ในเวลานับร้อยปีมานี้ นี่คือช่วงเวลาที่น่าพึงพอใจที่สุดในชีวิตการบำเพ็ญพรตของหญิงสาวผู้นี้ ไม่เพียงแต่ไม่ต้องกังวลภยันตรายใดแม้สักนิด หนำซ้ำยังมียาวิเศษช่วยส่งเสริมระดับการบำเพ็ญเพียรจนก้าวหน้าให้กินอยู่ไม่ขาด ย่อมต้องรู้สึกจนปัญญาอย่างมากกับการปะทุขึ้นของเคราะห์มารในเวลานี้
“อืม ถ้ำพนักคงต้องย้ายจริงๆ ย้ายไปกลางเมืองเทียนหยวนเสียเลยแล้วกัน อย่างไรเสียหากเคราะห์มารปะทุขึ้น ที่ซึ่งมีคนน้อยคงจะเป็นอันตรายอย่างมาก ต่อให้ไม่ไปที่เมืองเทียนหยวน ก็คงได้แต่ไปที่เมืองซันหวง แววตาหานลี่ส่องประกาย จากนั้นก็พูดขึ้นช้าๆ
“ย้ายไปที่เมืองเทียนหยวน หรือว่าพี่หานจะเข้าร่วมสมาคมผู้อาวุโสอย่างนั้นหรือ” หงส์น้ำแข็งรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
“มิใช่หรอก จากนี้ไปผู้ซึ่งจะต้องอยู่พำนักที่เมืองเทียนหยวนถาวรคือพวกเจ้า ข้าจะคอยช่วยอยู่ดูแลเมืองเทียนหยวนระหว่างการโจมตีของเผ่ามารระลอกแรกๆ ก่อน จากนั้นก็จะไปหาสถานที่อันเป็นความลับซึ่งเผ่ามารจะไม่สามารถหาพบอยู่ช่วงหนึ่งเพื่อฝึกบำเพ็ญ” หานลี่ส่ายหน้าตอบ
“คืออะไรกันหรือ หรือว่าพี่หานจะ…” หงส์น้ำแข็งกะพริบตามองสองสามทีด้วยความสงสัย แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่ผิด ขอเพียงได้เวลาเพิ่มอีกสักสิบปี ข้าก็อาจจะสามารถทะลุจุดคอขวดของระดับผสานอินทรีย์ได้ หากเป็นเช่นนี้ ข้ายอมต้องการเวลาอีกสักหน่อยในการฝึกบำเพ็ญ” หานลี่พยักหน้า
“ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำเช่นนี้คงจะเป็นวิธีที่ฉลาดแล้วจริงๆ สำหรับเรื่องช่วยสหายให้ทะลุจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์ช่วงปลาย แต่ไหนแต่ไรก็เป็นเรื่องที่ตกลงกันมาดีแล้ว ข้าจะคอยฟังคำสั่งจากพี่หานเสมอ” หงส์น้ำแข็งเมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่ ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา นางตอบกลับเสียงเบา
“อืม ในเมื่อท่านเซียนหงส์ไม่ขัดข้อง เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสามคนก็รีบกระจายคำสั่งไปให้ลูกศิษย์ทั้งหมด แล้วจัดการเก็บถ้ำที่พำนัก อีกสามวันให้หลังจะไปจากที่นี่โดยเร็ว กั่วเอ๋อร์ในเมื่อไม่ยินดีไปเมืองเทียนหยวน รอให้ลูกศิษย์ทั้งหลายได้ที่พำนักดีแล้ว เจ้าก็ไปที่เมืองเสวียนอู่แล้วกัน เมืองเสวียนอู่มีจอมจักรพรรดิเสวียนอู่และเต่าเฒ่านั้นคอยบัญชาการอยู่ ก็ถือว่าเป็นสถานที่ซึ่งปลอดภัยไม่น้อยเลยทีเดียว” หานลี่ออกคำสั่งกับลูกศิษย์ทั้งสามอย่างหนักแน่น
“รับทราบขอรับ ท่านอาจารย์!”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์!”
……
พวกไป๋กั่วเอ๋อร์ทั้งสามย่อมไม่ขัดข้อง ลุกขึ้นคำนับตอบอย่างพร้อมเพรียง
ครั้นแล้ว สามวันให้หลัง เรือยักษ์ยาวนับสามสิบกว่าลำ บินเสียงดังสนั่นออกไปจากยอดเขา
ด้านหน้าสุดของเรือยักษ์ลำหนึ่ง ชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินยืนอย่างสง่าอยู่เงียบๆ ณ ที่นั่น สีหน้าสงบนิ่งถึงที่สุด ดูราวกับทุกสรรพสิ่งภายนอกบนโลกนี้ไม่อาจกระทบถึงจิตใจเขาได้
ในเรือยักษ์ลำอื่นที่เหลือ มีหญิงชายทั้งหนุ่มสาวแก่ชรายืนกันอยู่แน่นขนัด บางคนสีหน้าตื่นกังวล บ้างก็ดูตื่นเต้น
ชั่วครู่เดียว เรือยักษ์จำนวนหลายลำก็เปล่งแสงวิญญาณออกมา กลายเป็นลูกแสงขนาดมหึมาพุ่งออกไปลูกแล้วลูกเล่า ชั่วพริบตาเดียวก็หายลับไปที่แนวเส้นขอบฟ้า
แทบจะพร้อมกันนั้นเอง กลางเทือกเขาขนาดเล็กที่โอบล้อมด้วยดินแดนแห่งขุนเขาห่างจากถ้ำที่พำนักของหานลี่ไกลออกไปหลายหมื่นลี้ ผู้บำเพ็ญเพียรคนสามัญจำนวนนับหมื่นอีกกลุ่มหนึ่งก็กำลังทยอยพากันขึ้นไปยังเรือบินขนาดยักษ์ลำแล้วลำเล่า
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงผู้คนก็ดังขึ้นเซ็งแซ่ไม่ขาด ราวกับว่าเป็นตลาดสดอันจอแจ
บนเรือลำหนึ่งในนั้น มีคนระดับเทพแปลง ระดับหลอมสุญตาจำนวนสิบกว่าคน กำลังออกันอยู่รอบหญิงสาวในชุดชาววังนางหนึ่ง
หญิงสาวผู้นี้อายุราวยี่สิบกว่าปี หน้าตาสะสวยงดงาม แต่เมื่อได้เห็นฉากอันวุ่นวายที่อยู่ต่อหน้า คิ้วก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย
“ท่านโลหิตวิญญาณ ตระกูลสวีของพวกเราจะหนีไปพึ่งจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ ผู้น้อยเห็นว่าเมืองเสวียนอู่น่าจะมั่นคงยิ่งกว่า อย่างไรเสียเมืองจักรพรรดิเสวียนอู่ นอกจากจักรพรรดิเสวียนอู่แล้ว ยังมีสัตว์อสูรยักษ์ที่คล้ายกับวิญญาณแท้อยู่อีกตัวหนึ่ง” ผู้เฒ่าระดับหลอมสุญตาผู้หนึ่งพูดถามด้วยความลังเลเล็กน้อย
“อย่างไรกันหรือ พวกเจ้าเคลือบแคลงการตัดสินใจของข้าหรือ” หญิงสาวในชุดชาววังหันกลับ แล้วถามผู้เฒ่าด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“หาไม่ได้ ไม่มีความคิดเช่นนั้นเป็นอันขาด” ผู้เฒ่าคนนั้นรีบแก้ต่างอย่างร้อนรน
“ฮึ พวกเจ้าจะรู้อะไรกัน! เมืองเสวียนอู่มีจักรพรรดิและเจ้าเต่าเฒ่านั่น แน่นอนว่าความสามารถต้องเหนือกว่าเมืองเทียนหยวนไปหนึ่งขั้น แต่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนในตอนนี้ก็ลึกล้ำไม่น้อย เมื่อไปถึงที่เมืองเทียนหยวนแล้ว ตระกูลสวีของพวกเราจะไม่ถูกใช้เป็นทหารกล้าตายแนวหน้า แต่ถ้าเป็นเมืองเสวียนอู่ ข้าไม่กล้ารับรองอะไรทั้งสิ้น” หญิงสาวในชุดชาววังพูดขึ้นอย่างมั่นใจ
“ที่แท้ก็เช่นนี้นี่เอง ผิดไปแล้วที่ล่วงเกินท่าน!” ผู้เฒ่าคนนั้นเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา
“เห็นแก่ที่เจ้าคำนึงถึงตระกูลสวี ครั้งนี้ก็แล้วไปเถอะ หากมีอีกครั้ง อย่าหาว่าข้าไม่เมตตาแล้วกัน” ดวงตาหญิงสาวในชุดชาววังฉายแววดุดัน พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ผู้คนทั้งหลายรวมไปถึงผู้เฒ่า ต่างรู้สึกเกรงกลัวขึ้นมา พร้อมกันโค้งคำนับแล้วพูดว่า “มิกล้า”
หญิงสาวในชุดชาววังส่ายมือ จากนั้นก็หันหน้ากลับไป
ผ่านไปราวครึ่งวัน เรือรบน้อยใหญ่นับร้อยลำลอยขึ้นสู่กลางอากาศพร้อมกัน แล้วต่างลอยลำไปยังทิศทางหนึ่ง
ชั่วพริบตาเดียว เทือกเขาขนาดเล็กแห่งนี้ก็ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน งานตระกูลอันยิ่งใหญ่ของตระกูลสวีถูกล้มเลิกอย่างหมดสิ้นด้วยประการนี้
สภาพเช่นเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในที่ต่างๆ เช่นกัน
ตระกูลขนาดเล็กและกลางพี่ยังไม่ได้ไปพึ่งพิงอิทธิพลอื่น เมื่อริ้วมารปรากฏขึ้นก็ไม่อาจที่จะดำรงอยู่ได้ต่อ ต่างทอดทิ้งงานการบ้านเรือนแล้วจากไป
……
สองเดือนให้หลัง กำแพงเมืองขนาดมหึมาของเมืองเทียนหยวน มีภิกษุสวมจีวรสีทองเงินผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่ที่นั่น แต่ดวงตาทั้งคู่ที่หรี่อยู่นั้นส่องประกายเลือนรางออกมาอยู่พักๆ
ด้านหลังภิกษุรูปนั้น ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่แต่งตัวในชุดที่แตกต่างกันอีกสิบกว่าคน มากกว่าครึ่งล้วนแต่มองไปยังท้องฟ้าที่ไกลออกไปด้วยความใคร่รู้เช่นกัน
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วมื้ออาหาร ขอบฟ้าปรากฏแสงวิญญาณส่องสว่าง เรือบินปรากฏขึ้นลำต่อลำ กำลังบินลอยลำพุ่งตรงมายังผู้คนที่อยู่บนกำแพง
ทันใดนั้นกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ด้านหลังพระภิกษุ ก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่นกันขึ้นมา สภาพโกลาหลขึ้นเล็กน้อย
พระภิกษุเฒ่าถึงแม้ว่าจะไม่ได้เหลียวกลับไปมอง แต่ก็สามารถสัมผัสถึงปฏิกิริยาของผู้คนที่อยู่ด้านหลังได้อย่างชัดเจน จึงขมวดคิ้วขึ้นมาทันที แล้วกระแอมขึ้นมาเบาๆ หนึ่งครั้ง
ถึงแม้เสียงจะไม่ดัง แต่ความแตกตื่นที่อยู่ด้านหลังนั้นกลับสงบลงในทันที
ในตอนนี้ไกลออกไปมีแสงวิญญาณส่องสว่างอยู่หลายแห่ง เงาเรือรบหลายลําปรากฏขึ้นมาทันที