คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1963 ธารน้ำแข็งใต้ดิน
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1963 ธารน้ำแข็งใต้ดิน
ท่ามกลางรูสีดำมีหมอกลำแสงห้าสีเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างหงส์สวรรค์พลันหายวับไป
จากอิทธิฤทธิ์ด้านห้วงเวลาโดยกำเนิดของร่างหงส์สวรรค์ ประกอบกับหานลี่เคยผ่านประสบการณ์เข้าไปในห้วงมิติเวลามาหลายครั้ง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเห็น ‘ทางเชื่อม’ ของเผ่านี้อยู่ในสายตา
ถึงอย่างไรเสียแม้แต่จอมมารธรรมดาจะทลายเขตแดนได้ เขาก็น่าจะใช้ทางเชื่อมนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาหวาดกลัวก็คืออีกด้านของทางเชื่อมนี้มีเผ่ามารที่มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรรักษาการณ์อยู่ และปะทะเข้ากับเขาพอดิบพอดี
ทว่า ‘ทางเชื่อม’ ขนาดเล็กนี้มีโอกาสน้อยมาก แทบจะเป็นไปไม่ได้
ดังคาดเมื่อหงส์สวรรค์เผชิญหน้ากับพายุมารชั่วครู่ หลังจากที่ทลายพลังกั้นของห้วงมิติเวลาไปสิบกว่าชั้น เบื้องหน้าก็เปล่งแสงสว่างวาบ เผยดวงลำแสงออกมา
หานลี่พลันรู้สึกดีใจ ปีกของหงส์สวรรค์ออกแรงกระพือ ผิวเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายรางเลือนจนมองไม่เห็น
ทางออกอีกด้านของทางเชื่อม คือทะเลทรายสีดำไร้ขอบเขตผืนหนึ่ง
บนพื้นดินตรงข้ามกับทางเชื่อม มีสิ่งปลูกสร้างสีดำราวกับหอคอยตั้งตระหง่านอยู่สองหลัง ด้านในมีผู้พิทักษ์เผ่ามารรักษาการณ์อยู่ยี่สิบสามสิบคน บางครั้งก็มองมาที่ทางเชื่อมสองแวบ
หลังจากที่ผ่านไปสองสามชั่วอึดใจ พลังห้วงเวลาก็อ่อนกำลังลง หงส์สวรรค์เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นที่ใจกลางทางเชื่อมอย่างเงียบเชียบ แล้วพลิ้วกายบินหนีออกไปร้อยจั้งเศษ พลิ้วไหวแล้วจมหายไปกลางอากาศ
ส่วนผู้พิทักษ์เผ่ามารบนสิ่งปลูกสร้างสีดำสองหลัง พลังยุทธ์สูงสุดอยู่แค่ระดับก่อกำเนิดเท่านั้น ประกอบกับรักษาการณ์อยู่ที่นี่มานานไม่เคยมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น จึงไม่ได้ใส่ใจไปตั้งนานแล้ว และไม่ได้พบความผิดปกติอันใดเลยสักนิด
หงส์สวรรค์เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าอีกด้าน หลังจากที่หมอกลำแสงอ่อนๆ หมุนวนโคจร ก็กลายร่างเป็นมนุษย์
หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หันกลับไปมองทางออกของทางเชื่อมด้านหลังแวบหนึ่ง สีหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย
การแอบเข้ามาในแดนมารในครั้งนี้ คาดไม่ถึงว่าจะราบรื่นขนาดนี้ ขั้นตอนที่เตรียมเอาไว้ล้วนไม่จำเป็นต้องใช้
เขาพลันรู้สึกดีใจ
หานลี่ถึงได้พิจารณาดินแดนที่เหมือนกับทะเลโลหิตภูเขาดาบสำหรับเผ่ามนุษย์รอบๆ
เห็นเพียงท้องฟ้าเป็นสีเหลืองอ่อน ไม่มีก้อนเมฆ แต่มีดวงอาทิตย์ทรงกลดสีแดงโลหิตสามดวงอยู่ตรงนั้น นอกจากนี้ทัศนียภาพบนพื้นดินก็ทำให้เขารู้สึกไม่แตกต่างอันใดกับแดนวิญญาณมากนัก
หากจะบอกว่ามีจุดเล็กๆ ใดที่แตกต่างกับแดนวิญญาณ ก็คือไอวิญญาณบางเบากว่าแดนวิญญาณมาก กลางอากาศมีไอมารอ่อนๆ ลอยคลอเคลียอยู่
ทว่าไอมารนี้ไม่ค่อยเด่นชัดนัก หากไม่พิจารณาอย่างละเอียด แม้กระทั่งอาจจะมองข้ามไป
นี่จึงทำให้หานลี่ประหลาดใจไปเล็กน้อย
ทว่าเขาไม่ได้เข้ามาในแดนมารเพื่อศึกษาอันใด แต่มีจุดประสงค์อื่น ดังนั้นจึงแค่มองชั่วครู่ ปากก็บริกรรมคาถา เกราะมารบนร่างปรากฏขึ้นอีกครั้ง และมีไอมารสีดำสนิทจำนวนมากทะลักออกมา ห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้ข้างใน
จากนั้นพลันร่ายอาคมอีกครั้ง ชั่วขณะนั้นกลิ่นอายมนุษย์บนเรือนร่างถูกกลบไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่พลันร้องตะโกนเสียงต่ำๆ ออกมา แขนขาทั้งสี่มีเกล็ดสีทองอ่อนปรากฏขึ้น แต่ไอมารบนเรือนร่างกลับม้วนวนแล้วกลายเป็นสีดำสนิท ในเวลาเดียวกันหว่างคิ้วก็มีลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ เนตรปีศาจที่สามเปล่งแสงสีดำสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น
หานลี่ยื่นแขนและขาออกมา มุมปากหยักรอยยิ้มจางๆ
กลิ่นอายของเขาในยามนี้เป็นดังเผ่ามารระดับสูงตนหนึ่ง ขอแค่ไม่ได้พบกับจอมมารระดับเดียวกันหรือระดับสูงกว่า คิดดูแล้วก็คงไม่มีผู้ใดมองฐานะของเขาออก
หลังจากเปลี่ยนแปลงเสร็จ หานลี่ก็ไม่กล้ารั้งรออันใดอีก ไอมารรอบด้านหมุนวน กลายเป็นพายุสีดำลูกหนึ่งม้วนวนไปยังจุดที่ไกลออกไป
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาสองสามเค่อ เขาก็บินออกจากทะเลทราย เนินเขาที่เต็มไปด้วยไม้พุ่มไม้สีเทาปรากฏขึ้น
เมื่อเข้าสู่แดนนี้ไอมารบางเบาพลันหนาแน่นขึ้นส่วนหนึ่ง แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้หานลี่มั่นใจว่าการคาดเดาของตนเองไม่ผิดพลาด
ระดับความบริสุทธิ์ของไอมารในแดนมารเกี่ยวข้องกับดินแดนเหมือนกับไอวิญญาณ
หานลี่ไม่ได้หยุดการเดินทางของตนเอง กระตุ้นพายุสีดำบินไปยังทิศทางเดิมต่อ
เช่นนี้จึงบินไปหนึ่งวันหนึ่งคืน
เขาไม่เพียงบินออกมาจากแดนเนินเขา ยังผ่านทะเลสาบขนาดยักษ์ และภูเขาที่เรียงทอดกันสีดำสนิทไปด้วย
และไม่รู้ว่าเดิมแดนมารก็เป็นแดนรกร้าง หรือว่าเขาไปผิดทิศทาง
การเดินทางครั้งนี้นอกจากบังเอิญพบกับอสูรมารระดับต่ำเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะไม่พบกับเผ่ามนุษย์เลยสักตน
นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกผ่อนคลายลง และอดที่จะรู้สึกระมัดระวังขึ้นไม่ได้
เช้าวันที่สี่ในที่สุดหานลี่ก็พบกับมนุษย์หน้าอาชาสองสามคนตรงตีนเขาลูกเล็ก กำลังร่วมสังหารมารระดับกลางอยู่ด้วยกัน
มารเหล่านี้ถือไม้กระบอง สวมชุดหนังอสูร กระโดดสูงสิบจั้งเศษ ท่าทางโหดเหี้ยม ดูเหมือนจะมีสติปัญญา
รอบๆ พวกมันมีอสูรมารสีดำราวกับพยัคฆ์เขี้ยวดาบตัวหนึ่งนอนหมอบนิ่งอยู่
เห็นได้ชัดว่ามารเหล่านี้กำลังแย่งชิงสัตว์ที่ล่ามาได้กันให้ตายไปข้าง
หานลี่เห็นเช่นนี้พลันดีอกดีใจ ทันใดนั้นพายุสีดำพลันร่อนลงมา จากนั้นก็ปล่อยประจุไฟฟ้าสีทองออกมา โจมตีไปยังมารสองสามตนนั้น
จากนั้นเขาพลันตะปบมือออกไป มารหนึ่งในนั้นถูกดูดเข้ามาอยู่ในมือทันที นิ้วทั้งห้ากดไปที่หน้าผากของตนแน่น
เขาหรี่ตาทั้งสองข้างลง นิ้วทั้งห้าเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นพลันสำแดงเคล็ดวิชากระชากวิญญาณเริ่มค้นหาจิตสัมผัสของมารเหล่านี้
ไม่แตกต่างอันใดกับที่เขาคาดเอาไว้
มารเหล่านี้เป็นแค่มารที่ฝืนเบิกเนตรได้เท่านั้น ไม่ค่อยรู้เรื่องอันใดนัก และไม่พบข้อมูลอันใด
ทว่าโชคดีที่เรื่องที่เขาสืบหาเป็นแค่ข้อมูลในละแวกนี้เท่านั้น และหาสถานที่ที่เหมาะสมซึ่งอยู่ไม่ไกลนักได้พอดี
หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ประจุไฟฟ้าสีทองเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นในมือ ชั่วขณะนั้นมารในมือพลันถูกสายฟ้าห่อหุ้มเอาไว้แล้วกลายเป็นเถ้าถ่าน
ไม่ใช่แค่นี้เมื่อประจุไฟฟ้าสีทองดีดตัวออกมา หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ก็ทำให้มารที่กำลังสลบไสลตัวอื่นๆ และซากมารอสูรตัวนั้นหายวับไป
พายุสีดำก่อตัวขึ้น หานลี่เปลี่ยนทิศทางไปด้านข้าง!
สองสามชั่วยามต่อมา เทือกเขาพลันสลายหายไป ด้านหน้ามีหุบเขายักษ์ที่มองจนสุดลูกหูลูกตาปรากฏขึ้น
พายุสีดำสลายออก เงาร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นเหนือหุบเขา กวาดตามองไปด้านล่างแวบหนึ่ง
เห็นเพียงหุบเขาด้านล่างมีความกว้างแค่สองสามร้อยลี้ ด้านล่างมีพายุส่งเสียงร้องครวญครางไม่หยุด ภายใต้ฝุ่นทรายและเศษหินที่ปลิวว่อน จึงทำให้เป็นสีเหลืองอำพัน ไม่รู้ว่าลึกลงไปเท่าไหร่
หานลี่สะบัดแขนเสื้อ ผิวเปล่งแสงสีเทาสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าโถมตัวเข้าไปในหุบเขาอย่างไม่หวาดกลัวเลยสักนิด
เมื่อพายุหมุนสัมผัสกับหมอกลำแสงสีเทา ก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป แต่ยิ่งลงไปด้านล่างอุณหภูมิก็ยิ่งลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว หนาวเหน็บมาก แม้กระทั่งสองฝั่งของหุบเขาก็เกิดเป็นน้ำค้างสีขาว
หานลี่ย่อมไม่ได้หวาดกลัวไอเย็นเยียบเหล่านี้ บุกเข้าไปทีเดียวพันจั้ง ในที่สุดก็ถึงก้นหุบเขา
ผลคือลำแสงสีฟ้าด้านล่าง คาดไม่ถึงว่าจะมีสายธารน้ำแข็งสีฟ้ายาวๆ อยู่สายหนึ่ง
ตามหลักการแล้วอุณหภูมิเย็นเยียบนี้ แม่น้ำทั่วๆ ไปย่อมต้องแข็งตัวเป็นสายธารน้ำแข็ง
แต่ผิวของแม่น้ำนี้กลับไม่ได้แข็งตัวเลยสักนิด แค่มีลำแสงสีฟ้าอ่อนสะท้อนออกมาอย่างเงียบๆ แต่ทั้งสองฝั่งกลับเป็นผลึก แข็งเป็นน้ำแข็งสีฟ้าหนาๆ ชั้นหนึ่ง
ส่วนห่างจากสายธารน้ำแข็งไปสิบจั้งเศษ กลับมีเสียงพายุหมุนกรีดร้องขึ้น ราวกับว่าเป็นสองโลกก็ไม่ปาน
หานลี่ลอยอยู่เหนือธารน้ำแข็งไปสองสามจั้ง สายตากวาดมองธารน้ำแข็งโปร่งแสงด้านล่าง ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“จุ๊ๆ แม่น้ำสายนี้แปลกประหลาดหนัก ด้านบนราบเรียบ ด้านล่างกลับน้ำพุไหลริน น่าจะเป็นสายธารที่ลึกลงไปใต้ดิน พลังเย็นเยียบที่นี่ดูเหมือนจะอิทธิฤทธิ์อยู่บ้าง” หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ถึงได้ชักสายตาออกมา และเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
และในยามนั้นฉับพลันนั้นพายุหมุนด้านบนพลันมีเสียงเพรียกดังขึ้น ลำแสงสีฟ้าสองสายพุ่งออกมา ความเร็วหาที่เปรียบ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาอยู่ตรงหน้าของหานลี่
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอสรพิษบินสีฟ้าเรือนร่างโปร่งใสสองตัว บนหัวมีเขาสามเขา และมีมงกุฎสีดำ แค่มองก็ดูมีพิษสงไม่ธรรมดา
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม ร่างกายนิ่งงัน แต่แขนทั้งสองข้างแค่รางเลือนแล้วขยับ ก็ตะปบอสรพิษบินสีฟ้าสองตัวเข้ามาอยู่ในมือ และใช้นิ้วทั้งห้าบีบไปที่หัวของมันอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
อสรพิษบินสองตัวจบชีวิตทันทีโดยไม่ทันได้ส่งเสียงร้องขัดขืน
หานลี่สะบัดแขนอีกครั้ง ซากอสรพิษบินถูกโยนลงไปในน้ำ
ฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น ซากของอสรพิษสองตัวส่งเสียง ‘เกร๊ง’ แล้วถูกน้ำแข็งสีฟ้าห่อหุ้มเอาไว้ จากนั้นก็หนักอึ้งร่อนลงไปด้านล่าง ชั่วพริบตาก็จมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้พลันหลับตาทั้งสองข้างลงใช้จิตสัมผัสตรวจสอบในลำธาร
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใบหน้าพลันเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
“ไม่เหลว ถูกม้วนไปดังคาด แม้ว่าจะไม่รู้ว่าถูกส่งไปไหน แต่คิดดูแล้วของที่โยนเข้าไปน่าจะถูกคนหาพบได้ยาก”
หานลี่เอ่ยพึมพำ มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ
ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบกล่องไม้สีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยก ชั่วขณะนั้นพลันปรากฏขึ้นในฝ่ามือ
หานลี่มองไปที่กล่องไม้แวบหนึ่งอย่างไม่เสียดาย แต่สุดท้ายก็กัดฟันโยนเข้าไปข้างใน
ฉากเช่นเดียวกันปรากฏขึ้น
ชั่วพริบตานั้นผิวของกล่องไม้พลันถูกน้ำแข็งสีฟ้าห่อหุ้มเอาไว้ แล้วจมหายเข้าไปในสายธาร
หานลี่พลันจ้องเขม็งไปที่ส่วนลึกของสายธาร โดยไม่ปริปาก
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาถึงได้พ่นลมหายใจแล้วชักสายตากลับมา ใบหน้าผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน
กล่องไม้ในยามนี้ถูกสายธารใต้ดินดึงลงไปใต้ดินอย่างไร้ร่องรอย
แม้ว่าจะน่าเสียดายเล็กน้อย แต่ในป้อมปราการมารมีมารเฒ่าสองตนอยู่ รีบโยนทิ้งไปจะดีกว่า แม้ว่าจะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกับมารเฒ่าสองตนนั้นอีกหรือไม่ แต่หลังจากนี้พวกเขากลับไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตนอีก ทว่าแดนมารนี้ไม่อาจอยู่นานได้ รีบกลับไปยังแดนวิญญาณจะดีกว่า
หานลี่ขบคิดเช่นนั้น ทันใดนั้นก็ไม่ลังเลอันใดอีก ร่างกายหมุนเคว้ง ผิวมีหมอกสีเทาทะลักออกมา แล้วพุ่งออกมาจากพายุหมุนกลางอากาศ
ในเวลาเดียวกันส่วนลึกของสายธารน้ำแข็งพลันมีกล่องไม้ลอยพลิ้วอยู่ เชอฉีกงกำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องลับราวกับถ้ำหิน สองมือพลันร่ายอาคม ผิวเปล่งแสงสีดำและขาวสว่างวาบ กำลังฝึกฝนการโคจรเคล็ดวิชาอันใดสักอย่างอยู่
ภายในตำหนักหินลับในมิติเวลาอีกแห่งหนึ่ง เฟิงเซวี่ยนั่งอยู่บนฟูก กำลังทำเช่นเดียวกัน
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองไม่รู้อันใดเรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกกล่องไม้เลยสักนิด มิเช่นนั้นคงจะโกรธจนเนื้อเต้นและก่นด่าหานลี่ไปแล้ว
ถึงอย่างไรเสียการกระทำที่ระมัดระวังของหานลี่ ก็ทำให้แผนการเดินของทั้งสองเกิดความวุ่นวายขึ้น ครานั้นพลันเกิดความวุ่นวายขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ