คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1974 ความโกรธ
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1974 ความโกรธ
บุรุษอายุสี่สิบปีเศษ หน้าตาเข้มงวด มือหนึ่งถือคัมภีร์หยกสีขาวหนาๆ เอาไว้ สีหน้าราบเรียบ นั่นก็คืออรหันต์ชิงหลงที่ร่วมกันต้านทานกองทัพเผ่ามารกับหานลี่ในตอนแรก
“ท่านอาวุโสน่าจะทราบดี ใช้วิธีบีบบังคับแล้วข้าไม่ยินยอม ก็ย่อมไม่ได้สิ่งที่ท่านต้องการ และยิ่งไปกว่านั้นท่านอาวุโสไม่สนใจความคิดเห็นของอาวุโสท่านอื่นๆ ในเมืองหรือ?” หงส์น้ำแข็งจ้องเขม็งไปที่อรหันต์ชิงหลง แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“หากเจ้าพูดคำนี้เมื่อสองสามวันก่อน ตาเฒ่าอาจจะหวาดกลัวจริงๆ แต่ยามนี้หรือ ตาเฒ่าฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ใหม่ที่สามารถทำให้เจ้ายอมร่วมมืออย่างพร้อมใจได้แล้ว ส่วนสหายคนอื่นๆ ในเมืองเทวะสวรรค์ เจ้าก็อย่าหวังเลย เมื่อวานข้าเข้าร่วมเมืองเทวะสวรรค์ กลายเป็นหนึ่งในอาวุโสของเมืองอย่างเป็นทางการแล้ว ข้าและผู้บำเพ็ญเพียรที่เพลี่ยงพล้ำไปแล้วผู้ใดสำคัญกว่ากัน พวกเขายังไม่รู้อีกหรือ?” ถึงยามนั้นอรหันต์ชิงหลงก็ไม่จำเป็นต้องโกหกอันใดอีก จึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาด้วยความเย็นชา
หงส์น้ำแข็งได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสี หลังจากถอนหายใจออกมาเบาๆ ฉับพลันนั้นก็ยกข้อมือเรียวขึ้นวาดไปตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ รอยแยกมิติเวลาสีขาวปรากฏขึ้น
ร่างของนางรางเลือน คนหายเข้าไปในนั้น
หงส์น้ำแข็งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า คาดไม่ถึงว่าเสี่ยวหงและพวกที่อยู่ด้านข้างจะไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง
รอจนพวกเขาคิดจะลงมืออีกครั้งด้วยความโกรธเกรี้ยว รอยแยกสีขาวก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วผสานเข้าหากัน
อรหันต์ชิงหลงเห็นสถานการณ์เช่นนั้นกลับยังมีสีหน้าดังเก่า แค่สะบัดคัมภีร์หยกในมือขึ้นไปกลางอากาศ
ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ อักขระโบราณสีเงินบินออกมาจากคัมภีร์หยก และขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าศีรษะ แล้วเปล่งแสงสว่างวาบพลางโจมตีไปที่จุดที่รอยแยกมิติเวลาหายไป
หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น อากาศตรงนั้นพลันมีอักขระสีเงินระเบิดออก บิดเบี้ยวรางเลือนราวกับผิวน้ำ จากนั้นก็ปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
หลังจากแค่นเสียงอย่างกลัดกลุ้ม ร่างของหงส์น้ำแข็งก็เซถลาร่วงลงมาจากกลางอากาศ หลังจากถอยร่นไปถึงได้ฝืนยืนให้มั่นคงได้ และเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
นางในยามนี้แม้ว่าจะยังคงรักษาท่าทางเย็นชาเอาไว้ได้ แต่สีหน้ากลับดูไม่ได้จริงๆ
“หึ หากเจ้าหนีไปต่อหน้าข้าได้ คงต้องอ่านชื่อข้ากลับหัวแล้ว เอาล่ะ เจ้าจะยอมให้เหล่าสหายปิดผนึกพลังปราณดีๆ หรือจะให้ตาเฒ่าลงมือด้วยตนเอง” อรหันต์ชิงหลงกวาดตามองหงส์น้ำแข็งแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างหยิ่งทระนง
เสี่ยวหงและพวกเองก็พลิ้วกายมาล้อมสตรีผู้นี้เอาไว้
หงส์น้ำแข็งยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ในใจพลันรู้สึกหนักอึ้ง
“อ๋อ ไม่ทราบว่าอ่านชื่อสหายชิงหลงกลับหัวเป็นวิธีอ่านอย่างไรหรือ ลองอ่านให้ผู้แซ่หานฟังหน่อยเป็นอย่างไร!”
ในยามที่เสี่ยวหงคิดจะลงมือนั้น เสียงของบุรุษก็ดังก้องไปทั่วห้องโถง
หญิงสาวผู้นี้หน้าซีดไร้สีโลหิต
ในเวลาเดียวกัน เสียง “ปัง” ก็ดังสะเทือนเลื่อนลั่น
ลำแสงวิญญาณที่เดิมเปล่งแสงสว่างวาบถูกปิดผนึกไว้ที่ประตู จู่ๆ ก็ระเบิดออกมาจากด้านนอก!
จากนั้นประตูก็กระเด็นลอยมา กลิ่นอายความบ้าคลั่งทะลักเข้ามาจากด้านนอก!
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาสองคนที่ขวางอยู่ตรงหน้าถูกพลังอันน่ากลัวนี้กระแทกใส่ คาดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับปะทะกับอสูรยักษ์อย่างแรง ร่างกายกระเด็นลอยไปราวกับถุงทราย ชนเข้ากับกำแพงฝั่งตรงข้ามแล้วร่วงลงมา
ส่วนกำแพงนี้ก็ถูกวางเขตอาคมต้องห้ามเอาไว้ จึงแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า
ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนนั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตน ศีรษะจึงมีโลหิตไหลลงมา ล้มลงกับพื้นโดยไม่แม้แต่จะได้ส่งเสียงใดๆ
การโจมตีเมื่อครู่แม้แต่ทารกวิญญาณในร่างกายของพวกเขาก็ดูเหมือนจะถูกทำให้วิงเวียนก็ไม่ปาน
คนอื่นๆ เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ตัวสั่นเทา เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นที่ด้านข้างประตูราวกับกระต่าย
อรหันต์ชิงหลงได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี
ส่วนหงส์น้ำแข็งกลับตกตะลึงระคนดีใจ รีบหันกายมา ดวงตาคู่งามมองไปยังด้านนอกประตู
เห็นเพียงกลิ่นอายน่ากลัวด้านนอกประตูหายไป ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวคนหนึ่งเดินเข้ามา
ไม่ใช่หานลี่แล้วจะเป็นผู้ใดได้!
“พี่หานในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว” แม้ว่าหงส์น้ำแข็งจะเย็นชาเป็นอย่างมาก ครานี้ก็ปกปิดความดีอกดีใจเอาไว้ไม่มิด ใบหน้าแดงระเรื่อขณะเอ่ย
“อืม แม้จะพบความยุ่งยาก แต่ก็กลับมาได้อย่างปลอดภัย” หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปที่ใบหน้าของหงส์น้ำแข็ง มุมปากก็หยักรอยยิ้มจางๆ ออกมาขณะเอ่ย
“คาดไม่ถึงว่าน้องหานจะหนีรอดจากเงื้อมมือของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก ข้าน้อยและสหายคนอื่นๆ จะต้องจัดงานเลี้ยงระงับความตกใจให้สหายแน่” ถึงอย่างไรเสียอรหันต์ชิงหลงก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางคนหนึ่ง หลังจากที่รู้สึกว้าวุ่นใจก็ได้สติกลับคืนมา จึงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
หานลี่กลับไม่สนใจอรหันต์ชิงหลงเลยสักนิด แต่กลับหรี่ตาทั้งสองข้างลง สายตาแหลมคมราวกับใบมีดกวาดไปยังเสี่ยงหงและคนเหล่านั้นแวบหนึ่ง พลางเอ่ยคำพูดที่ไร้ซึ่งความรู้สึกออกมา “เยี่ยมมาก!”
นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรสองคนที่เป็นลมล้มพับไปกับพื้น เสี่ยวหงและพวกก็เป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตา ชั่วขณะนั้นทุกคนพลันหน้าถอดสี
ต่อให้พวกเขาไม่เคยพบกับหานลี่ ยามนี้ย่อมรู้ฐานะของผู้มาเยือนแล้ว ในใจจะตกตะลึงแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
สาเหตุที่พวกเขาถูกอรหันต์ชิงหลงซื้อไปหลักๆ ก็เพราะอรหันต์ชิงหลงรับประกันกับพวกเขาว่าหานลี่เพลี่ยงพล้ำไปแล้ว มิเช่นนั้นต่อให้อาศัยความบ้าบิ่นของพวกเราก็ไม่มีทางสอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้แน่
ยามนี้หานลี่ที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ไม่เพียงไม่ตาย กลับมาปรากฏตัวที่นี่และขวางพวกเขาเอาไว้พอดี แม้แต่การแก้ตัวอย่างไรก็ไม่มี จุดจบจะเป็นอย่างไรแค่คิดก็รู้แล้ว
“ท่านอาวุโสหาน ยินดีกับท่านที่กลับมาถึงเมือง ท่านอาจารย์…”
ยามที่ชายร่างใหญ่หน้าตาดูหยาบคลายใช้สองมือประสานกันแล้วคิดจะเอ่ยอันใดนั้น แต่หานลี่กลับมีสีหน้าเคร่งขรึม สะบัดแขนเสื้อไปโดยไม่พูดไม่จา
เสียง “ปัง” ดังขึ้น ชายร่างใหญ่รู้สึกว่าทรวงอกร้อนฉ่า ร่างกายกระเด็นออกไปเหมือนกับสองคนก่อนหน้า หลังจากที่กระแทกเข้ากับกำแพง ก็กระอักโลหิตออกมาแล้วล้มลงไปกับพื้น
คนอื่นๆ รีบมองไปด้วยความตกตะลึง เห็นเพียงเสื้อส่วนหน้าอกของชายร่างใหญ่หายไป เผยเกราะสงครามกระดูกสีเงินขาวออกมา
เกราะนี้ดูเหมือนจะไม่มีความวิเศษเลยสักนิด แต่ครู่ต่อมาพลันส่งเสียงกังวาน!
เกราะสงครามทั้งเกราะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นชิ้นๆ แล้วร่วงลงมาจากร่างของชายร่างใหญ่
การโจมตีที่ดูราบเรียบของหานลี่ ไม่เพียงจะทำให้ชายร่างใหญ่ได้รับบาดเจ็บหนัก แม้แต่สมบัติบนร่างก็ถูกทำลายไปพร้อมกัน
ผลลัพธ์คือทำให้ทุกคนที่เดิมคิดว่าโชคดีสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง ไอเย็นเยียบแผ่ออกมาทั่วร่างไม่กล้าเอ่ยคำว่า “ไม่” อีก
อรหันต์ชิงหลงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็กระตุกสองครา แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ที่หานลี่ต่อสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาเพียงลำพังในวันนั้น ในใจก็ไม่อาจรวบรวมความกล้ามาพูดอันใดเช่นกัน ทำได้เพียงกลืนน้ำลายแห้งๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มแต่กล้ามเนื้อไม่ยิ้ม
“เหตุใดพี่หานต้องโกรธเกรี้ยวเพียงนี้ ที่ท่านทำร้ายเมื่อครู่คือศิษย์รักของท่านอาวุโสกู้ในเมือง หากลงมือหนักเพียงนี้ เกรงว่าจะรับหน้ากับท่านอาวุโสกู้ได้ยาก!”
“รับหน้า รับหน้าอันใด หากอาวุโสกู้คิดว่าข้าลงมือหนักเกินไป ก็มาหาผู้แซ่หาน กลับเป็นนายท่านที่ควรอธิบายให้ข้าฟัง” หานลี่หัวเราะอย่างเย็นชา แล้วถึงได้หันไปเอ่ยเสียงเหี้ยมอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
“อ่า เรื่องเป็นเช่นนี้ นั่นไม่ใช่เจตนาของข้า เดิมเป็นเพราะข้าคิดว่าสหายหานเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว ถึงได้อยากเชิญสหายหงส์น้ำแข็งกลับไป ในเมื่อน้องหานไม่เป็นอันใด ตาเฒ่าก็จะหาเวลาไปรับความผิดด้วยตัวเอง” อรหันต์ชิงหลงมีท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ และไม่ได้อธิบายอันใด แต่มีท่าทีอ่อนลง
“มารับความผิดด้วยตัวเอง ผู้แซ่หานจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร! วันนั้นข้าน้อยเสี่ยงอันตรายไปช่วยที่เมืองอี่เทียน ยามนี้แค่กลับมาช้าสองสามวัน นายท่านก็ทำเรื่องเช่นนี้ หากผู้แซ่หานไม่สำแดงอันใดเลย จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!” หานลี่จ้องเขม็งไปยังอรหันต์ชิงหลง แล้วเอ่ยทีละคำๆ อย่างโหดเหี้ยม
“เรื่องมาถึงขั้นนี้! สหายหานคิดเห็นอย่างไร หรือว่าอยากลงมือกับข้า?” อรหันต์ชิงหลงถูกหานลี่กล่าวเช่นนี้ ก็อดที่จะอับอายและโกรธเกรี้ยวไม่ได้ น้ำเสียงจึงแข็งกระด้างขึ้นสองสามส่วน
“ในเมื่อสหายชิงหลงกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยเคารพก็มิสู้รับคำสั่ง สหายกล้ามารังแกถึงหน้าประตูเช่นนี้ คิดดูแล้วคงมั่นใจในอิทธิฤทธิ์ของตนมาก ผู้แซ่หานอยากทดสอบสักหน่อย” หานลี่หัวเราะร่า คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยออกมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
อรหันต์ชิงหลงพลันมีสีหน้าดูไม่ได้
หานลี่กลับไม่ได้พูดพล่ามไร้สาระ สะบัดแขนเสื้อทั้งสอง ด้านในมีเสียงเพรียกไพเราะดังขึ้น จากนั้นลำแสงสีเขียวก็เปล่งแสงสว่างวาบ กระบี่เล่มเล็กสีเขียวถึงได้ทะลักออกมา
ในเวลาเดียวกันผิวของเขาก็เปล่งแสงสีทองสว่างวาบ แรงกดที่น่าตกตะลึงกว่าก่อนหน้าพุ่งออกมาจากเรือนร่าง แล้วตรงไปยังอรหันต์ชิงหลงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
อรหันต์ชิงหลงเห็นหานลี่บีบบังคับในที่สุดก็ไม่อาจระงับความโกรธได้ หน้าเขียวคล้ำ ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ชั่วขณะนั้นคัมภีร์หยกในมือพลันคลี่ออก ด้านในมีหมอกลำแสงหลากสีสันเปล่งแสงสว่างวาบ อักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนดูเหมือนจะบินออกมารางๆ
เสี่ยวหงและพวกเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สองท่านจะลงมือกันทันใด ก็รู้สึกตกตะลึงยิ่ง แต่มีตัวอย่างสามคนให้เห็นอยู่ตรงนั้น กลับไม่กล้าพูดอันใด ทำได้เพียงทยอยกันถอยออกไปจากห้องโถงใหญ่อย่างใจดีสู้เสือ
แม้ว่าจะรู้ว่าพลังมหาศาลนี้ไม่มีความหมายอันใดกับการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ แต่ในใจก็นับว่าปลอดภัยขึ้นมาเล็กน้อย
หานลี่ราวกับมองไม่เห็นการกระทำของคนอื่น จ้องเขม็งไปที่อรหันต์ชิงหลงอย่างเย็นชา หมายจะกระตุ้นอาคมกระบี่ในมือ
ในยามนั้นเองฉับพลันนั้นสายรุ้งสีขาวสายหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นที่ด้านนอกประตูแล้วพุ่งเข้ามาในห้องโถง หลังจากหมุนวนกลางอากาศรอบหนึ่งราวกับมังกรเทวะ คาดไม่ถึงว่าจะร่อนลงมาตรงกลางระหว่างหานลี่และอรหันต์ชิงหลง
ท่ามกลางลำแสงสีขาวที่เปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนปรากฏขึ้น และเอ่ยปากด้วยรอยยิ้มทันที
“หรือว่าสหายทั้งสองคิดจะลงมือทำลายข้าวของของท่านอาวุโสไป๋ที่นี่! ไว้หน้าข้าหน่อยเถิด พักรบชั่วคราว ให้ตาเฒ่าไกล่เกลี่ยให้เป็นอย่างไร?”
เงาร่างคนผู้นี้ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย เหนือศีรษะมีลำแสงสว่างจ้า สวมจีวรสีทอง สีหน้ามีเมตตา นั่นก็คือภิกษุจินเย่ว์!