คุณชายมาดเข้มกับคุณหนูสุดแสบ - 121 มากันทีละคน
เวลาเกือบเที่ยงคืน ไฟหน้าห้องของผู้ป่วย รวมถูกปิดไปแล้ว ส่วนภายในห้อง
ที่เตียงของพิงกี้ยังคงมีแสงสว่างที่มาจาก ไฟดวงเล็กบนหัวเตียง
แสงไฟที่ส่องกระทบบนใบหน้า ทําให้เห็น ชัดถึงความมืดขาวเหมือนคนไม่มีเลือด
ริมฝีปากที่ซีดเซียวและแห้งหยาบเหมือน คนขาดน้ำดูไร้ชีวิตชีวา
เธอหลับอยู่บนเตียงคนไข้อย่างสงบ หายใจเข้าออกอย่างเบาๆ
ผมดำยาวมีน้ำหนักที่ยาวถึงเอว ตอนนี้ยิ่ง ขับให้ผิวบนใบหน้าซีดขาวยิ่งกว่าผ้าปู
เตียงเสียอีก ถึงแม้ไม่มีใครพูดออกมาก็ดู ออกว่าน่าสงสารแค่ไหน
น้ำหวานที่คอยดูแลพิงกี้อยู่ข้างๆถึงกับอด กังวลไม่ได้
“หลับแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว เรียกหมอ มาดูอาการดีมั้ย”
ดุสิตที่ยืนอยู่ข้างเตียงขมวดคิ้วพูดพร้อม มองไปทางนํ้าหวาน
“พี่ชายเธอเป็นคนขอให้พี่มาช่วยดูแล เพื่อ มีอะไรที่พอจะช่วยได้
ถ้าเธอเกิดเรื่องอะไรภายใต้สายตาพี่ แล้ว จะอธิบายกับพี่ชายของเธอยังไง?”
“ตื่นมาเมื่อ3ชั่วโมงที่แล้ว แต่ไม่ถึงครึ่ง ชั่วโมงก็หลับไป นี่คงไม่ใช่เรื่องผิดปกติใช่มั้ย”
น้ำหวานลุกขึ้นพูดพร้อมท่าทีที่ กระวนกระวาย “นี่ก็จะเที่ยงคืนแล้ว
คุณหมอก็คงกลับกันหมดแล้ว หรือฉันควร ไปเรียกพยาบาลเข้ามาดูสักหน่อย”
“ไม่ต้องแล้ว…..
.” เมื่อได้ยินเสียงคุยกัน ทำให้พิงกี้ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น
น้ำหวานที่เพิ่งจะก้าวเท้าไม่ถึงไหนกลับ ต้องตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้า
“พิงกี้ ฟื้นแล้วเหรอ มีอาการเจ็บที่ตรงไหน
บ้างมั้ย
ฉันไปเรียกพยาบาลเข้ามาดูอาการก่อน
นะ”
“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้ฉันดีขึ้นมากแล้วล่ะ พิงกี้ยิ้มอ่อนและส่ายหัวเบาๆ
“เธอช่วยปรับเตียงให้ฉันทีสิ อยากจะนั่ง
สักหน่อย”
“ได้สิ” น้ำหวานรีบไปปรับเตียงอย่างไว
เมื่อจัดท่านั่งเรียบร้อยแล้วพิงกี้จึงหันไป
ทักทายดุสิต
“คุณดุสิต ขอบคุณมากนะคะที่มาเยี่ยมฉัน คงรบกวนคุณเข้าแล้ว
“ไม่เป็นการรบกวนเลย ฉันเองก็แค่ทำตาม คำขอที่ไหว้วานมาเท่านั้น
มานพเค้าเป็นห่วงเธอมากนะเมื่อรู้ว่าเธอ เข้าโรงพยาบาล
แต่ไม่สามารถกลับเข้าประเทศได้ในทันที เลยฝากให้ฉันมาดูแลเธอแทน
” พิงกี้พยายามเปิดปากที่แห้ง
กร้านถาม
“ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง การงานราบ รื่นดีมั้ยคะ”
“ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่มีแค่เรื่องเดียว คือเขาได้ยกหัวใจให้กับเธอไปแล้ว
ไม่ว่ายังไงก็ยังจะรอแต่เธอ” ดุสิตพูดอย่างง่ายดาย
น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเย้ยหยันนิดๆไม่ สนถึงความรู้สึกของพิงกี้เลย
“หากเธอยังมีหัวใจก็ช่วยติดต่อกลับไปหา เขาหน่อย ยิ่งบ่อยได้เท่าไหร่ยิ่งดี
อย่าปล่อยให้ต้องมารบกวนฉันไปจนแก่ เลยนะ”
“ฉันกับพี่มานพ….ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ค่ะ”
พิงกี้ได้แต่เม้มปากแล้วมองไปยังน้ำหวาน เพื่อขอความช่วยเหลือ
แต่ครั้งนี้น้ำหวานไม่ช่วยแต่กลับแย้งขึ้น
“ฉันอยู่ข้างพี่ชาย พี่ฉันดีขนาดนี้ ส่วนเค วินเป็นไอ้สารเลวชัดๆ
เธอคบกับพี่ชายฉันดีกว่าอีก! อีกอย่าง
พี่ชายของฉันก็ไม่มีวันทิ้งเธอแล้วไปกอด กับผู้หญิงอื่นหรอก”
พิงกี้กลับหลุบตาลงต่ำแววตาค่อยๆหมอง หม่น
เมื่อน้ำหวานเห็นท่าทีแบบนี้ก็อยากที่จะพูด
ปลอบ
แต่กลับอยากปล่อยให้เธอเผชิญกับความ
เป็นจริงมากกว่า
เพื่อที่จะได้ตัดขาดจากเควินเสียที จึงพูด ขึ้น “เดี๋ยวคุณเตชิตจะเข้ามาเยี่ยมนะ
เควินเองก็คงยังอยู่กับลิสานั่นแหละไม่ ใส่ใจเธอเลยสักนิด
เธอยังจะไปคิดถึงเขาอีกทำไม
“ฉันไม่อยากให้พี่ชายของเธอต้องมาเสีย เวลาเพราะฉัน”
“อย่าพูดว่าเสียหรือไม่เสียเวลาเลย ที่เธอ ไม่เปิดโอกาสคบกับพี่มานพ
นี่ก็ทำให้ชาตินี้ทั้งชาติ พี่เขาก็ไม่เปิดใจให้ กับผู้หญิงคนไหนอีกแล้ว”
“เธอเองที่เข้าใจเขามากที่สุด ฉันเองก็พูด ด้วยความจริงใจ” ดุสิตพูด พิงกี้หลับตาลง
ในใจกลับสับสนและว้าวุ่น เธอนั้นรู้ทุก อย่าง แต่คนที่เธอรักไม่ใช่มานพ
หากเธอตอบรับ นั่นเท่ากับทำร้ายความ รู้สึกของอีกฝ่ายซึ่งมันไม่คุ้มค่า
“นี่พิงกี้ ความรักและความเข้าใจต้องมา จากคนสองคนนะ”
น้ำหวานพยายามพูดโน้มน้าว “อีกอย่างมีความทรงจำและความรู้สึกในอดีต
“พอเถอะน้ำหวาน ไม่ต้องพูดแล้ว” ยิ่งพูด ยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่
พิงกี้จ้องไปที่น้ำหวาน ทำท่ารูดซิปที่ปาก
ให้น้ำหวานเงียบ
“พักผ่อนเถอะ อย่าคิดมากเลย ฉันว่า มานพเองก็ไม่อยากให้เธอเครียดหรอก
ดุสิตพูดด้วยความเป็นห่วงก่อนจะกล่าวลา “วันนี้ฉันคงต้องกลับไปก่อน
ส่วนเรื่องที่ร้านไม่ต้องเป็นห่วงนะฉันจะ คอยเป็นหูเป็นตาให้เอง
“ขอบคุณคุณดุสิตมากนะคะ ที่เป็นห่วง
..”ดุสิตยกคิ้วขึ้นพูดด้วยความไม่
ปราณี
“ฉันไม่ได้เป็นห่วงเธอ แค่ห่วงคนที่มานพ ให้ใจไปก็เท่านั้น”
“.…………..ได้แต่เงียบ ช่างน่าปวดหัวจริง รอให้ดุสิตจากไปจึงจ้องไปที่น้ำหวาน
“วันหลังอย่าบอกเรื่องของฉันที่ทำให้พี่ ชายเธอต้องกังวลอีกนะ”
“เธอก็รู้ว่าพี่ชายเป็นห่วงเธอด้วยเหรอ?”
“ที่เธอรายงานพี่ชายคงไม่ใช่เพราะฉัน หรอก แต่เพื่อที่เธอจะหารายได้เล็กๆน้อยๆ
แล้วเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองล่ะสิ”
“ฮ่า ฮ่า…..” น้ำหวานที่กำลังมีความสุข แต่เมื่อเห็นสายตาของพิงกี้ก็ต้องยอมแพ้ใน ทันที
“ก็ได้ๆ วันหลังไม่บอกแล้ว
ดุสิตเดินจากไปได้ไม่นาน เตชิตก็เข้ามา
แต่เดิมเตชิตเองก็ไม่รู้ข่าวที่พิงกี้เข้าโรง
พยาบาล
ตอนที่กำลังจะออกจากคลับ กลับได้ยินคน กำลังพูดถึงเธอว่ามีเรื่องอื้อฉาวของ
เธอถูกโพสต์ลงออนไลน์ จึงจะโทรหาเพื่อ ถามถึงเรื่องราว
แต่กลับเป็นน้ำหวานที่รับสายจึงรู้ว่าเธอเข้า โรงพยาบาล
หลังจากวางสาย ก็ทิ้งเพื่อนเพื่อนกินเพื่อน เที่ยวทั้งหลายไว้
แล้วตรงดิ่งมาที่โรงพยาบาลทันที ลึกๆแล้ว เป็นห่วงมากแต่กลับไม่รู้ต้องทำอย่างไร
แต่เมื่อเห็นพิงกี้ที่อยู่บนเตียงด้วยใบหน้า
ชีดขาว
กลับทำให้รู้สึกโมโหที่เห็นเธอเป็นแบบนี้
“เธอนี่มันโง่จริงๆ ดูแลตัวเองดีๆไม่เป็นหรือ
ไง?”
ทันใดนั้น เตชิตก็เปิดไฟจนสว่างจ้าแล้ว เก็บอารมณ์ความโกรธไว้
ห้องที่ไฟส่องสว่างจ้าในตอนนี้ ทำให้ผู้ป่วย อีกสองเตียงถูกรบกวน
แต่เตชิตกลับไม่สนใจรอบข้างเลย
เมื่อเดินไปถึงเตียงผู้ป่วยจึงก้มลงดมแก้ม ของพิงกี้แล้วทำท่าเหม็น
“ตอนที่ต่อหน้าฉันนี่อดทนขนาดไหน ทำไมเจอคนอื่นก็หวาดกลัวแล้วล่ะ?
ดูสารรูปที่เหมือนผีของเธอซิ ขายหน้าฉัน จริงๆ!”
“ถ้าคุณต้องเจอหนึ่งต่อสิบแบบฉัน สภาพ คงดูแย่กว่าฉันแน่นอน
พิงกี้พูดอย่างไม่สบอารมณ์แล้วดันมือเขา ให้ออกห่าง คนพวกนี้มือหนักจริงๆ
ทั้งหน้าของเธอแทบชาจนไม่รู้สึกไปหมด เมื่อเกิดความโมโหก็อย่างไล่คนให้กลับ
“คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าถ้าไม่มีคุณไสหัวไปเถอะ เห็นคุณแล้วอารมณ์เสีย
“ไม่มีธุระได้ไง? เรื่องที่ฉันต้องมีเยอะ เลยแหล่ะ!”
เตชิตก้มลงสอดมือไปที่เอวของเธอแล้วอุ้ม ขึ้นจากเตียง
“อยู่ห้องรวมไม่รู้สึกไม่สะดวกหรือ? ไป ฉัน จะย้ายห้องให้เธอเอง!
เพราะพิงกี้ที่ถูกอุ้มขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้มึนหัวอย่างจัง
ด้วยความตกใจจึงรีบเอามือไปคล้องคอ
เขาไว้
ตอนที่ทุเลาลงแล้ว ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าถูก อุ้มออกมาหลายเมตรแล้ว
ได้แต่ตะโกนออกมาด้วยความระแวง
“คุณนึกว่าโรงพยาบาลเป็นของบ้านคุณ หรอไง คุณบอกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้เลย?”
“เป็นของบ้านฉันจริงๆซะด้วย เตชิตพูด อย่างอดขำไม่ได้
” พิงกี้ไม่เห็นด้วย “คุณปล่อยฉัน ลงเดี๋ยวนี้นะ ฉันไม่เปลี่ยนห้อง
“เธอไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ
“นี่มันเรื่องของฉัน ทำไมฉันจะตัดสินใจไม่ได้?” เธอได้แต่จ้องเตชิตด้วยความหดหู่
กำลังที่จะพูดโน้มน้าวแต่ขาทั้งสองของเขา กลับหยุดกึก
เธอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เมื่อมองไป
ตามสายตาของเตชิต
ทันใดนั้น หัวใจเธอเต้นแรง ก้มตาลงด้วย
อารมณ์ที่ซับซ้อน
ใบหน้าที่รีบร้อนค่อยๆกลายเป็นความสงบ
ต่อต้านเหมือนน้ำตายที่ไร้คลื่นประมาณ
นั้นเลย