คุณสามีพันล้าน - บทที่ 174 ปริศนามากขึ้นเรื่อย ๆ
รักนะจุ๊บๆ คุณสามีพันล้าน บทที่ 174 ปริศนามากขึ้นเรื่อย ๆ
ณ โรงพยาบาล เมืองแอคเซสซ์
ภายใต้การอยู่เป็นเพื่อนของเทวิกา คุณหญิงธิษณามีความสุขมากตลอดทั้งเช้า ชนิดที่ว่าไม่มีการกอดตุ๊กตาแล้วเรียกว่าลูกจ๋า
ตอนที่เธอคุยกับเทวิกานั้น การพูดการจาดูปกติมาก จนรู้สึกว่าเธอไม่ได้เสียสติแต่อย่างใด
เพียงแต่ เมื่อเห็นประยสย์ ได้ยินเธอเรียกประยสย์ว่าที่รัก ถึงรู้และเข้าใจ
คนรับใช้ของตระกูลอริยชัยกุลมาเสิร์ฟอาหารเที่ยงแล้ว คุณหญิงใหญ่เป็นคนจัดแจงให้
หลังจากบริการอาหารกลางวันให้กับคุณหญิงธิษณาแล้ว คุณหญิงธิษณาก็มีอาหารหาว จึงรู้ว่าเธอง่วงแล้ว เทวิกาได้กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า:“คุณน้าคะ คุณน้าง่วงแล้ว นอนพักสักครู่นะคะ”
คุณหญิงธิษณากลับกล่าวด้วยความลนลาน:“ฉันกลัว”
“คุณน้ากลัวอะไรเหรอคะ”
คุณหญิงธิษณากล่าวเบา ๆ:“ฉันกลัวเมื่อฉันนอนหลับแล้ว จะมีคนแอบมาหอมฉัน จากนั้น——”
ได้ยินดังนั้นเทวิกากับประยสย์สบตากัน สีหน้าของประยสย์ก็หม่นลงทันใด
เทวิกาใช้สายตาส่งสัญญาณให้เขาอย่าหุนหัน และก็บอกให้เขาออกไป ปล่อยให้เธอเกลี้ยกล่อมเอง
ประยสย์ออกไปอย่างเงียบ ๆ
เทวิกานั่งลงข้างเตียง แล้วถามด้วยความเป็นห่วง:“คุณน้าฝันหรือว่ามีคนทำมิดีมิร้ายกับคุณน้าจริง ๆ คะ”
สีหน้าของคุณหญิงธิษณาดูสับสน สมองของเธอตอนนี้ทำให้ไม่สามารถเข้าใจได้ “ฉันไม่รู้ อีกสักพักฉันจะทนไม่ไหวแล้ว ต้องนอนพักกลางวัน ตอนพักกลางวันเหมือนกับฝันอย่างนั้น แต่เมื่อฉันตื่นขึ้นมา ในห้องก็ไม่มีใครสักคน”
“ฉันกลัวมาก”
เทวิกากอดเธอด้วยความปวดใจ
คุณหญิงธิษณาตอนนี้ไม่ได้สติ เธอไม่รู้เรื่องภายในของตระกูลสาระทา ไม่รู้ว่าปกติใครเป็นคนดูแลคุณหญิงธิษณา เรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง ๆ หรือว่าคุณหญิงธิษณาแค่ฝันไป
“ตอนนี้ไม่ต้องกลัวนะคะ มีหนูอยู่ ที่นี่มีหนูคอยอยู่เป็นเพื่อนคุณน้า จนกว่าคุณน้าจะตื่นจากนอนพักกลางวันนะคะ”
คุณหญิงธิษณายิ้ม “จริงเหรอ นานมากแล้วที่ฉันไม่กล้านอนพักกลางวัน”
เรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น ล้วนเกิดขึ้นตอนที่เธอนอนพักกลางวัน ดังนั้นเธอจึงกลัวการนอนพักกลางวัน
“จริงค่ะ หนูจะอยู่เป็นเพื่อนคุณน้า”
“งั้น ฉันจะนอนพักสักแป๊บ ลูกล่ะ ฉันจะพาลูกเข้านอนกลางวันด้วย”
เทวิการีบยื่นตุ๊กตาให้กับนาง เธอกอดตุ๊กตา เธอนอนลงภายใต้การพยุงของเทวิกา
เพราะง่วงมาก คุณหญิงธิษณาจึงหลับในไม่ช้า
ช่วยเธอคลุมผ้าห่มบางแล้ว เทวิกาก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
“วิกา”
ทันทีที่เดินออกจากห้องก็เห็นพี่ชายชเนนทร์
มือข้างหนึ่งของชเนนทร์ถือตะกร้าดอกไม้ อีกด้านหนึ่งถือตะกร้าผลไม้
เวลานี้กำลังคุยอยู่บางอย่างกับประยสย์ เห็นเทวิกาออกมา ทั้งคู่ก็หยุดการสนทนาขึ้น
“พี่ พี่มาได้ยังไงคะ”
ชเนนทร์ดุเธอเบา ๆ:“เธอมักจะเป็นแบบนี้ เกิดเรื่องก็ไม่ยอมบอกที่บ้าน หากไม่ใช่เพราะพัฒน์บอกกับพี่ พี่ก็คงไม่รู้”
เทวิกาเดินหน้ามาคล้องแขนพี่ชายไว้แล้วกล่าวออดอ้อน:“ฉันยี่สิบสี่แล้วนะคะพี่ สามารถจัดการเรื่องของตัวเองได้ ไม่อยากรบกวนพี่ และก็ไม่อยากทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วง พี่อย่าโกรธเลยนะ”
ชเนนทร์วางตะกร้าผลไม้ลง ปล่อยมือข้างหนึ่งออก และจิ้มนิ้วลงบนหน้าผากของน้องสาว “ใช่ ๆ ๆ ตอนนี้เธอปีกแข็งแล้ว ทำอะไรก็ไม่จำเป็นต้องบอกทางบ้านแล้ว เรื่องแต่งงานเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เธอยังไม่บอกพวกเราเลย”
เทวิกาแลบลิ้นออกมาอย่างขี้เล่น
ประยสย์มองวิธีการอยู่ด้วยกันของสองพี่น้อง สายตามีความอิจฉาเล็กน้อย
เขาก็เป็นพี่ชายของวิกา และก็เป็นพี่ชายแท้ ๆ ด้วย แต่พี่น้องถูกแยกออกจากกันเมื่อพวกเขาอายุได้เพียงไม่กี่เดือน
ยี่สิบสามปีที่เติบโตโดยไม่มีการติดต่อ ไม่เคยเห็นหน้า หากว่าไม่รู้ล่วงหน้าว่าน้องสาวมีหน้าตาที่เหมือนกับคุณย่า สองพี่น้องคงไม่มีทางรู้จักกัน
ถึงแม้ว่าทั้งคู่ต่างรู้ดีแก่ใจว่าพวกเขาเป็นพี่น้องแท้ ๆ กัน แต่เมื่ออยู่ด้วยกันก็ยังรู้สึกอึดอัด นอกจากคุยเรื่องคุณแม่แล้ว น้องพี่น้องก็ไม่รู้ว่าจะคุยกันเรื่องอะไรดี
ตอนนี้เทวิกาเป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิบัติกับเขาเหมือนกับชเนนทร์
ประยสย์คิดในใจ รออีกหน่อยก่อน รอให้ผลตรวจดีเอ็นเอออกมาแล้ว รอให้วิกากลับคืนสู่ตระกูลสาระทา สองพี่น้องก็คงจะสามารถอยู่ด้วยกัน และต้องมีสักวันที่วิกาจะออดอ้อนเขา
ชเนนทร์มาแล้ว ส่วนเรื่องที่คุณหญิงธิษณากลัวการนอนพักกลางวันนั้น สองพี่น้องกลับเข้ากันได้ดี ไม่พูดออกมาแต่อย่างใด
หลังจากถามอาการป่วยของคุณหญิงธิษณาแล้ว รู้ว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ชเนนทร์ถึงได้วางใจลง แต่ก็ยังทำการขอโทษประยสย์แทนน้องสาวอย่างจริงใจ
“เรื่องนี้จะโทษวิกาก็ไม่ได้ แม่ของผมเธอสติไม่ดี ไม่รู้ว่าจะต้องหลบรถ โชคดีที่คนขับรถเบรกทัน ไม่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น”
ประยสย์รู้สึกโชคดีมาก
หากว่าคุณแม่เสียชีวิตภายใต้ล้อรถของน้องสาว แล้วจะให้เขาเผชิญหน้ากับน้องสาวแท้ ๆ ได้อย่างไร
วิการู้ความจริงก็จะต้องเจ็บปวดเสียใจมากแน่ ๆ
โชคดี ๆ ที่สวรรค์ยังมีเมตตาต่อคุณแม่
“มีอะไรให้ช่วยเหลือ บอกกับผมได้เลยนะ”
ชเนนทร์ยื่นนามบัตรให้กับประยสย์
ประยสย์รับนามบัตรมาแล้วกล่าวอย่างสุภาพ ขณะเดียวกันก็ได้ยื่นนามบัตรของตัวเองให้กับชเนนทร์เช่นกัน
สองคนที่เป็นพี่ชายหลังจากกล่าวประโยคสองสามประโยคอย่างสุภาพแล้ว ชเนนทร์ก็กล่าวกับน้องสาวว่า:“วิกา ทานข้าวหรือยัง พี่จะพาเธอออกไปทานข้าว”
“คุณย่าของพัฒน์ให้คนนำอาหารกลางวันมาให้กับพวกเราแล้ว”
ประยสย์กลับกล่าวอย่างใส่ใจว่า:“วิกา เธอออกไปทานข้าวกับพี่ชายของเธอเถอะ บ้านคุณพัฒน์ส่งอาหารกลางวันมาให้ พี่จะทานเอง”
“หรือไม่ คุณประยสย์ไปด้วยกันไหม”
ประยสย์ปฏิเสธอ้อม ๆ “ขอบคุณครับคุณชเนนทร์ ผมเป็นห่วงคุณแม่ คุณกับวิกาไปกันเถอะ”
ชเนนทร์อยู่ที่บริษัทอย่างน้อย ๆ ก็เป็นประธาน เขาจึงเรียกอีกฝ่ายอย่างสุภาพและนอบน้อม
ชเนนทร์ก็ชวนประยสย์อย่างสุภาพเช่นกัน เมื่อประยสย์ปฏิเสธ เขาก็ไม่ชวนอีก
หลังจากนั้นไม่กี่นาที
สองพี่น้องเพิ่งจะออกจาแผนกผู้ป่วยใน ก็เจอเข้ากับยศพัฒน์
“พัฒน์”
เทวิกาทิ้งพี่ชายของเธอไว้ข้างหลังและก็เข้าไปหายศพัฒน์
ชเนนทร์:“……”
เขากล่าวพึมพำ:“ผู้หญิงแต่งงานแล้วเอาใจแต่สามีจริง ๆ”
เขาชะงักหยุดลง ให้สามีภรรยากะหนุงกะหนิงกันก่อน แล้วเขาถึงค่อยเดินเข้าไป
เมื่อเข้าไปใกล้ เขายื่นมือไปแตะน้องสาวแล้วกล่าว:“มีสามีแล้วลืมพี่ชาย”
เทวิกาจับตรงที่โดนแตะ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม:“ฉันเห็นพัฒน์แล้ว ในสายตาก็มีเพียงแต่เขา จนลืมไปว่ามีพี่ชายอยู่ด้วย”
“ฟังดูสิ มีสามีแล้วลืมพี่จริง ๆ ด้วย เธอกับหมอนี่จดทะเบียนสมรสกันกี่วันเองเชียว พี่กับเธอเป็นพี่น้องกันยี่สิบกว่าปีเชียวนะ”
ชเนนทร์สีหน้าดูเศร้าสร้อยมาก ยังต้องมองน้องสาวที่ถูกเขาแย่งไปอีก และท่าทางของเขาก็ดูมีความสุขมาก ยิ่งทำให้ชเนนทร์รู้สึกเศร้าใจ
เขายังกล่าวอีกว่า:“ชเนนทร์ ชีวิตที่เหลือของวิกามอบให้ผม เธอกับผมจะใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกัน”
ชเนนทร์ถลึงตาใส่เขา
“อย่ากระหยิ่มใจไป วิกามีพี่ชายสองคน ฉันทำอะไรคุณไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าพี่ชายแท้ ๆ ของเธอจะทำอะไรคุณไม่ได้”
เมื่อครู่คุยเพียงสั้น ๆ กับประยสย์ ก็พอจะดูออกว่าประยสย์ใส่ใจวิกามาก
เพราะอย่างไรก็เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน
และก็จากกันยี่สิบกว่าปีอีก
วิกากลับคืนสู่ครอบครัวแท้ ๆ ครอบครัวของเธอจะต้องให้เธออยู่ด้วยอีกหลายปี
งานแต่งของยศพัฒน์กับวิกา คิดว่าคงไม่ได้จัดเร็วขนาดนั้น
“ฉันก็เป็นได้แค่พี่ภรรยาก็เท่านั้น”
ยศพัฒน์ใบหน้ามองโลกในแง่ดี เขาดึงวิกากลับมาที่ข้างตัวเอง แล้วโอบเอวของเทวิกาต่อหน้าชเนนทร์ แล้วกล่าวกับภรรยาสุดที่รักว่า:“ที่รัก ผมได้สั่งอาหารที่โรงแรมเมเปิลไว้ ไป ผมจะพาคุณไปทานข้าว”