คุณสามีพันล้าน - บทที่ 468 ได้ข่าวว่า คุณกำลังตรวจสอบเรื่องฉันอยู่
รักนะจุ๊บๆ คุณสามีพันล้าน บทที่ 468 ได้ข่าวว่า คุณกำลังตรวจสอบเรื่องฉันอยู่
ช่วงวัยเยาว์ของประยสย์ บ่อยครั้งที่เกือบจะถูกวางยาพิษจนทำให้เสียชีวิต ป้าอ้อยเป็นคนบอกเขา ถึงแม้เขาจะพูดว่าเวลานั้นยังเด็กมาก จดจำอะไรไม่ได้สักเท่าไหร่ก็ตาม
พี่เลี้ยงที่ภักดีอยู่ใกล้ตัวของเขา เคยโดนหางเลขแทนเขามาแล้ว ถึงแม้สุดท้ายแล้วพวกเธอจะได้รับการช่วยชีวิตจนรอดมาได้ เขายังคงหวาดกลัว จึงเตรียมการป้องกันอยู่เสมอ
ณิศาดื่มน้ำอุ่นอึกหนึ่ง พลันลุกขึ้น และเดินมาหยุดตรงประตูของห้องครัวเล็กๆ ตามหลังมา มือทั้งสองข้างสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกง คอยมองประยสย์ที่เปิดตู้เย็น และหยิบวัตถุดิบอาหารออกมาจากด้านใน
“คุณคิดจะทำอะไรเหรอ?”
ณิศาเอ่ยถามไปอย่างไม่ใส่ใจ
“คุณอุตส่าห์มาตั้งไกล ต้องหิวมาแน่ ผมทำอาหารอุดมสมบูรณ์เกิน มันต้องใช้เวลา ทำบะหมี่เป็นมื้อดึกให้คุณถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว”
ณิศาหัวเราะ “คุณตัดสินใจได้ไม่เลว ฉันรอนานมากไม่ได้จริงๆ”
ก่อนหน้าที่ฟ้าจะสาง เธอต้องกลับเมืองแอคเซสซ์ เพื่อเป็นการหลีกให้พี่สาวรับรู้
การที่เธอเดินทางมาที่นี่หนนี้ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
“คุณทำกับข้าวอร่อยเหรอ?”
“ปกติทั่วไปนะ ยังไงอาหารที่ทำออกมา ก็กินได้ ไม่ใช่แอบใส่อะไรลงไปในอาหาร”
ประยสย์ล้างหม้อ พลางใส่น้ำ รอจนน้ำเดือด ค่อยใส่บะหมี่ลงไป
ซึ่งในเวลาเดียวกัน เขายังเตรียมหมูหั่นเป็นเส้น ผักสด ต้นหอมซอย เพื่อเตรียมทำบะหมี่หมูเส้นให้กับณิศาหนึ่งชาม
“ตอนที่ฉันกินบะหมี่ ชอบสั่งไข่ดาวเพิ่มหนึ่งฟอง”
“ได้เลย”
หลังจากประยสย์เตรียมเนื้อสัตว์หั่นเป็นเส้น ผักสด และต้นหอมซอยเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยิน ณิศาพูดต้องการเพิ่มไข่ดาว จึงหยิบไข่ไก่สองใบออกมาจากตู้เย็น และทำการทอดไข่ให้ณิศา
จังหวะที่เขากำลังเปิดประตูตู้เย็นนั้น ณิศามองเห็นภายในตู้เย็นมีสิ่งของพร้อมเพรียง จึงเอ่ยถาม “ทุกวันคุณทำอาหารมื้อดึกให้ตัวเองกินทุกคืนเลยเหรอ?”
“ตอนหิวก็กินครับ แต่ผมกินพวกบะหมี่น้อยมาก”
ปกติบอดี้การ์ดที่เข้าเวรมักจะยืมห้องครัวของเขาเพื่อใช้ต้มบะหมี่เป็นอาหารมื้อดึกกินกันอยู่ประจำ
มีบอดี้การ์ดของเขาที่ชอบการกินบะหมี่เป็นพิเศษหลายคน
“ถ้าไม่เห็นกับตาตนเอง ฉันก็ไม่กล้าเชื่อเลยว่าประมุขน้อยของตระกูลสาระทาจะใช้ชีวิตอย่างขื่นขม เหนื่อยเพียงนี้”
กัญณิศาถอนหายใจออกมาประโยคหนึ่ง และรู้สึกเห็นอกเห็นใจตาม
ประยสย์คือประมุขน้อยของตระกูลสาระทา มองเห็นสไตล์เหนือไร้ขีดจำกัด แท้จริงก็ใช้ชีวิตสู้คนทั่วไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
เพียงเพราะตระกูลสาระทา เป็นตระกูลใหญ่ที่มีธุรกิจขนาดใหญ่ มีคนมากมายเหลือเกิน เมื่อคนมีจำนวนเยอะมาก ย่อมมีคนที่จิตใจแปลกแยกอย่างง่ายดาย การมีคนเห็นต่างจึงทำให้เกิดแผนการสมรู้ร่วมคิดในทุกรูปแบบ
บางคน เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง สามารถทำได้ทุกอย่าง
กัญณิศาคิดถึงตระกูลนนท์สัจทัศน์ของพวกเธอ คิดถึงพี่สาวที่คอยเฝ้าปกป้องกิจการของตระกูลนนท์สัจทัศน์มานานหลายปี ชุบชีวิตเอ็มอาร์ กรุ๊ป ทนทุกข์ทรมานต่อความยากลำบากอย่างมากมาย จนจับสัมผัสกับความทนทุกข์ทรมานอยู่ในจุดยืนเดียวกันกับประยสย์
บุคคลที่อยากช่วงชิงเอ็มอาร์ กรุ๊ปเหล่านั้นไม่ได้ดุดันแบบทางตระกูลสาระทาแบบนั้น ที่จะลุกขึ้นเพื่อต้องการสังหารให้เสียชีวิต
การเกิดในแวดวงนี้ ระหว่างการเติบโต สามารถมองเห็นเรื่องการแก่งแย่งชิงดีภายในตระกูลมั่งคั่งมากเหลือเกินกับตา ยังทำให้คนรู้สึกอิจฉา ชื่นชมตระกูลอริยชัยกุลมากที่สุด
ลูกหลานที่ถูกปลูกฝังบ่มเพาะจากตระกูลอริยชัยกุล ล้วนเป็นคนมากความสามารถ อยากอาศัยความสามารถของตนเองในการเกื้อหนุนค้ำจุนโลกของตนเอง ไม่มีใครยอมรับกิจการของตระกูล แต่จำต้องแยกกันแบกรับกิจการของตระกูลอย่างละนิดหน่อย
เดิมยศพัฒน์ใช้นามสกุลของมารดา ที่เขาเข้ามารับก็ควรเป็นบริษัทของตระกูลบุญเยี่ยม แต่เนื่องจากน้องชายแท้ของเขาไม่ยอมเข้ามาดูแลบี.เอ.เอ็ม.กรุ๊ป บรรดาเหล่าน้องชายลูกพี่ลูกน้องแก๊งนั้นของเขา ล้วนปัดตำแหน่งของคนรับช่วงต่อให้หลุดพ้นตัวกันทุกคน
ยศพัฒน์มีศักดิ์เป็นพี่ชายที่ใช้นามสกุลของมารดาจำต้องมาเป็นเสาหลักอยู่คนเดียว ความจริงเขารู้ดีอยู่แก่ใจ เพราะเขาถูกเลี้ยงดูโดยปู่กับย่ามาตั้งแต่เด็ก ย่อมถูกแต่งตั้งให้เข้ามาบริหารงานภายในตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ประยสย์เงียบเชียบไร้การเคลื่อนไหว
เวลาที่ตามหาตัววิกาไม่เจอ เขาคิดว่าทุกอย่างของตระกูลมหาเศรษฐีจะเหมือนกับตระกูลสาระทา
หลังจากตามหาตัววิกาเจอ และได้น้องเขยมาเพิ่มอีกหนึ่งคน ประยสย์จึงรับรู้การมีตัวตันของอีกตระกูลมหาเศรษฐีอีกตระกูลที่เหมือนกับตระกูลอริยชัยกุล หลังจากตระหนักถึงบิดามารดาอย่างจัตรภัคกับภัคณัชชาแล้ว ซึ่งเป็นการปรับโลกใหม่ของเขาที่มีต่อตระกูลมหาเศรษฐี
“ได้ข่าวว่า คุณจ่ายเงินไปหลายแสนเพื่อจ้างคนให้มาตรวจสอบฉันนี่”
กัญณิศาตัดเข้าสู่หัวข้อหลัก
ประยสย์ส่งเสียงตอบรับ “คราวก่อนได้รับการช่วยเหลือจากคุณ จนผมรอดจากอันตรายมาได้ คุณเป็นผู้มีพระคุณกับผม แต่ผมไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของคุณ จนไม่สามารถตอบแทนบุญคุณต่อคุณได้ คนอย่างผมไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร ดังนั้นจึงเสาะตามหาตัวคุณ เพื่อแสดงคำขอบคุณต่อคุณครับ”
เดิมกัญณิศาอยากจะถามเขาว่าทำไมจึงส่งคนมาจับตาดูเธอ คำพูดติดริมฝีปากแต่กลืนลงคอไป
ถ้าขืนเธอถามออกไปแบบนั้น นั่นเท่ากับยอมรับว่าตนเองคือกัญณิศาแล้ว
คืนนี้ที่กัญณิศาถ่อมา ได้ตรึกตรองไว้ดีแล้ว
เธอเพียงโผล่หน้ามา เพื่อให้ประยสย์ขอบคุณเรียบร้อยแล้ว ประยสย์ก็จะไม่ให้สำนักงานนักสืบของเธอมาตามหาเธออีก เธอสามารถให้คนนำเงินมัดจำของประยสย์คืนเขาไป และถือว่ารักษาหน้าตาของสำนักงานนักสืบไว้ได้
และไม่ถูกตั้งคำถามถึงชื่อเสียงของสำนักงานนักสืบของเธอนั้นถูกอวดอ้างจนมีชื่อขึ้นมา
แต่เธอไม่อยากจะยอมรับว่าเธอคือ กัญณิศา
“เพียงแค่ลงมือช่วยเหลือไปตามน้ำ ยังสร้างความประทับใจให้แก่คุณประยสย์ถือว่าเป็นเกียรติของฉันจริงๆ ค่ะ”
ประยสย์หันหน้ามามองเธอแวบหนึ่ง พลันหันกลับไป พร้อมทั้งนำเครื่องเคียงที่หั่นเรียบร้อยลงในชามบะหมี่น้ำ
“ผมพูดแล้ว ผมไม่อยากติดหนี้บุญคุณคน สำหรับคุณมันแค่การช่วยเหลือเล็กน้อย สำหรับผมคือบุญคุณช่วยชีวิต การที่ไม่ขอบคุณต่อคุณ ผมจะจดจำฝังใจไปตลอด”
“ผมขอถามชื่อเสียงเรียงนามของคุณได้หรือเปล่า?”
หลังจากกัญณิศาเงียบงันสักพัก จึงตอบกลับ “ฉันปฏิเสธที่จะตอบคำถามได้มั้ยเอ่ย? ฉันทำงานสายนี้ มีความเสี่ยงอันตรายมาก เพื่อรักษาชีวิตให้รอด ฉันจึงใส่หน้ากากปิดหน้าตลอด ไม่อยากทำให้คนทางบ้านต้องพลอยติดร่างแหไปมากกว่า เรื่องชื่อนั้น ฉันไม่เต็มใจที่จะเปิดเผย เพราะกลัวจะถูกตรวจสอบได้”
“ผมเป็นพวกปากหนัก ปิดปากเงียบสนิท อีกอย่างคุณเป็นผู้มีพระคุณกับผม ผมไม่เอาชื่อคุณไปบอกคนนอก เพราะการเปิดเผยสถานะของคุณ มันจะนำอันตรายมาให้คุณ”
ประยสย์ช่วยตักบะหมี่เส้นเนื้อหมูมาให้กัญณิศาหนึ่งชาม พลางคีบไข่ดาวหนึ่งใบไว้ด้านบน และถือชามบะหมี่ออกมาจากห้องครัวเล็ก เพื่อเปลี่ยนไปยังห้องอาหารเล็กๆ ที่ติดกับห้องครัวเล็ก
กัญณิศานั่งลงด้านหน้าโต๊ะอาหารตาม อย่างไม่เกรงใจเขา พลางมองเห็นเขาเดินกลับไปยกถ้วยบะหมี่อีกชามออกมาจากห้องครัว
กัญณิศาเห็นว่าชามบะหมี่ใบนี้ของตนเองมีเนื้อสัตว์ที่เป็นเส้นอยู่เยอะมาก จึงบ่นในใจ: มองคนอย่าดูเปลือกนอก ผู้ชายภูมิฐานอันแสนเย็นชาอย่างประยสย์ จริงๆ แล้วเป็นคนเอาใจเก่งมาก
“ถ้าคุณไม่ยอมบอกชื่อจริงๆ ออก งั้นก็ช่วยถอดหน้ากากให้ผมเห็นหน้าตาของผู้มีพระคุณของผมสักหน่อยได้มั้ยครับ”
กัญณิศา: “……”
เธอเริ่มกินบะหมี่
เพราะว่าเธอหิวแล้วจริงๆ
ประยสย์เห็นเธอเริ่มกิน จึงไม่ซักไซ้ต่อ ทั้งสองคนนั่งกินบะหมี่อยู่เงียบๆ อาจจะเป็นเพราะว่ามีคนอยู่เป็นเพื่อนด้วยมั้ง ปรากฏว่าประยสย์รู้สึกว่าตนเองทำบะหมี่ได้อร่อยมากเป็นพิเศษ
หลังจากจัดการปัญหาเรื่องอาหาการกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ประยสย์ลุกขึ้นอีกครั้ง เพื่อเก็บจานชามไปล้าง
กัญณิศาปล่อยให้เขาทำเรื่องพวกนี้ เพราะว่าเธอเป็นแขกมาเยือนถึงชานเรือน เขาไม่ให้แขกล้างจาน ถือเป็นหลักการที่เขาควรปฏิบัติแก่แขก
“คุณประยสย์มีจิตใจที่ทดแทนบุญคุณ ฉันคิดว่า คุณเองก็คงไม่เต็มใจที่จะทำให้คนอื่นลำบากใจ”
ประยสย์ที่กำลังล้างจานอยู่สะดุ้งทันที พลันหันมามองกัญณิศาสักพัก พลางหันไปล้างจานต่อ ปากก็พูดออกมา “ในเมื่อเป็นแบบนั้น งั้นก็ทำเหมือนว่าผมไม่เคยถามแล้วกัน”
กัญณิศาถอนหายใจโล่งอก
สิ่งที่ประยสย์คิดอยู่ก็คือ ในเมื่อหน้ากากสาวมาหาเขา แถมยังแทรกซึมเข้าห้องของเขาอย่างแนบเนียน นั่นหมายความว่าหญิงสาวคนนี้ฝีมือเก่งกล้ามาก เขาไม่อยากต่อปากต่อคำกับเธอต่อ
ไม่แน่ ภายภาคหน้าอาจมีโอกาสได้เจอหน้าคร่าตากัน