คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 190 องค์ชายสอง
ตอนที่ 190 องค์ชายสอง
อยู่จนถึงพลบค่ำ เยียนอวิ๋นเฟยจึงออกเดินทางกลับจวนตระกูลสือที่ตั้งอยู่ในตรอกไป๋หม่า
จวนถูกเก็บกวาดเรียบร้อย สัมภาระที่ถูกจัดวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
บรรดาบ่าวรับใช้ต่างทำหน้าที่ของตนเอง จวนที่กว้างใหญ่เป็นระเบียบทำให้คนรู้สึกอารมณ์ดี
พ่อบ้านถือเทียบเชิญกองหนึ่งมา
“ทุกคนรู้ว่าฮูหยินเดินทางมาถึงเมืองหลวงจึงต่างส่งเทียบเชิญมา ฮูหยินจะดูหรือไม่ขอรับ”
“นำมาให้ข้าดู”
เวลานี้ท่าทีของเยียนอวิ๋นเฟยเปลี่ยนไปอย่างมาก
ตอนอยู่ในจวนท่านหญิง นางพูดคุยหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติ
เป็นบุตรสาวที่ดี เป็นพี่สาวที่ดี พูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนาน
ในตระกูลสือ นางเป็นฮูหยิน เป็นนายหญิงของตระกูล มีอำนาจน่าเกรงขาม
กิริยาท่าทางล้วนแสดงออกถึงอำนาจของผู้ที่อยู่สูง
พ่อบ้านยื่นเทียบเชิญไปให้ สาวรับใช้รับมาวางไว้บนโต๊ะเล็ก เยียนอวิ๋นเฟยเพียงยื่นมือก็สามารเอื้อมถึง
นางพลิกเทียบเชิญดูอย่างไม่สนใจนัก
สุดท้ายนางเลือกเทียบเชิญสามฉบับออกมาจากหลายสิบฉบับ จากนั้นโยนให้พ่อบ้าน “เจ้าไปเตรียมการ! ที่เหลือปฏิเสธให้หมด”
พ่อบ้านรับคำสั่งพลันถอยออกไป!
แม่นมชุยปรนิบัติอยู่ข้างกายนาง “ฮูหยินคิดจะไปเยือนจวนองค์ชายสองเมื่อใดเจ้าคะ บ่าวต้องเตรียมการล่วงหน้าหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเฟยกำลังหลับตาพักผ่อน “ส่งเทียบให้จวนองค์ชายสอง วันมะรืนข้าจะเดินทางไปเยือน หากสะดวก ข้าจะนำน้องสี่ไปด้วย”
แม่นมชุยทำหน้าลังเล “พาคุณหนูสี่ไปด้วยจะเหมาะสมหรือเจ้าคะ”
เยียนอวิ๋นเฟยไม่แม้แต่จะลืมตา นางพูดเสียงเบา “มีเรื่องใดไม่เหมาะสม! ข้าเพียงแค่ไปเยือนในฐานะญาติ ไม่ใช่เพื่อสังเกตการณ์องค์ชายสอง ข้าไม่ได้พบกับน้องสองมาหลายปี นางใกล้จะคลอดแล้ว ข้ากังวลยังไม่ทัน จะสนใจเรื่องอื่นได้อย่างไร”
“ฮูหยินพูดได้มีเหตุผล หวังว่าครรภ์นี้ของฮูหยินจะเป็นชาย”
“ฮูหยินพูดได้มีเหตุผล หวังว่าครรภ์นี้ของฮูหยินจะเป็นชาย”
เยียนอวิ๋นเฟยลูบไล้บริเวณท้องแผ่วเบา “หากเป็นชาย ข้าคงต้องเตรียมวางแผนแล้ว”
0
ใช่!
สถานการณ์ของตระกูลสือซับซ้อนเพียงนั้น หากนางไม่วางแผนให้รอบคอบ เกรงว่าเด็กคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงตอนโต
…
อากาศแห้งแล้ง อาการประชวรขององค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินกำเริบ
หมอหลวงเฝ้าอยู่ในจวนองค์ชายสอง เตรียมน้อมรับคำสั่งทุกเวลา
เขากลัวระบาดให้เยียนอวิ๋นฉี จึงไม่ให้เยียนอวิ๋นฉีเข้าใกล้ มีเพียงขันทีผู้ใกล้ชิดปรนนิบัติ
“องค์ชาย เสวยสาลี่ต้มน้ำตาลเสียหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เฟ่ยกงกงถือสาลี่ต้มน้ำตาลชามหนึ่ง กำลังอุ่น เหมาะกับการดื่ม
คอของเซียวเฉิงเหวินแหบแห้งจนอึดอัด อากาศนี้ไม่เป็นมิตรต่อเขาอย่างมาก
เขารับชามน้ำแกงมา ดื่มไปครึ่งชามก็ไม่ยอมดื่มอีก
เฟ่ยกงกงไม่เกลี้ยกล่อม เพราะเกลี้ยกล่อมก็ไร้ประโยชน์
เขาถามด้วยความเป็นห่วง “องค์ชายทรงรู้สึกดีขึ้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นสูตรของฮูหยิน บอกว่าได้ผลดีมาก”
เซียวเฉิงเหวินได้ยิน จึงหัวเราะขึ้นมา “สูตรของฮูหยิน? เกรงว่าจะเป็นสูตรของเยียนอวิ๋นเกอมากกว่า ไม่รู้นางไปหาวัตถุดิบ สูตรอาหารมากมายเพียงนั้นจากที่ใด ได้ยินว่ากิจการภัตตาครารหนานเป่ยของนางดีมากใช่หรือไม่”
“กินกาจไม่เลว กระหม่อมไปลิ้มลองรสชาติมาด้วยตนเอง ไม่แพ้ร้านค้าเก่าแก่ร้อยปีแม้แต่น้อย”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะ “ไม่ว่าสมัยใดล้วนไม่ขาดคนมีเงิน แต่ก็ไม่ขาดคนที่ยอมเสียเงิน”
เฟ่ยกงกงพูดเสียงเบา “เสบียงขึ้นราคาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเฉิงเหวินไม่สนใจ
เฟ่ยกงกงพูดต่อ “ได้ยินว่าแถบนครบาลมีลำธารเล็กจำนวนไม่น้อยแห้งเหือดไปแล้ว”
เซียวเฉิงเหวินยังคงไม่มีการเคลื่อนไหว
ดังนั้นเฟ่ยกงกงจึงถามขึ้นโดยตรง “พระองค์ไม่ทรงคิดจะตรัสถามเรื่องนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเฉิงเหวินส่ายหน้า “ถึงแม้ข้าจะถามเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เวลานี้ ข้าไม่อาจเป็นคนเริ่มต้นได้ โดยเฉพาะไม่อาจเป็นคนแรกที่กระโดดออกมาทูลเสด็จพ่อเรื่องภัยแล้ง
รู้หรือไม่ว่าเหตุใดราชสำนักจึงไม่มีการเคลื่อนไหว เพราะขุนนางในราชสำนักเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนคาดหวังให้เกิดภัยแล้ง ตระกูลเบื้องหลังพวกเขาย่อมสามารถใช้โอกาสนี้กว้านซื้อที่ดินในราคาต่ำ เพิ่มจำนวนทาสทำนา
ภัยแล้งสำหรับสามัญชนเป็นภัยธรรมชาติ แต่สำหรับตระกูลใหญ่แล้วมันคือโอกาสที่จะร่ำรวย หากข้ากระโดดออกมาในเวลานี้ ย่อมเท่ากับทำให้ขุนนางทั่วราชสำนักขุ่นเคือง”
เฟ่ยกงกงได้ยินจึงถอนหายใจ
เขามีชาติกำเนิดจากตระกูลยากจน เนื่องจากภัยธรรมชาติ ในเรือนยากเข็ญจนไม่มีกิน เขาจึงทำได้เพียงเข้าวังมาเป็นขันทีประตูเหลือง
ต่อมาถูกส่งมาปรนนิบัติองค์ชายสอง เขาถึงได้มีโอกาสพลิกตัว มีกิจการของตนเอง ครอบครัวก็ร่ำรวยขึ้นเพราะเขา
บางครั้ง เขายังคงคิดถึงวันเวลาที่อยู่บ้านเกิด
เขารู้เป็นอย่างดีว่าภัยธรรมชาติมีความหมายอย่างไรต่อสามัญชนที่อาศัยสภาพอากาศในการดำรงชีวิต
มันหมายถึงความเป็นอยู่ ความเป็นความตาย อิสรภาพ…
เซียวเฉิงเหวินหันกลับมาปลอบเฟ่ยกงกง “เจ้าไม่ต้องกังวล ในราชสำนักย่อมต้องมีการเคลื่อนไหวในไม่ช้า ข้าสามารถอดทนไม่ออกเสียงได้ แต่คนอื่นคงไม่อาจทนได้”
“พระองค์ทรงหมายถึงองค์ชายสาม?”
“ไม่ใช่เขา! ฝ่ายตรวจการมีผู้ที่มีจิตใจโอบอ้อมแผ่นดิน หลังจากที่พวกเขารู้สถานการณ์อย่างละเอียดแล้ว ย่อมไม่อาจทนได้”
เฟ่ยกงกงโล่งใจ “ขอบคุณฟ้าดิน หวังว่าราชสำนักจะจัดการได้อย่างรวดเร็ว เกณฑ์สำนักราชการในท้องถิ่นช่วยเหลือภัยแล้ง”
เซียวเฉิงเหวินกลับส่ายหน้า “อย่าคาดหวังมากเกินไป เสด็จพ่อทรงรับสั่งให้ช่วยเหลือภัยแล้ง ขุนนางด้านล่างก็มีเพียงจะน้อมรับคำสั่งเพียงด้านหน้า แต่ลับหลังกลับเฉยเมย หากไม่บีบบังคับจนสามัญชนก่อกบฏ พวกเขาย่อมไม่มีทางลามือ”
“อย่างนั้นก็ประหารผู้ที่เป็นขุนนางสักกลุ่ม ไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถข่มผู้คนได้” เฟ่ยกงกงตะโกนเสียงดังด้วยความโกรธ
เขาไม่แค้นขุนนางที่ละโมบ เขาแค้นแต่ขุนนางที่เห็นชีวิตคนไร้ค่า
คนใกล้จะหิวตายกันแล้ว ยังคิดถึงแต่การแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ คนเหล่านี้ไม่สมควรถูกสังหารหรือ
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะขึ้นมา “เสียดายที่ข้าไม่ได้อยู่บนบัลลังก์นั้น เสด็จพ่อทรงมีความกล้าหาญในการประหารเหล่าท่านอ๋อง หรือขุนนางบางคน แต่หากให้พระองค์ประหารขุนนางนับร้อยหรือหลายร้อยคนในคราวเดียว คงจะเป็นไปไม่ได้”
เฟ่ยกงกงหมดคำพูด เขาเหมือนลูกโป่งที่รั่วไหล
“องค์ชายตรัสได้ถูกต้อง กระหม่อมไร้เดียงสาไปชั่วขณะ เกือบจะทำให้การใหญ่ของพระองค์พัง”
“ไม่เป็นอันใด!”
เซียวเฉิงเหวินให้เฟ่ยกงกงจัดวางกระดานหมาก
คราวนี้เขามีความสนใจที่จะวิเคราะห์ผังหมากที่ได้มาใหม่อย่างมาก
เฟ่ยกงกงเงียบสงบ ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาอีก
แต่ไม่คาดคิดว่า เซียวเฉิงเหวินจะพูดขึ้น “เรือนพักร่ำรวยของเยียนอวิ๋นเกอคงสามารถรับสามัญชนที่ล้มละลายได้จำนวนมาก”
เอ๊ะ?
เฟ่ยกงกงฉงนเล็กน้อย
เซียวเฉิงเหวินพูดอีกครั้ง “บุกเบิกติดต่อกันมาหลายปี ที่นาของเรือนพักร่ำรวยอย่างน้อยหลานไร่ อีกทั้งเยียนอวิ๋นเกอดำเนินการได้อย่างดี เรือนพักร่ำรวยเปรียบเสมือนกะละมังรวมทรัพย์สมบัติ เสบียงที่อยู่ด้านในสามารถเลี้ยงคนได้จำนวนมาก”
เฟ่ยกงกงลองถาม “พระองค์ทรงต้องการเรือนพักร่ำรวยหรือพ่ะย่ะค่ะ ต้องแย่งเรือนพักร่ำรวยมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเฉิงเหวินไม่รู้ควรร้องไห้หรือหัวเราะดี “เจ้าให้ข้าแย่งชิงกิจการของน้องภรรยา เจ้ากำลังผลักให้ข้าตกลงไปในความไร้คุณธรรม อีกอย่าง กิจการของเยียนอวิ๋นเกอมาจากความสามารถของนาง ไม่ได้มาจากการยึดครองที่นา เจ้าไม่หาเรื่องคนมั่งคั่งในท้องถิ่น แต่กลับจับจ้องเรือนพักร่ำรวย ไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสม การกระทำนี้ไร้คุณธรรม อย่าได้พูดขึ้นมาอีก”
มุมปากของเฟ่ยกงกงกระตุก “เยียนอวิ๋นเกอก็ต้องหาเงิน นางไม่มีทางเลี้ยงสามัญชนแทนราชสำนักอย่างไม่มีเงื่อนไข”
“ถึงแม้จะเป็นเหตุผลนี้ แต่หากราชสำนักให้เงินก้อนหนึ่งแก่นาง แต่ขอให้นางเลี้ยงคน เจ้าคิดว่านางจะเลี้ยงหรือไม่”
สีหน้าของเฟ่ยกงกงแสดงออกถึงความลังเล เขาไม่แน่ใจ
เซียวเฉิงเหวินพูดต่อ “ให้เงินแก่ตระกูลใหญ่ ให้ตระกูลใหญ่เลี้ยงสามัญชนที่สูญเสียที่ดิน เงินสิบส่วนพวกเขาย่อมต้องโกงไปเก้าส่วน ที่เหลืออีกหนึ่งส่วนก็ตกไม่ถึงมือของสามัญชน แตกต่างจากเยียนอวิ๋นเกอ หากให้กำไรนางสามส่วน ที่เหลืออีกเจ็ดส่วนย่อมตกถึงมือของสามัญชนที่สูญเสียที่ดิน”
“พระองค์ทรงมั่นใจหรือพ่ะย่ะค่ะ เยียนอวิ๋นเกอจะไม่โลภหรือ”
“นางโลภ! นางโลภกว่าทุกคน! แต่นางโลภอย่างมีหลักการ ความโลภของนางไม่ใช่การแย่งชิงจากมือของผู้อื่น หากแต่เป็นการสร้าง เวลานี้สิ่งที่นางทำ เจ้าคิดว่ามันเป็นเพียงการเพาะปลูกหรือ ผิด! นางกำลังสร้างความมั่งคั่ง! เรื่องนี้แตกต่างจากตระกูลใหญ่อื่นอย่างเห็นได้ชัด ตระกูลใหญ่ส่วนมากล้วนได้รับความมั่งคั่งมาจากการแย่งชิงยึดครอง แต่เยียนอวิ๋นเกอกลับกัน ข้าจึงประทับใจนางอย่างมาก”
ใบหน้าของเซียวเฉิงเหวินปรากฎรอยยิ้มอบอุ่น งดงามจนทำให้คนหยุดหายใจ
เสียดาย ใบหน้านี้ เยียนอวิ๋นฉีไม่มีโอกาสได้เห็น นางกำลังบำรุงครรภ์ เตรียมตัวการให้กำเนิดที่ใกล้เข้ามา
เฟ่ยกงกงครุ่นคิดพลันพูด “อาศัยเยียนอวิ๋นเกอช่วยเหลือภัยแล้ง ราชสำนักคงไม่ยอม! ฝ่าบาทเองก็ย่อมต้องทรงกังวลพระทัย อีกทั้งเรือนพักร่ำรวยใช่ว่าจะมีเสบียงมากมายเพียงนั้น”
เซียวเฉิงเหวินส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า “เจ้าดูถูกเรือนพักร่ำรวยเกินไป ดูถูกเยียนอวิ๋นเกอเกินไป ยังไม่พูดถึงเสบียงที่ผลิตเอง นับแต่ต้นปี ก่อนที่คนส่วนใหญ่จะรู้ตัว เยียนอวิ๋นเกอก็เริ่มกักตุนเสบียงเก่าจำนวนมาก ตามที่ข้ารู้ เสบียงเก่าของสำนักเส้าฝู่ กรมคลัง หรือร้านค้าเสบียงใหญ่แต่ละร้านล้วนถูกเยียนอวิ๋นเกอกว้านซื้อไปเจ็ดส่วน
เสบียงมากมายเช่นนี้ล้วนกองอยู่ในคลังของเรือนพักร่ำรวย อีกทั้งการเลี้ยงคน ไม่จำเป็นต้องกินดีมาก ไม่ต้องกินให้อิ่ม รับรองว่าจะมีชีวิตอยู่ก็เพียงพอ เมื่อเป็นเช่นนี้ เสบียงนั้นก็สามารถประคับประคองไปได้ระยะหนึ่ง”
เฟ่ยกงกงเอ่ยเตือน “พระองค์ทรงยอมรับเยียนอวิ๋นเกอไม่มีประโยชน์ ต้องฝ่าบาทยอมรับนาง ขุนนางราชสำนักยอมรับนางจึงจะมีประโยชน์ อีกทั้งแผนการช่วยเหลือภัยแล้งที่พระองค์ทรงเสนอออกมานั้นไม่เคยดำเนินการมาก่อน เกรงว่าจะไม่ผ่านด่านของฝ่าบาท”
เซียวเฉิงเหวินยิ้ม ไม่สนใจ “ข้าเพียงแค่พูดเท่านั้น เจ้าไม่ต้องจริงจัง อีกทั้งอย่าได้แพร่ออกไปด้านนอก ข้าปิดประตูใช้ชีวิต เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอก ไม่ต้องกังวล”
เขาไม่กังวล แต่คนอื่นกลับกังวลอย่างมาก
องค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่ได้รับการตักเตือนจากกุนซือ เขาจึงสังเกตเห็นสถานการณ์ภัยแล้งของแผ่นดิน
เขารีบทูลรายงานสถานการณ์นี้ต่อเสด็จพ่อก่อนหน้าทุกคนอย่างรีบร้อน
นับแต่เขามีบุตรชาย อีกทั้งบุตรชายยังเป็นพระราชนัดดาองค์โต ความมั่นใจที่เขาขาดหายไปนั้นถูกเติมเต็มในทันที
เขาเปลี่ยนแปลงจากท่าทีการทำงานที่ถดถอยจากอดีตเป็นขยันขันแข็ง
ในใจของเขา เขาให้กำเนิดพระราชนัดดาองค์โต ตำแหน่งในวังย่อมต้องเป็นของเขา
กุนซือข้างตัวเขาก็เห็นด้วยกับการให้เขาสร้างความดีความชอบ สร้างภาพลักษณ์ให้ความสำคัญกับบ้านเมืองและสามัญชน สร้างความประทับใจให้ฮ่องเต้
ดังนั้น องค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่จึงรีบเสด็จเข้าวังเพื่อเอาหน้า
ความจริงแล้ว ฮ่องเต้หย่งไท่ได้รับการทูลรายงานเกี่ยวกับภัยแล้งในปีนี้มานานแล้ว
องครักษ์ซิ่วอีและองครักษ์จินอู่ก็ไม่ได้อยู่เฉย
เพียงแต่ฮ่องเต้หย่งไท่คิดว่าบริเวณที่เกิดภัยแล้งไม่ใหญ่ มีเพียงแถบนครบาล
เขาครุ่นคิด จากสถานการณ์เขื่อนเก็บน้ำของแถบนครบาล คงจะสามารถรับรองผลประกอบการเสบียงในปีนี้ได้
ซึ่งหมายความว่า นอกเหนือจากพื้นที่แถบนครบาล ฮ่องเต้ไม่รับรู้ถึงสถานการณ์แม้แต่น้อย
เขายังคงคิดว่านอกเหนือแถบนครบาล ทุกพื้นที่ล้วนมีสภาพอากาศที่ดี
จนกระทั่งบุตรชายคนโต เซียวเฉิงเย่เข้าวัง ทูลบอกเขาว่าทั้งแผ่นดินประสบภัยแล้ง ไม่ใช่แถบนครบาลเพียงอย่างเดียว
อีกทั้งเขื่อนเก็บน้ำในพื้นที่นครบาลขาดการซ่อมแซม มีเขื่อนจำนวนมากถูกทิ้งร้างไปแล้ว
หากคิดจะใช้เขื่อนเก็บน้ำที่บรรพบุรุษสร้างไว้บรรเทาภัยแล้งคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงโกรธอย่างมาก!
———————————————-