คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 231 พวกเราไม่สนิทกัน
ตอนที่ 231 พวกเราไม่สนิทกัน
เซียวอี้ทำงานคล่องแคล่วว่องไว
เขาเอาเงินจำนวนหนึ่งสำหรับสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำจากราชสำนักมาให้เยียนอวิ๋นเกอ
อีกทั้งยังขอแรงงานจำนวนหนึ่ง รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ จากสำนักแรงงาน
แรงงานและอุปกรณ์ถูกส่งไปยังเรือนพักร่ำรวยโดยตรง
ส่วนเงิน เซียวอี้เป็นคนส่งไปให้เยียนอวิ๋นเกอด้วยตนเอง
“เรื่องที่ข้ารับปากเจ้า พูดได้ย่อมทำได้เสมอ คราวหน้าอย่าได้สงสัยในสัจจะของข้า”
เขาส่งเสียงไม่พอใจ อีกทั้งยังขุ่นเคืองที่เยียนอวิ๋นเกอสงสัยเขา
เมื่อเห็นว่าเรื่องที่ไหว้วานสำเร็จแล้ว เยียนอวิ๋นเกอจึงเผยยิ้มเบิกบาน ไม่สนใจสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเขาแม้แต่น้อย
“ขอบพระคุณนายน้อย! ข้ารับน้ำใจของเจ้า หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้า เพียงแค่เอ่ยปาก”
“ข้าจำคำพูดนี้เอาไว้แล้ว ภายหลังย่อมต้องมาทวงบุญคุณคืนจากเจ้า”
เยียนอวิ๋นเกอได้ยินจึงแอบกลอกตา
ไม่เกรงใจแม้แต่น้อยเลยเสียจริง!
อย่างน้อยก็แสดงท่าทีเกรงใจกันบาง
เซียวอี้มองความคิดของนางออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาพูดด้วยท่าทีจริงจัง “ข้าอยู่ต่อหน้าเจ้า มีสิ่งใดย่อมพูดสิ่งนั้น ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้าก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นเกรงใจ”
เยียนอวิ๋นเกอเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะโต้แย้ง “พวกเราทั้งสองไม่ได้สนิทกัน เวลาที่ควรเกรงใจยังคงต้องเกรงใจกันบ้าง”
“ไม่สนิท?” เซียวอี้ยิ้มอย่างมีนัย “ข้าหายาให้เจ้า ออกหน้าแทนเจ้า วิ่งเต้นแทนเจ้า เจ้าทำอาหารให้ข้า เลี้ยงดูกองกำลังนับพันให้ข้า จัดหาเสบียงให้ข้า พวกเรายังร่วมมือกันขุดเหมือง เจ้ากลับบอกว่าพวกเราไม่สนิทกัน เยียนอวิ๋นเกอ เจ้าคิดจะตัดความสัมพันธ์กับข้าก็ไม่ต้องร่วมมือขุดเหมืองกับข้า หากอยากร่วมมือก็อย่าพูดว่าไม่สนิทกัน ข้าไม่ชอบฟัง”
มุมปากของเยียนอวิ๋นเกอกระตุก “พวกเราไม่ได้สนิทกันจริง เรื่องที่เจ้าพูด อาทิร่วมมือกันขุดเหมืองเป็นเพียงแค่เรื่องของการทำกิจการ”
เซียวอี้หัวเราะเสียงเย็น “ฮึ! เรื่องของการทำกิจการ มีพ่อค้าใหญ่จำนวนมากให้เลือก หากไม่ได้สนิทกับเจ้า เหตุใดข้าจึงไม่เลือกที่จะร่วมมือกับพ่อค้าใหญ่แทนเจ้า เพราะข้าเห็นแก่ที่เจ้ามีเงินน้อยปากร้าย หรือว่าเห็นแก่ที่เจ้าคิดเล็กคิดน้อย เจ้าลองคลำหัวใจตัวเอง ไม่เจ็บหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอ “…”
ปากเขาต้องร้ายขนาดนี้เชียวหรือ
บอกว่านางปากร้าย คนตรงหน้าปากร้ายกว่านางเป็นสิบเท่า
ส่วนเรื่องมโนธรรม…
มโนธรรมคือสิ่งใดกัน
กินได้หรือ
หัวใจของนางไม่เจ็บแม้แต่น้อย
นางช่างโมโหยิ่งนัก
เยียนอวิ๋นเกอกลอกตาใส่เขา “ใช่ๆๆ นายน้อยเซียวพูดถูกต้อง ข้ามันคนเนรคุณ ข้าไร้หัวใจ ข้าใช้งานเจ้าเสร็จก็ถีบหัวส่ง ลำบากเจ้าต้องมาร่วมมือกับข้าแล้ว เจ้าเป็นคนมีเมตตาที่สุดในโลกนี้”
เซียวอี้เลิกคิ้วยิ้ม “เจ้ารู้ก็ดี! ข้าร่วมมือกับเจ้าเพราะเห็นแก่ความสนิทของพวกเรา ข้าได้กินเนื้อ ย่อมต้องแบ่งน้ำแกงให้เจ้าคำหนึ่ง”
“แต่เวลานี้ข้าไม่ได้ดื่มน้ำแกงแม้แต่คำเดียว”
เยียนอวิ๋นเกอเริ่มบ่นว่ายากจนอีกแล้ว
ขุดเหมืองหาเงิน
แต่นางไม่เห็นเงินแม้แต่สลึงเดียว
น่าสงสาร!
เซียวอี้ยิ้มอย่างรู้ทัน “เจ้าลองพูดก่อนว่าพวกเราสนิทกันหรือไม่”
“สนิท! สนิทมาก!” เห็นแก่เงิน เยียนอวิ๋นเกอจึงเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว ไม่เก้อเขินแม้แต่น้อย
เซียวอี้ “…”
ช่างเป็นคนเห็นแก่เงินเสียจริง
ไม่ว่าจะพูดเรื่องมโนธรรมหรือเยื่อใยใดๆ ก็ไม่อาจเทียบได้กับการพูดถึงเรื่องเงิน
หากบอกว่าเยียนอวิ๋นเกอรู้จักแต่เงิน ไม่รู้จักก็ไม่ถูก
นางรู้จักคน แต่ต้องแยกแยะว่าเป็นผู้ใด
กับคนที่สนิท นางไม่เคยพูดถึงเรื่องเงิน
เพราะการพูดถึงเรื่องเงินจะเป็นการทำลายความรู้สึก
อีกทั้งสำหรับคนที่สนิท นางเอื้อเฟื้อเสมอ
แต่สำหรับคนที่นางแบ่งไว้ว่าเป็นคนที่ไม่สนิท นางจะพูดถึงแต่เรื่องเงิน ไม่มีความรู้สึกอื่น
ช่างน่าโมโหยิ่งนัก
อย่างน้อยทั้งสองคนก็รู้จักกันมาหลายปี มีมิตรภาพมากมาย ต่างฝ่ายก็คุ้นเคยกันดี แต่ตนเองก็ยังถูกเยียนอวิ๋นเกอจัดว่าเป็นคนที่ไม่คุ้นเคย
เซียวอี้โกรธจนแทบกระอักเลือด
ความสัมพันธ์นานหลายปีไม่ได้ทำให้เยียนอวิ๋นเกอยอมรับความเป็นมิตรสหายของทั้งสองคน เขาล้มเหลวมากใช่หรือไม่
หรือเยียนอวิ๋นเกอใจแข็งเกินไป หัวใจที่เย็นชาดุจก้อนหินของนางไม่มีวันอุ่นขึ้นมาได้
เขาอยากถือสานาง แต่ก็ไม่รู้จะถือสาเรื่องใด
เขาพูดอย่างเด็ดขาด “เร็วสุดก่อนปีใหม่ ช้าสุดหลังวันที่สิบห้าเดือนสิบสอง กำไรของการขุดเหมืองในปีนี้ก็จะถูกส่งมาถึงมือของเจ้า ไม่มีทางขาดส่วนของเจ้าอย่างแน่นอน”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มแย้ม “ขอบพระคุณนายน้อยเซียว เจ้าช่างเป็นแทพแห่งโชคลาภเสียจริง”
บุรุษที่มีเหมืองช่างใจกว้าง
ทำสงครามและขุดเหมืองไปด้วย
มิน่าบรรดาแม่ทัพต่างชื่นชอบในการทำสงคราม
เพราะมันสามารถแย่งชิงพื้นที่ของผู้อื่นเพื่อหาเงินได้อย่างถูกต้อง
เซียวอี้ทำหน้าบึ้ง “เจ้าเห็นข้าเป็นเทพแห่งโชคลาภ ข้าก็จะไม่เกรงใจกับเจ้า ต่อจากนี้เจ้าต้องกระตือรือร้นต่อเทพแห่งโชคลาภให้มาก อ่อนโยนให้มาก อย่าห่างเหินเพียงนั้น!”
เยียนอวิ๋นเกอ “ข้าจะเคารพเจ้า!”
สำหรับเทพแห่งโชคลาภย่อมต้องเคารพ
มุมปากของเซียวอี้กระตุก “ไม่ต้องเคารพ สิ่งสำคัญคืออ่อนโยนและกระตือรือร้น”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้าระรัว นางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ได้! ไม่พิถีพิถันเกินไป เทพแห่งโชคลาภต้องบูชา ไม่ว่าจะบูชาคนเป็นหรือคนตายล้วนต้องเคารพ เจ้าไม่พิถีพิถันเกินไป”
เซียวอี้อยากกระอักเลือด
ไม่อาจสนทนาต่อไปได้แล้ว เขาไปดีกว่า ไปทันที
มิฉะนั้นเขาต้องโกรธจนตายอย่างแน่นอน
เขาโบกมือลา
เซียวอี้จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว
เยียนอวิ๋นเกอดีใจอย่างมาก ในที่สุดก็ส่งนายน้อยเซียวจากไปเสียที จุดพลุฉลอง!
หากเซียวอี้รู้สิ่งที่นางคิดในใจ เกรงว่าจะกระอักเลือดออกมา
…
ฝนตกแล้ว!
แห้งแล้งมาหนึ่งปี ในที่สุดสวรรค์ก็มีตาประทานฝนให้ตกลงมา
เพียงแต่ทุกคนยังไม่ทันได้เฉลิมฉลองด้วยความดีใจ ก็พบว่ามันเป็นฝนเยือกแข็ง
อุณหภูมิลดลงอย่างกะทันหัน!
เปลี่ยนจากฤดูใบไม้ร่วงที่อบอุ่นเป็นฤดูหนาวในชั่วพริบตา
ปัญหาใหม่มาแล้ว!
จะรักษาความอุ่นไว้ได้อย่างไร
เพียงแค่เรื่องของความหิวโหยก็ทำให้คนบ้าคลั่งแล้ว
เวลานี้ไม่เพียงหิว ยังหนาวอีก
ทั้งหิวทั้งหนาว จะมีชีวิตรอดได้หรือ
ฝนเยือกแข็งหมายความว่าหมดหนทางในการออกไปหากิน หมดหนทางในการออกไปทำงาน
เพียงชั่วพริบตา ถนนในเมืองหลวงสะอาดสะอ้านจนมองไม่เห็นเงาคน
แต่แล้วบรรยากาศทั้งเมืองกลับอึดอัด อึมครึม…
นอกเมือง ผู้ลี้ภัยเกาะกลุ่มกันรักษาความอบอุ่น
เพียงแต่ฝนนี้หนาวเกินไป
ทำให้คนตกจากนรกขุมแรกไปยังนรกขุมที่สิบแปดในทันที
ค่ำคืนหนึ่งผ่านไป คนจำนวนมากไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก
เมื่อกวาดตามองไป ล้วนแล้วแต่เป็นซากศพที่หนาวตาย
ซากศพไม่อาจอยู่กลางแจ้งได้นาน
สำนักราชการก็กลัวว่าจะเกิดโรคระบาด
พวกเขาตัดสินใจเกณฑ์กำลังคนขุดหลุมฝังศพในทันที
นักการและชายหนุ่มที่เกณฑ์มาขนย้ายซากศพ พร้อมทั้งสาดปูนขาว
ผู้ลี้ภัยมองดูอย่างเย็นชา ไม่มีผู้ใดเข้าไปช่วยเหลือ
ถึงแม้จะเป็นซากศพของญาติมิตร ผู้ลี้ภัยก็นั่งอยู่บนพื้นอย่างเฉยชาราวกับก้อนหิน
ภายในดวงตาของแต่ละคนล้วนมีแต่ความเฉยชา เย็นชา ความแค้นและความบ้าคลั่งถูกซ่อนอยู่ในส่วนลึก
เพียงแค่มีข้าวกิน มีหญ้าฟางปกปิดร่างกายก็จะไม่ตาย
แต่บนโลกนี้คนที่อยู่ในพื้นที่ของตนเองไม่สามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้!
ทำนาจ่ายส่วยอย่างเชื่อฟัง สุดท้ายกลับต้องบ้านแตกสาแหรกขาด
อนาถหรือไม่
อนาถอย่างมาก
แต่ยังมีคนที่อนาถกว่าพวกเขา
ทาสนาที่ยังต้องทำนาในสภาพอากาศที่หนาวเย็นอนาถยิ่งกว่าผู้ลี้ภัย
ยุคสมัยนี้ไม่ยอมให้หนทางรอดแก่คน
…
ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงเรียกหารือ พระองค์ทรงตัดสินพระทัยสร้างเพิงแจกจ่ายข้าวต้มให้ผู้ลี้ภัย
ฝนตกเป็นเรื่องที่ดี
แต่หากเป็นฝนเยือกแข็งกลับไม่ใช่เรื่องดี มันทำให้การบรรเทาภัยพิบัติที่ยากลำบากยิ่งยากมากขึ้น
ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงกลุ้มพระทัยอย่างมาก มีคนตายนับพันภายในหนึ่งคืน ส่วนใหญ่เป็นคนชราและเด็ก
หากไม่จัดตั้งเพิงแจกจ่ายข้าวต้มให้ทันเวลา ย่อมต้องมีคนตายมากขึ้น
เขาจัดตั้งเพิงแจกจ่ายข้ามต้มสามแห่งนอกเมืองในวันนั้นทันทีโดยไม่สนใจว่าบรรดาขุนนางจะคัดค้านหรือเห็นด้วย
เสบียงได้รับการบริจาคจากสำนักเซ่าฝู่ กระทรวงแรงงานและขุนนางราชสำนัก
เสบียงที่บริจาคจะขึ้นราหรือไม่ จะมีก้อนหินหรือเม็ดทรายปะปนหรือไม่ ไม่สำคัญแล้ว
สิ่งสำคัญคือมีเสบียง ทำให้ผู้ลี้ภัยทุกคนมีชีวิตต่อไปได้
เมื่อมีเพิงแจกจ่ายข้าวต้ม ผู้ลี้ภัยยังคงเฉยชา
พวกเขาต่อแถวราวกับซากศพเดินได้ ในมือถือชามที่ผุพัง อ้อนวอนขอข้าวต้มหนึ่งชาม
ซาบซึ้งหรือ
เมื่อได้รับความลำบากมามากเกินไป เห็นโศกนาฏกรรมที่เกินขึ้นบนโลกมากเกินไป ข้าวต้มหนึ่งชามไม่อาจทำให้พวกเขาซาบซึ้งได้
หัวใจของพวกเขาเย็นชาหลังจากผ่านประสบการณ์ย่ำแย่มากมาย
เพียงแค่มีชีวิตอยู่!
ขอแค่มีชีวิตอยู่!
ยังมีลมหายใจ ฤดูหนาวนี้ไม่หนาวหรือหิวตายก็เป็นชัยชนะสูงสุดแล้ว
ส่วนต่อไปจะทำอย่างไร ไม่มีผู้ใดคำนึงถึงปัญหานี้
ในเมืองหลวงมีเพิงแจกจ่ายข้าวต้ม แคว้นและรัฐอื่นก็จัดตั้งขึ้นตามลำดับ
เพียงแต่เสบียงมีจำกัด
เพิงแจกจ่ายข้าวต้มในพื้นที่จำนวนมากอยู่ได้เพียงสามถึงห้าวัน
แต่หัวใจของสวรรค์ช่างโหดเหี้ยม
ไม่มีฝนตกมาทั้งปี
พอฝนตกต่อเนื่องหลายวัน แต่ก็เป็นฝนเยือกแข็ง
ช่างไร้เยื่อใย!
สภาพอากาศที่เลวร้าย เสบียงสำหรับการช่วยเหลือที่มีจำกัด เพิงข้าวต้มที่ยกเลิกไป…
ผู้ลี้ภัยปะทุแล้ว
…
หย่งไท่ปีที่สิบสี่ ปลายเดือนสิบผู้ลี้ภัยในเขตภูเขาแถบนครบาลก่อการจลาจล สังหารนักการ บุกเข้าตัวเมือง สังหารนายอำเภอ เมืองถูกปล้นจนหมด จากนั้นก็หลบซ่อนตัวเข้าไปในป่า
เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น ทุกคนต่างตกตะลึง
ผู้ลี้ภัยทางใต้ไม่ได้ก่อกบฏ ผู้ลี้ภัยทางตะวันตกเฉียงเหนือไม่ได้ก่อกบฏ ผู้ลี้ภัยทางเหนือก็ไม่ได้ก่อกบฏ…
มีแต่ผู้ลี้ภัยแถบนครบาลที่ก่อกบฏ!
มันไม่ใช่ลางสังหรณ์ที่ดี!
ฮ่องเต้ต้องไร้ความสามารถเพียงใดจึงจะบีบเค้นให้ผู้ลี้ภัยแถบนครบาลก่อกบฏ
บทกวีที่ต่อว่าฮ่องเต้โหดเหี้ยมไร้คุณธรรมถูกคนพลิกกลับขึ้นมาอีกครั้ง
ต่อว่าฮ่องเต้อย่างรุนแรงโดยอาศัยการก่อกบฏของผู้ลี้ภัยแถบนครบาล
คราวนี้ การจู่โจมกลับของตระกูลขุนนางดุเดือดอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ไม่เพียงต่อว่าฮ่องเต้หย่งไท่โหดเหี้ยมไร้คุณธรรม ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกว่าฮ่องเต้หย่งไท่ครอบครองราชบัลลังก์อย่างไม่ถูกต้อง
เหตุใดฮ่องเต้หย่งไท่ถึงประหารคน ก็เพราะว่าพระองค์ต้องการปิดปากของผู้คน
บัณฑิตกลุ่มนี้ย้อนเวลากลับไปยังราชวงศ์จงจ้ง ต่อว่าฮ่องเต้องค์ก่อนหรือฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงครอบครองราชบัลลังก์อย่างไม่ถูกต้อง ดังนั้นจึงได้ข้อสรุปว่าฮ่องเต้หย่งไท่ครอบครองราชบัลลังก์อย่างไม่ถูกต้อง
เรื่องนี้บานปลายอย่างมาก
ฮ่องเต้หย่งไท่โกรธจนอยากระเบิด เขาอยากฆ่าคน
แต่เขากลับควบคุมตนเองเอาไว้ได้
ช่างน่าประหลาดใจ
…
เทศกาลตงจื้อ[1] วังหลวงจัดงานเลี้ยง
บรรดาขุนนางต่างเข้าร่วม
ฮ่องเต้หย่งไท่แสดงท่าทีดีใจ ราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากการที่ผู้ลี้ภัยก่อกบฏ และเรื่องที่จู่โจมว่าเขาครองราชบัลลังก์อย่างไม่ถูกต้อง
เมื่อเห็นฮ่องเต้ดีใจ บรรดาขุนนางย่อมดีใจ
นายท่านใหญ่ตระกูลเถายกจอกสุรา ใช้ฤทธิ์ของสุราแสดงความบ้าคลั่งของตนเอง