คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 279 ไม่ใช่นักบุญ
ตอนที่ 279 ไม่ใช่นักบุญ
ฮ่องเต้หย่งไท่คิดจะตีเซียวเฉิงเย่ให้ตายจริงๆ
เขาไม่สนใจร่างกายที่ไม่สบาย ผลักซุนปังเหนียนและเถาฮองเฮาที่เกลี้ยกล่อมห้ามปรามออก หยิบแส้หนังขึ้นมาสะบัดไปทางเซียวเฉิงเย่
เซียวเฉิงเย่ “…”
ฮือๆๆ …
คุกเข่าอยู่บนพื้น ทำตัวไม่ถูก
น้อยใจ!
ไม่เข้าใจ!
อยากร้องไห้!
เถาฮองเฮาตวาดเขา “เจ้ายังคุกเข่าอยู่อีก รีบหนีสิ! เจ้าจะทำให้ฝ่าบาททรงโกรธจนอกแตกตายถึงจะสบายใจหรือ”
คำพูดของนางเตือนสติของเซียวเฉิงเย่ เขาไม่สนใจว่าจะมีการลงโทษอย่างไรตามมา แต่เขาต้องหลบหลีกหายนะตรงหน้านี้ไปให้พ้นก่อน
แส้กำลังจะกระทบลง เขากลิ้งลงบนพื้นก่อนจะลุกขึ้นมา กุมหัววิ่งหนี
สุดท้ายเขาก็หนีออกจากตำหนักบรรทมได้ภายใต้การช่วยเหลือของขุนนางฝ่ายใน
“เจ้าคนเหลวไหล! ข้าจะตีเขาให้ตาย!”
ฮ่องเต้หย่งไท่โกรธจนก่นด่าออกมา เลือดลมสูบฉีด ร่างกายซวนเซเหมือนจะล้มลง…
ซุนปังเหนียนพุ่งตัวขึ้นไปพยุงฮ่องเต้เอาไว้อย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาททรงระงับความโกรธ! รีบเรียกหมอหลวง เตรียมยา…”
…
ฮ่องเต้หย่งไท่ประชวรลงอีกครั้ง
คราวนี้ เขาประชวรเพราะองค์ชายใหญ่เซียวเฉิงเย่
เรื่องนี้ถูกกระจายไปทั่ววังหลวงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระจายจากวังหลวงไปถึงหูของตระกูลขุนนางและเชื้อพระวงศ์
ทันใดนั้น องค์ชายใหญ่เซียวเฉิงเย่กลายเป็นเป้าหมายในการโจมตีของทุกคน
ไม่รู้ว่าองค์ชายสี่เสียสติหรือเพื่อแสดงความประพฤติ หรืออาจแสร้งเล่นละครให้ผู้อื่นดู เขาพุ่งตัวไปยังจวนองค์ชายใหญ่ ชี้หน้าต่อว่าเซียวเฉิงเย่โดยเฉพาะ
เซียวเฉิงเย่โกรธจนหงายหลัง
เสด็จพ่อทรงต่อว่าเขา เขาทน!
แม้แต่เจ้าสี่ยังกล้าวิ่งมาชี้หน้าต่อว่าเขา
เขาทนไม่ได้!
ดังนั้น…
องค์ชายใหญ่เซียวเฉิงเย่จึงต่อยองค์ชายสี่จนหน้าเขียวช้ำ
เขาตั้งใจต่อยลงบนใบหน้าของอีกฝ่าย
ตีคนไม่ตีหน้า แต่เขาจะตีหน้า เขาจะทำให้เจ้าสี่เห็นดี
ใบหน้าขององค์ชายสี่งดงามอย่างมาก มีทั้งเขียว ทั้งแดง ทั้งม่วง…
สามารถเปิดโรงย้อมสีได้แล้ว
เขาก็เป็นคนจริง ไม่กลับจวน ไม่หาหมอหลวง หากแต่เดินทางเข้าวังหลวงไปทูลฟ้องพร้อมกับใบหน้าเขียวช้ำ
ทูลฟ้ององค์ชายใหญ่อาศัยฐานะของพี่ใหญ่ชกต่อยพี่น้อง ยั่วยุความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องให้บาดหมาง!
ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงโกรธมาก!
“เหตุใดข้าจึงมีบุตรชายที่ไม่เอาไหนเช่นนี้!”
เถาฮองเฮาสาแก่ใจอย่างมาก แต่ภายนอกยังต้องแสดงออกถึงความจริงจังในการแบ่งเบาความทุกข์แทนฮ่องเต้
“ต้องโทษหม่อมฉันที่ขาดการอบรมเจ้าใหญ่”
“ไม่เกี่ยวกับฮองเฮา ข้าไม่ได้สั่งสอนเขาให้ดีเอง”
ฮ่องเต้หย่งไท่กล้ายอมรับความผิดอย่างหาได้ยาก
เพียงแต่สิ่งที่ต้องสูญเสียเพื่อให้ฮ่องเต้กล้ายอมรับความผิดนั้นใหญ่หลวงมาก
ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงออกคำสั่งทันที “ให้เจ้าใหญ่ปิดประตูสำนึกผิด ไม่มีพระราชโองการไม่อาจออกจากจวนได้ ปรับลดเงินเดือนสามปี! ขับไล่พวกหลอกลวงในจวนเขาออกไปให้หมด”
การลงโทษนี้ถือเป็นการกักขังอีกรูปแบบหนึ่ง
ขอบเขตในการใช้ชีวิตถูกจำกัดอยู่แค่ในจวนองค์ชายใหญ่
หากองค์ชายใหญ่เซียวเฉิงเย่เป็นคนติดจวน พระราชโองการนี้ไม่ถือเป็นบทลงโทษ เขาย่อมสามารถอยู่ในจวนได้อย่างสมเหตุสมผลต่อไป
แต่เซียวเฉิงเย่ไม่ต้องการเป็นคนติดจวน
เขาชื่นชอบโลกกว้างภายนอก
สิ่งที่สำคัญคือการขับไล่ที่ปรึกษาของเขาออกไปทั้งหมด
แย่แล้ว!
ที่ปรึกษาถูกขับไล่ ต่อจากนี้เขาจะพูดกับผู้ใด
ผู้ใดจะประจบได้ดีกว่าที่ปรึกษาอีก ทั้งไพเราะทั้งน่าสนใจ
ฮือๆๆ…
เสด็จพ่ออย่า!
ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องขององค์ชายใหญ่เซียวเฉิงเย่ เขาไม่ได้ออกคำสั่งให้ประหารลูกทรพีนี้ก็ถือว่าเมตตาอย่างมากแล้ว
เถาฮองเฮาเกลี้ยกล่อมเขา “ฝ่าบาทต้องทรงระวังพระวรกาย อย่าได้ทรงโกรธเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย ก่อนหน้านี้หม่อมฉันตกใจอย่างมาก เกรงว่าหากฝ่าบาททรงเป็นอันใดไปจริง โชคดีทีซุนปังเหนียนมีประสบการณ์มาก จัดการได้อย่างเหมาะสม”
ฮ่องเต้หย่งไท่มองนาง “หากวันนี้ข้าตายไป มันก็สาแก่ใจเจ้าไม่ใช่หรือ”
สีหน้าของเถาฮองเฮาซีดเผือด “ฝ่าบาททรงสงสัยเจตนาของหม่อมฉันอีกแล้วหรือ ต้องให้หม่อมฉันควักหัวใจออกมา ฝ่าบาทจึงทรงยอมเชื่อหม่อมฉันใช่หรือไม่”
ฮ่องเต้หย่งไท่จับข้อมือของเถาฮองเฮาเอาไว้ พูดด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม “แม้แต่เจ้าใหญ่ก็ต้องการอำนาจทหารและตำแหน่งของข้า เจ้าเป็นถึงฮองเฮา เจ้าไม่ต้องการหรือ”
เถาฮองเฮาออกแรงสะบัดมือของฮ่องเต้หย่งไท่ออก แต่ก็สะบัดไม่หลุด
หากแต่ทำให้ฮ่องเต้หย่งไท่จับแน่นยิ่งขึ้น
นางกัดฟัน พลันพูด “ฝ่าบาททรงทำหม่อมฉันเจ็บแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะเสียงเย็นพลันผลักนางออก “พวกเจ้าทุกคนคิดสิ่งใดอยู่ ข้าล้วนรู้ดี อย่าคิดว่าข้าแก่แล้ว ป่วยแล้วจะหลอกข้าได้ วันนี้ข้าสามารถบอกเจ้าอย่างชัดเจน หากผู้ใดกล้าแตะต้องบัลลังก์ของข้า แอบทำสิ่งใดลับหลัง ข้าจะประหารคนผู้นั้นเก้าชั่วโคตร! แม้จะต้องใช้ลมหายใจสุดท้าย ข้าก็จะออกพระราชโองการประหารเขา”
เถาฮองเฮานวดข้อมือที่ปวดร้าว พูดอย่างจริงจัง “ฝ่าบาททรงประหารได้เลย! สู้ประหารหม่อมฉันเป็นคนแรกดีหรือไม่! หม่อมฉันเป็นถึงฮองเฮา มีบุตรชายบุตรสาว หม่อมฉันวางแผนแทนพวกเขาผิดหรือ หม่อมฉันไม่วางแผนแทนพวกเขา หรือจะให้หม่อมฉันวางแผนให้บุตรของสตรีนางอื่นหรือ”
“หากฝ่าบาททรงต้องการให้หม่อมฉันเป็นนักบุญ ไร้ความปรารถนาคงจะยากเกินไป หากหม่อมฉันเป็นนักบุญ หม่อมฉันย่อมไม่มีทางเข้าวังมาเป็นฮองเฮา หม่อมฉันคงออกบวชเป็นแม่ชีไปแล้ว!”
ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะร่า “ในที่สุดเจ้าก็พูดออกมา! เจ้ามีความทะเยอทะยาน ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับแล้ว!”
“ใช่ หม่อมฉันยอมรับว่าหม่อมฉันทะเยอทะยาน แต่หม่อมฉันไม่เคยคิดทำร้ายฝ่าบาท ยิ่งไม่เคยคิดจะทำลายแผ่นดินต้าเว่ย หากหม่อมฉันคิดเช่นนี้ เด็กๆ ก็คงไม่เห็นด้วย พวกเขามีหัวใจที่จริงใจ ทำเพื่อส่วนรวม ฝ่าบาททรงรู้หรือไม่ เจ้าสองกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะสงครามทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทำให้อาการของเขาหนักขึ้นแล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงองค์ชายสองเซียวเฉิงเหวิน ฮ่องเต้หย่งไท่ก็ทรงโกรธอย่างมาก
“เจ้าเอ่ยถึงลูกทรพีนั้นทำอันใด! ในเมื่อร่างกายไม่ดีก็พักรักษาให้ดี ยังบังอาจยุ่งเรื่องราชสำนัก อีกทั้งยังกล้าชี้นิ้วต่อหน้าข้า ด่าว่าข้าไม่รู้ประสาเอาเสียจริง! เจ้าบอกเขา หากเขากล้าแทรกแซงราชสำนักอีก ข้าไม่ปล่อยเขาแน่”
เถาฮองเฮาถอนหายใจ “เหตุใดฝ่าบาทต้องทรงเข้มงวดกับเจ้าสองเช่นนี้! แม้ร่างกายของเขาป่วย แต่สมองของเขาไม่ได้ป่วย บางครั้ง หม่อมฉันก็รู้สึกว่าความเห็นของเขามีเหตุผลอย่างมาก!”
“เหลวไหลสิ้นดี! เขาเป็นแค่คนป่วยที่ไม่เคยสัมผัสกับราชสำนักแม้แต่วันเดียว ความเห็นมาจากที่ใดกัน ความเห็นของเขาก็เป็นเพียงลมปาก คิดเอาเอง หากเจ้าไม่ยอมตักเตือนเจ้าสอง ข้าจะตักเตือนเขาเอง”
ฮ่องเต้หย่งไท่ยิ่งพูดยิ่งโกรธ
เถาฮองเฮาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ความไม่พอใจและความเกลียดชังของฮ่องเต้ที่มีต่อเจ้าสองมาจากที่ใด
ทั้งที่แต่ก่อนฮ่องเต้ทรงสงสารเจ้าสองอย่างมาก
เวลาผ่านไป ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไป
นางพูด “ฝ่าบาททรงพักรักษาพระวรกายเถิด! ทางเจ้าสอง หม่อมฉันจะตักเตือนเขาเอง ให้เขาอยู่อย่างสงบ อย่าคิดเรื่องเหล่านั้น เขาไม่มีแม้แต่ผู้สืบทอด อย่าได้เหน็ดเหนื่อยจนเสียสุขภาพ”
ฮ่องเต้หย่งไท่พูดอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าให้เขารีบมีบุตรชาย หากเขาตายไป ทุกสิ่งของเขา ข้าคงทำได้เพียงเก็บกลับมา”
เถาฮองเฮาเอ่ยเตือนฮ่องเต้หย่งไท่เสียงเบา “เขายังมีบุตรสาวอีกคน รูปลักษณ์ดีอย่างมาก หม่อมฉันชอบนางมาก”
ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะเสียงเย็น รังเกียจอย่างมาก “บุตรสาวจะทำอันใดได้ ติ้งเถาก็เป็นบุตรสาวของเจ้า นางทำอันใดได้ นางไม่ก่อปัญหาให้เจ้าก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว”
ความรังเกียจที่ฮ่องเต้หย่งไท่มีต่อองค์หญิงติ้งเถาไม่มีการปิดบังอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่ชอบติ้งเถา ไม่ชอบตั้งแต่ติ้งเถายังเด็ก
บนตัวของติ้งเถาไม่มีนิสัยที่กุลสตรีควรมี อ่อนโยน มีคุณธรรม…
หากติ้งเถาไม่ใช่บุตรสาวของตนเอง เขาคงออกพระราชโองการจัดการนางไปนานแล้ว
เถาฮองเฮาก้มหน้าแอบกลอกตา จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย “นับแต่ติ้งเถาอภิเษก นางพัฒนาขึ้นมากแล้ว ฝ่าบาทจะทรงมองนางด้วยสายตาแต่ก่อนไม่ได้แล้วเพคะ”
“แผ่นดินเปลี่ยนง่าย นิสัยแก้ยาก ติ้งเถามีนิสัยอย่างไร ข้ารู้ดี เจ้าไม่ต้องแก้ตัวแทนนาง”
เถาฮองเฮาก็หมดหนทาง “หม่อมฉันจะกำชับติ้งเถา ไม่ให้นางเข้าวังมาบ่อย อย่าได้เกะตาสายตาของฝ่าบาท”
ฮ่องเต้หย่งไท่เห็นด้วย “เช่นนี้ย่อมดี!”
ถึงแม้จะเป็นบุตรสาวแท้ๆ แต่ก็ต้องแยกแยะความใกล้ชิดและห่างเหิน
เถาฮองเฮาพูดคุยกับฮ่องเต้ ตั้งแต่เรื่องของบุตรหลานจนถึงเชื้อพระวงศ์ จากเชื้อพระวงศ์ถึงตระกูลชั้นสูง…
คุยไปคุยมา ไม่รู้เหตุใดจึงพูดถึงท่านหญิงจู้หยาง รวมทั้งเยียนอวิ๋นเกอ
“ได้ยินว่าจู้หยางกำลังดูคู่หมั้นให้เยียนอวิ๋นเกอ ดูไปหลายคนแล้วล้วนไม่เหมาะสม แม้แต่บุตรชายตระกูลเยียนก็ยังไม่เข้าตานาง ในสายตาของนาง เกรงว่าชายหนุ่มบนแผ่นดินนี้ล้วนไม่คู่ควรกับเยียนอวิ๋นเกอ”
ฮ่องเต้หย่งไท่พยายามระลึกถึงรูปลักษณ์ของเยียนอวิ๋นเกอ
ในความทรงจำของเขา เยียนอวิ๋นเกอยังคงเป็นเด็กหญิงอายุสิบกว่าปี เหตุใดเพียงชั่วพริบตาก็จะหมั้นหมายเสียแล้ว
“ผ่านไปนานเพียงนี้แล้วหรือ”
“ฝ่าบาท จู้หยางกลับมาเมืองหลวงได้ห้าหกปีแล้ว เยียนอวิ๋นเกอก็เติบโตแล้ว! เด็กเมื่อวานซืนในอดีตเติบโตจนกลายเป็นกุลสตรีที่งดงามแล้วเพคะ”
“อ่อ!”
“ได้ยินว่ารูปลักษณ์โดดเด่นอย่างมาก งดงามยิ่งกว่าพี่สาวทั้งหลายของนางเสียอีก นางยังเก็บสินสอดให้ตนเองจำนวนมาก ไม่ว่าผู้ใดแต่งงานกับนาง ย่อมไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องเงิน”
ฮ่องเต้หย่งไท่มองเถาฮองเฮา “ข้าฟังจากน้ำเสียงของเจ้า ราวกับเจ้าหวั่นไหว”
เถาฮองเฮาเม้มปากยิ้ม “ฝ่าบาท เจ้าสองกับเจ้าสามต่างแต่งงานมีบุตรแล้ว คนที่เจ้าสองแต่งงานด้วยยังเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเยียนอวิ๋นเกอ”
ฮ่องเต้หย่งไท่พูด “เจ้าสามารถให้คนตระกูลเถาแต่งงานกับเยียนอวิ๋นเกอ”
เถาฮองเฮาส่ายหน้าระรัว “จู้หยางไม่โปรดตระกูลเถา ถึงแม้ตระกูลเถาจะตกต่ำ แต่ก็ยังไม่ยากจนถึงกับต้องอาศัยสินสอดของลูกสะใภ้มาดำเนินชีวิต หม่อมฉันคงไม่ร่วมสนุกด้วย”
ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะขึ้นมา “เจ้าอยากเป็นแม่สื่อแทนผู้ใด พูดต่อหน้าข้ามากมายเพียงนี้ คงไม่ได้มีเพียงเรื่องไร้สาระ”
เถาฮองเฮากะพริบตา “ไม่มีสิ่งใดปิดบังฝ่าบาทได้เสียจริง ฝ่าบาททรงเห็นว่าจ้งซูหาวเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
ฮ่องเต้หย่งไท่ขมวดคิ้ว
เถาฮองเฮากดเสียงต่ำ “องค์หญิงเฉิงหยางราวกับถูกใจเยียนอวิ๋นเกอ แต่นางกังวลว่าหากให้คนไปสู่ขอ จู้หยางจะปฏิเสธ นางมาขอร้องหม่อมฉัน อยากให้หม่อมฉันช่วยพูดเรื่องนี้แทนนาง หม่อมฉันคิดดูแล้ว เรื่องนี้ยังต้องหารือกับฝ่าบาทก่อน ฟังความคิดเห็นของฝ่าบาท”
ฮ่องเต้หย่งไท่ประหลาดใจ “หากข้าจำไม่ผิด ตอนนั้นเยียนอวิ๋นเกอเคยพังจวนองค์หญิง ทำให้เฉิงหยางอับอายขายหน้าอย่างมาก นางจะไม่ถือสา ยอมสู่ขอเยียนอวิ๋นเกอเป็นลูกสะใภ้? หรือคิดจะให้นางแต่งเข้าจวนไปสั่งสอน”
“ฝ่าบาทเยียนอวิ๋นเกอเป็นศิลปะการต่อสู้ อีกทั้งยังมีพละกำลังมาก เฉิงหยางสั่งสอนนางไม่ได้”
เฮอะๆ !
“เฉิงหยางหาคู่หมั้นแทนบุตรชายของนาง ข้าไม่ยุ่งเกี่ยว”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”