คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 347 คนเกลี้ยกล่อม
แตอนที่ 347 คนเกลี้ยกล่อม
บรรพบุรุษของเชื้อพระวงศ์ เสนาบดีฝ่ายกิจการพระราชวงศ์สองรุ่นก่อน มีอายุกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว
ถึงแม้เซียวฮูหยินจะมีสถานะสูงส่ง แต่นางก็ยังต้องเรียกอีกฝ่ายว่าท่านลุง
บรรพบุรุษเป็นคนรุ่นเดียวกับฮ่องเต้จงจ้ง เป็นหนึ่งในคนรุ่นนั้น และเป็นคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่
เขาเคยผ่านเหตุการณ์คดีก่อกบฏ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ และเป็นคนส่วนน้อยที่อ้อนวอนแทน ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ แล้วยังสามารถมีชีวิตรอดอยู่
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องในอดีต บรรพบุรุษมักจะพูด “หากข้าไม่ได้แซ่เซียว ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับองค์รัชทายาทจางอี้ ย่อมยากที่จะมีชีวิตรอด สุดท้ายแล้วข้ายังคงได้รับผลประโยชน์จากแซ่ เสียดายเพียงข้าคนเดียว วาจาไม่มีน้ำหนัก ไม่อาจช่วยชีวิตขององค์รัชทายาทได้”
“เรื่องผ่านมานานแล้ว ท่านไม่ต้องเอ่ยถึงอีก”
องค์หญิงจู้หยางเซียวฮูหยินต้มชาปรนนิบัติบรรพบุรุษด้วยตนเอง
ปีใหม่ บรรพบุรุษมาเยือน นางย่อมต้องต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
“เมื่อส่งเทียบเชิญไปยังคิดว่าท่านจะไม่ปรากฏตัวเหมือนปีก่อน ปีนี้ข้าโชคดี ได้รับเกียรติจากท่าน ดูท่าทางปีนี้ย่อมเป็นปีที่ปลอดภัยและราบรื่น”
เซียวฮูหยินอารมณ์ดีอย่างมาก
บรรพบุรุษหัวเราะ พูดด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวา “เจ้าไม่รังเกียจข้าที่เป็นตาเฒ่า ชอบสร้างความลำบากให้ผู้อื่นก็พอ”
เซียวฮูหยินเม้มปากยิ้ม “ท่านพูดเล่นแล้ว! ท่านมาได้เป็นโชคดีของข้า จะรังเกียจได้อย่างไร”
บรรพบุรุษยกแก้วชาขึ้นจิบหนึ่งคำ “อืม ใบชาดีมาก! ผลิตจากไร่ชาทางใต้ของอวิ๋นเกอใช่หรือไม่ รสชาติเหมือนใบชาที่เจ้าส่งให้ข้าเลย”
เซียวฮูหยินยิ้ม “ท่านช่างตาถึง ชาที่ดื่มในวันนี้เป็นใบชาชุดเดียวกับที่ส่งให้ท่านคราวก่อน ล้วนเป็นใบชาในไร่ชาของอวิ๋นเกอ”
“แม้ผู้ชายที่เจ้าแต่งงานด้วยจะไม่ดีนัก แต่บุตรสาวของเจ้าดีเสียจริง เจ้าก็เป็นคนมีวาสนา”
เซียวฮูหยินก้มหน้าเล็กน้อย “บางครั้งที่ชีวิตยากลำบากก็มีแต่ปลอบตัวเองเช่นนี้”
บรรพบุรุษถอนหายใจ “เรื่องที่ฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงทำเกินกว่าเหตุไปจริง เพราะฮ่องเต้จงจ้งปกป้องเจ้า อีกทั้งยังทิ้งองครักษ์ของตำหนักบูรพาให้เจ้าสามพันนาย ทำให้ฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงยากที่จะยอมรับ ดังนั้นจึงพระราชทานเจ้าให้เยียนโส่วจ้าน ให้เจ้าออกเรือนไปไกล เฮ้อ พูดถึงเรื่องในตอนนั้นก็มีแต่ความเหลวไหล โชคดีที่ฮ่องเต้อิงจงหย่งยังมีมโนธรรม ไม่ได้กลั่นแกล้งเจ้านัก ให้เจ้าอยู่ในเมืองหลวงตลอดมา”
เซียวฮูหยินหัวเราะเย้ยหยัน “เรื่องในตอนนั้นผ่านไปแล้ว ท่านอย่ารู้สึกไม่เป็นธรรมแทนข้าเลย อย่างไรก็ข้ามผ่านมันมาได้แล้ว คนในตอนนั้นตายกันแทบหมด เวลานี้ข้าอยากหาคนคิดบัญชีก็หาไม่ได้แล้ว”
“ลำบากเจ้าแล้ว! ข้าเป็นคนบาป ช่วยสิ่งใดไม่ได้แม้แต่น้อย”
“ท่านทำสุดความสามารถแล้ว หากท่านพูดเช่นนี้ ข้าควรละอายใจ ตอนนั้นข้ายังเด็ก แต่ก็รู้ว่าผู้ใดกำลังช่วยเหลือตำหนักบูรพาด้วยความจริงใจ ผู้ใดกำลังทับถม”
“อืม” บรรพบุรุษส่งเสียงตอบรับ “เจ้าเข้าใจก็พอ! เฮ้อ คนแก่แล้วก็ชอบหวนระลึกถึงเรื่องในอดีต แต่เรื่องในตอนนั้นกลับโหดร้ายเพียงนี้ ข้าเอ่ยถึงเรื่องที่ไม่น่ายินดีในวันปีใหม่ ช่างน่าเกลียดเสียจริง”
“ท่านล้อเล่นอีกแล้ว!”
เซียวฮูหยินยกเหยือกชาขึ้นรินลงในแก้วต่อ
บรรพบุรุษดื่มชา “ไม่พูดถึงเรื่องอดีตแล้ว พูดไปก็มีแต่ความโกรธ สถานการณ์ในเวลานี้ไม่ดีนัก ทั้งหายนะจากภายในและภายนอก ผู้คนต่างมีแผนการในใจ ความสามารถของฝ่าบาทยังต้องมีการพัฒนา แต่เวลาไม่คอยท่า ไม่รู้สถานการณ์จะพัฒนาไปยังทิศทางใด เจ้ามีความเห็นบ้างหรือไม่”
เซียวฮูหยินส่ายหน้า “ไม่มีความคิด! เมืองหลวงปลอดภัย ข้าก็จะอยู่ในเมืองหลวงต่อ หากเมืองหลวงประสบวิกฤต ข้าก็คงต้องเชื่อฟังลิขิตฟ้า”
“มันไม่ใช่คำพูดที่คนอย่างเจ้าจะพูดออกมา องครักษ์ตำหนักบูรพาสามพันนายที่ฮ่องเต้จงจ้งทิ้งไว้ให้เจ้าก็ไม่ใช่เครื่องประดับ หากมีวันหนึ่ง เมืองหลวงเกิดความโกลาหลขึ้นมา เจ้าก็อย่ามัวนั่งเฉย เวลาที่ควรยืนออกมาก็ควรยืนออกมา ในฐานะคนตระกูลเซียว อย่างน้อยก็ต้องแบกรับหน้าที่ส่วนหนึ่งในช่วงเวลาวิกฤต”
“ท่านอย่าได้ยกยอข้า ข้าเป็นเพียงสตรีในจวน ไม่มีความสามารถในการกอบกู้วิกฤต อีกทั้งยังไม่มีความคิดที่จะมีอำนาจแต่อย่างใด”
บรรพบุรุษได้ยินจึงถอนหายใจ “ราชวงศ์ทำผิดต่อเจ้า ทำร้ายเจ้ามากเกินไป ข้าไม่ควรเรียกร้องเจ้ามากเกินไปเสียจริง เอาเถิด ไม่พูดเรื่องเหล่านี้แล้ว ได้ยินว่าเจ้ากำลังหาคู่ครองให้อวิ๋นเกอ ไม่รู้เจ้าถูกใจบุรุษตระกูลใด”
เซียวฮูหยินหัวเราะขมขื่น “ตระกูลที่ดูเอาไว้มีไม่น้อย ไม่ใช่ผู้อื่นไม่ถูกใจอวิ๋นเกอของข้า อวิ๋นเกอก็ไม่ถูกใจอีกฝ่าย ดูไปดูมา จนบัดนี้ยังหาตระกูลที่เหมาะสมไม่ได้ ช่างน่าปวดหัวเสียจริง เมื่อเห็นเวลาใกล้จะข้ามปี อวิ๋นเกอก็โตขึ้นอีกปี ข้ากลุ้มใจยิ่งนัก”
บรรพบุรุษพยักหน้าเข้าใจ “ลำบากเจ้าแล้ว! คุณหนูที่มีความสามารถและมีความคิดของตัวเองอย่างอวิ๋นเกอ หากต้องหาคู่ครองที่เหมาะสมคงไม่ง่าย แต่เจ้าเคยคิดจะหาคู่ครองในเชื้อพระวงศ์ให้นางหรือไม่”
เซียวฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนี้ อวิ๋นฉีแต่งงานกับท่านอ๋องผิงชินแล้ว หากอวิ๋นเกอแต่งเข้าราชวงศ์อีกจะไม่เหมาะสมนัก”
บรรพบุรุษเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นจึงพูดขึ้น “ข้าคิดเช่นนี้ สถานการณ์ของราชวงศ์เจ้าก็เห็นแล้ว มันต้องมีการปรับเปลี่ยน เดิมทีเรื่องนี้ควรให้ฝ่าบาทหรือพระพันปีเถา หรือจ้งฮองเฮาออกหน้า หรือท่านอ๋องผิงชินออกหน้าก็ย่อมได้
แต่ปัญหาของราชวงศ์ไม่ได้ก่อขึ้นในวันสองวัน หรือปีสองปี หากแต่เป็นปัญหาเก่าที่หลงเหลือเอาไว้เมื่อหลายสิบปีหรือนับร้อยปีก่อน จำเป็นต้องมีคนที่มีความกล้าหาญ สามารถแบกรับหน้าที่ และสามารถควบคุมคนในราชวงศ์ได้จึงจะปรับปรุงราชวงศ์ได้”
เซียวฮูหยินขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ท่านคงไม่คิดว่าอวิ๋นเกอสามารถทำได้ใช่หรือไม่ เรื่องนี้สมควรเป็นหน้าที่ของเสนาบดีฝ่ายกิจการพระราชวงศ์และหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่”
บรรพบุรุษถอนหายใจ “พระราชบุตรเขยจ้งรับตำแหน่งหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่แล้วสนใจแต่การทำเงิน เขาไม่มีทางแทรกแซงเรื่องของราชวงศ์ ส่วนเสนาบดีฝ่ายกิจการพระราชวงศ์มีแต่จะปฏิบัติตามรับสั่งของฝ่าบาท ไม่มีความกล้าหาญในการปรับปรุงราชวงศ์แม้แต่น้อย
ไม่ปิดบังเจ้า ข้าชื่นชมอวิ๋นเกออย่างมาก ตอนที่เด็กคนนี้เพิ่งมาถึงเมืองหลวงก็มีความกล้าหาญที่จะพังทลายจวนองค์หญิงเฉิงหยาง ดังนั้นนางย่อมมีความสามารถในการควบคุมเชื้อพระวงศ์ที่ทำตัวเหลวแหลกไปวันๆ อย่างแน่นอน คนที่มีกำลังย่อมสามารถเอาชนะคนที่มีความสามารถสิบคนได้ เมื่ออวิ๋นเกอลงมือ ไม่ว่าผีสางเทวดาตนใดก็ต้องเผยร่างจริงออกมา”
เซียวฮูหยินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ท่านทำให้ข้าลำบากใจ! อวิ๋นเกอเป็นแค่คุณหนูที่รอออกเรือน เรื่องที่แม้แต่เชื้อพระวงศ์ที่มีอำนาจและตำแหน่งสูงส่งยังทำไม่ได้ อวิ๋นเกอของข้ายิ่งทำไม่ได้ นางเป็นแค่คุณหนูตัวน้อย ถึงแม้จะสร้างเรือนพักขึ้นมาได้ แต่ภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้จะมอบหมายให้นางได้อย่างไร มันเรียกได้ว่าเป็นการฝืนใจผู้อื่น”
“ข้าคงฝืนใจผู้อื่นเกินไปจริง! เพียงแต่เจ้าอยากให้อวิ๋นเกอเป็นสตรีในจวนที่ทำหน้าที่รับใช้สามีและอบรมสั่งสอนบุตรเท่านั้นหรือ เจ้าคิดว่าหลังจากแต่งงาน นางจะอยู่เฉยได้หรือ”
“ถึงแม้นางจะไม่สามารถเป็นเป็นสตรีในจวนที่ทำหน้าที่รับใช้สามีและอบรมสั่งสอนบุตร แต่นางก็ไม่อาจแทรกแซงเรื่องเน่าเฟะของราชวงศ์”
บรรพบุรุษถอนหายใจ “มองดูราชวงศ์ตกต่ำ สถานการณ์ราชสำนักนับวันยิ่งแย่ลง เจ้าไม่เคยคิดจะทำสิ่งใดเลยหรือ เจ้าจะทนมองแผ่นดินต้าเว่ยเน่าเฟะต่อไปจริงหรือ”
เซียวฮูหยินหัวเราะเยาะ “แผ่นดินต้าเว่ยเป็นแผ่นดินของตระกูลจักรพรรดิ ไม่ใช่แผ่นดินของข้า”
“เจ้าเหลวไหล! ภายใต้รังที่ล่มสลายจะมีไข่ที่สมบูรณ์ได้อย่างไร ข้ารู้ปมในใจของเจ้า เจ้าไม่อาจแทรกแซงเรื่องภายในราชวงศ์ได้ แต่อวิ๋นเกอทำได้ นางมีโอกาส”
“ความหมายของท่านคือให้นางใช้แซ่คนนอกแทรกแซงเรื่องภายในราชวงศ์?”
บรรพบุรุษพูดอย่างหนักแน่น “อวิ๋นเกอสามารถรับผิดชอบหน้าที่อันยิ่งใหญ่ได้! หากจะให้นางแต่งงานกับบุตรหลานตระกูลชนชั้นสูง ยกผลประโยชน์ให้คนนอกตระกูล สู้ยกนางให้คนในราชวงศ์ ให้นางมีโอกาสกอบกู้ราชวงศ์ ถึงแม้จะไม่อาจกอบกู้ได้ แต่หากรักษาไว้ได้ส่วนหนึ่งก็ยังดี”
เซียวฮูหยินขมวดคิ้วมุ่น “ฟังจากคำพูดของท่าน ราวกับท่านไม่พอใจกับสถานการณ์ในเวลานี้ หรือว่าสงครามทางเหนือเกิดการพลิกผัน ราชวงศ์อูเหิงทะลุแนวป้องกันแล้ว”
“ไม่ใช่แบบที่เจ้าคิด สงครามทางเหนือดำเนินไปถึงระดับใด ข้าก็ไม่แน่ใจ งานเลี้ยงปีใหม่ เจ้าไม่ได้เข้าวัง แต่ข้าได้เข้าวังไป สีหน้าของฝ่าบาทไม่ดีนัก!”
เซียวฮูหยินเลิกคิ้ว “นับแต่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ไม่เคยทรงมีสีหน้าดี”
บรรพบุรุษหัวเราะ “เรื่องนี้ก็ไม่ผิด เพียงแต่ปีใหม่ยังทำหน้าบึ้งตึงไม่ใช่ลางดีแต่อย่างใด ข้าในฐานะคนตระกูลเซียว ย่อมต้องคำนึงเพื่อตระกูลนี้ เพื่อแผ่นดินนี้ เพื่อบุตรหลานในอนาคต
ไม่ปิดบังเจ้า ข้าชื่นชมอวิ๋นเกอมาก นางเป็นคุณหนูที่มีความสามารถ เดิมทีข้าก็ชื่นชมอวิ๋นฉี แต่เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นฉีให้ความสำคัญกับครอบครัวมากกว่า ไม่ชอบที่จะแทรกแซงเรื่องนอกจวนอ๋อง
สุดท้ายแล้ว อวิ๋นฉีก็ยังขาดความทะเยอทะยานที่มีอยู่บนตัวอวิ๋นเกอ ขาดความกล้าในการสร้างปัญหา บางครั้งคนต้องมีความทะเยอทะยานจึงจะทำงานให้สำเร็จได้”
เซียวฮูหยินส่ายหน้า “อวิ๋นเกอเป็นบุตรสาวของข้า เกิดมาก็มีชีวิตที่สุขสบาย นางเป็นแค่คุณหนูตัวน้อย ไม่อาจแบกรับหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้ได้ พวกเราในฐานะผู้ใหญ่ จะยอมโยนปัญหาที่แม้แต่พวกเรายังจัดการไม่ได้ให้คุณหนูตัวน้อยอย่างนางได้อย่างไร ท่านอย่าได้พูดอีกเลย!”
“เจ้าไม่ถามอวิ๋นเกอหรือ บางทีนางอาจไม่เต็มใจที่จะอยู่อย่างธรรมดา แต่งงานกับนายน้อยตระกูลชั้นสูงผู้หนึ่งก็พอ บางทีนางอาจชอบชีวิตที่เต็มไปด้วยความท้าทาย”
เซียวฮูหยินยังคงส่ายหน้า “วันนี้ที่ท่านมาเยือน ข้าดีใจอย่างมาก แต่ท่านเอ่ยถึงเรื่องคู่ครองของอวิ๋นเกอซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งยังบอกว่าอวิ๋นเกอสามารถรับภาระหนักได้ มีคนเป่าลมข้างหูของท่านพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือท่านอยากเป็นพ่อสื่อให้ผู้ใด”
บรรพบุรุษหัวเราะ “ไม่มีเรื่องใดปิดบังเจ้าได้ มีคนมาเป่าหูข้าจริง บอกว่าคุณหนูที่ดีอย่างอวิ๋นเกอจะยกให้คนนอกไม่ได้”
“แต่ก็จะยกให้คนชั่วบางคนไม่ได้!”
สีหน้าของเซียวฮูหยินดำทะมึน นางคาดเดาต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ได้แล้ว
ย่อมต้องเป็นคนชั่วอย่างเซียวอี้ที่ใช้วาจาเกลี้ยกล่อมบรรพบุรุษอย่างแน่นอน
นางไม่พอใจนัก “เหตุใดท่านจึงถูกคนชั่วอย่างเซียวอี้หลอกหลวงได้ เขามีเจตนาชั่วร้าย บังอาจคิดจะสู่ขออวิ๋นเกอของข้า แผนการหนึ่งล้มเหลวก็เกิดอีกแผนการหนึ่ง สมควรตาย!”
บรรพบุรุษได้ยิน ไม่รู้สึกเก้อเขิน หากแต่หัวเราะร่าขึ้นมา
“เซียวอี้เป็นคนเหลวไหลก็จริง ข้าก็ไม่ชอบเขา แต่บนตัวเขามีความทะเยอทะยานเหมือนกับอวิ๋นเกอ”
“เหมือนกันเพียงใด ข้าก็ไม่ยกอวิ๋นเกอให้เขา”