คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 44 การแก้แค้น
ตอนที่ 44 การแก้แค้น
ระยะนี้ สำนักองครักษ์จินอู้คึกคักอย่างมาก
ทั้งขอความช่วยเหลือ ทั้งใช้เส้นสาย ทั้งเกิดการลอบสังหารอย่างลับๆ ทั้งเกิดการลอบสังหารในยามดึก…
คนขวักไขว่ไปมาราวกับตลาดสด
ใต้เท้าสวี่ จ่างสื่อแห่องครักษ์งจินอู่เอ่ยขึ้น
“ข้าอยู่ในสำนักองครักษ์จินอู่เป็นสิบปี ไม่เคยเห็นความคึกคักเช่นนี้มาก่อนเลยแม้แต่น้อย”
คึกคักจนไม่เหมือนจริง
ตามหลักแล้ว คนที่ถูกส่งตัวเข้ามาในสำนักองครักษ์จินอู่ ไม่ว่าจะเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ หรือว่าบุตรหลานตระกูลใหญ่ล้วนต้องหนังถลอก
แต่เซียวอี้นั้นเข้า ‘พัก’ ในสำนักองครักษ์จินอู่ราวกับจวนของตนเอง
นอกจากอิสระแล้ว ข้างกายล้วนมีทุกนสิ่งครบครัน
แต่ละวันกินดื่มอย่างอิ่มหนำสำราญ เขียนหนังสือวาดภาพ เหมือนพักร้อนมากกว่าเข้าคุกเสียอีก
คนด้านล่างแอบถามสวี่จ่างสื่อ “นายน้อยอี้ที่ขังอยู่ด้านในเป็นผู้ใดกัน ไม่ต้องสอบสวนหรือขอรับ”
สวี่จ่างสื่อส่งเสียง ‘ชู่ว’
“ด้านบนมีรับสั่ง ขังเอาไว้เพื่อรับรองความปลอดภัยของเขาเท่านั้น เรื่องอื่นห้ามถาม หากมีคนขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้า พวกเจ้าปฏิเสธเสีย ระวังมีชีวิตรับเงินไม่มีชีวิตใช้เงิน”
ทุกคนต่างตกใจ
คดีนี้ร้ายแพงเพียงนี้เชียวหรือ
มีคนไม่เข้าใจ ถามขึ้น “เขาฆ่านายท่านรองตระกูลเถา แต่ไม่ต้องขึ้นศาลรับโทษ หากตระกูลเถาถามถึงคดีในภายหน้า สำนักองครักษ์จินอู้จะตอบอย่างไร”
สวี่จ่างสื่อกล่าวด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะตอบตระกูลเถาอย่างไร ด้านบนย่อมมีการตัดสินใจอยู่แล้ว คดีนี้ อย่าถาม อย่ามอง อย่าพูด…ถือว่าในคุกไม่มีคนผู้นี้อยู่ เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วขอรับ!”
สวี่จ่างสื่อไม่วางใจ เขาตักเตือนอีกครั้ง “จับตาดูข้างนอกเอาไว้ ระยะนี้วุ่นวายมาก มือสังหารจากทั่วทุกพื้นที่ล้วนมุ่งตรงมายังสำนักองครักษ์จินอู่ พวกเจ้าเฝ้าประตูไว้ให้ดี แมลงวันแม้แต่ตัวเดียวก็อย่าปล่อยให้เข้ามา หากคนด้านในเป็นอันใดไป พวกเจ้าถือหัวมาพบข้า!”
“ขอรับ!”
…
ตำหนักเว่ยยาง!
เถาฮองเฮาอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก
นางถามเหมาเส้าเจี้ยนด้วยเสียงดุดัน “เหตุใดเซียวอี้ยังมีชีวิตอยู่ ข้าให้เจ้ากำจัดเขา แต่ผ่านมากี่วันแล้ว เหตุใดข้าจึงยังไม่ได้ยินข่าวดี”
“ฮองเฮาทรงระงับความโกรธพ่ะย่ะค่ะ!”
เหมาเส้าเจี้ยนขมขื่นภายในใจ
“ฮองเฮาทรงเป็นธรรม กระหม่อมส่งคนสามกลุ่มมุ่งหน้าสำนักองครักษ์จินอู่อย่างลับ ๆ แล้ว แต่สำนักองครักษ์จินอู่มีการป้องกันที่แน่นหนา คนทั้งสามกลุ่มเสียหายกว่าครึ่ง ส่วนคนที่เหลือหลบหนีออกจากเมืองหลวงไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ใช่เขาไร้ความสามารถ แต่สำนักองครักษ์จินอู่แข็งแกร่งเกินไป
เถาฮองเฮาและตระกูลเถาควบคุมราชสำนักมาสิบยี่สิบปี สำนักองครักษ์จินอู่เป็นที่เดียวที่พวกเขาแทรกแซงไม่ได้
ในอดีตอาจซื้อด้วยผลประโยชน์ได้
แต่คราวนี้ไม่ว่าพวกเขาจะเสนอเงินมากเท่าใด คนของสำนักองครักษ์จินอู่ที่อ้างตัวเป็นคนเที่ยงธรรมนั้นก็ไม่ยอมรับแม้แต่สลึงเดียว
ถุย!
ไร้ยางอาย!
เห็นได้ชัดว่ามีคนสั่งการไม่ให้พวกเขารับเงินจากผู้อื่นไว้ก่อนแล้ว
เถาฮองเฮาอารมณ์เสียอย่างมาก นางตรัสด้วยเสียงแหลม “หากคนสามกลุ่มไม่พอก็ส่งไปสิบกลุ่มหรือสามสิบกลุ่ม ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะให้เซียวอี้ตายเป็นเพื่อนพี่รอง!”
เหมาเส้าเจี้ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย ตักเตือนอย่างระมัดระวัง “ฮองเฮา หากพระองค์ทรงมีการเคลื่อนไหวมากเกินไป เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงตื่นตระหนกและเกิดโทสะ หากฝ่าบาทตรัสถามขึ้นมา ฮองเฮาจะทรงลำบากพระทัยไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าต้องการพูดอันใด หรือเจ้าจะเกลี้ยกล่อมให้ข้าไว้ชีวิตเซียวอี้”
“กระหม่อมมิบังอาจ! กระหม่อมเพียงแค่คิดว่า เรื่องนี้พระองค์ไม่สมควรออกหน้า สู้ขอให้ตระกูลเถาจัดการนายน้อยอี้ดีกว่า”
เถาฮองเฮาเย้ยหยัน “หลายวันนี้ตระกูลเถาไม่ได้อยู่นิ่งเฉย เจ้าไม่รู้หรือ”
เหมาเส้าเจี้ยนก้มหน้า พูดเสียงเบา “กระหม่อมเพียงคิดว่าทางตระกูลเถาสามารถจัดการได้ดีกว่า”
เถาฮองเฮาทรงครุ่นคิด
หลังจากนั้นชั่วครู่ นางจึงตรัสขึ้น “ไม่ว่าอย่างไร เซียวอี้ก็ต้องตาย หากพวกคนที่เลี้ยงไว้ไร้ความสามารถ เช่นนั้นก็หาทางเชิญมือสังหารจากภายนอก แม้จะทำให้ข้าราชบริพารเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ข้าก็ไม่สนใจ”
เหมาเส้าเจี้ยนอ้าปาก คำพูดเกลี้ยกล่อมที่อยากพูดไม่ได้พูดออกมา
เห็นได้ชัดว่าฮองเฮายังไม่สงบมากพอ
เวลานี้พูดสิ่งใด ฮองเฮาล้วนฟังไม่เข้าหู
เขาทำได้เพียงรับคำสั่งแล้วถอยออกไป
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้รออยู่ด้านนอกประตูพระตำหนัก เมื่อเห็นเหมาเส้าเจี้ยนออกมาจึงรีบถาม
“เรื่องเป็นอย่างไร”
เหมาเส้าเจี้ยนส่ายหน้า “ฮองเฮาทรงต้องการให้เซียวอี้ตาย ทรงไม่สนใจว่าต้องสูญเสียสิ่งใด”
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ขมวดคิ้วแน่น
“ปกติเสด็จแม่ไม่ได้เป็นแบบนี้ เหตุใดจึงดื้อรั้นกับเรื่องนี้นัก เซียวอี้ถูกขังในสำนักองครักษ์จินอู่แล้ว การตายเป็นแค่เรื่องของเวลา เหตุใดจึงต้องลอบฆ่า ตกหลุมพรางของผู้อื่น”
เหมาเส้าเจี้ยนอธิบาย “องค์ชายมีเรื่องที่ไม่รู้ เมื่อฮองเฮายังอยู่ในตระกูลเถา พระองค์ทรงสนิทชิดเชื้อกับนายท่านรองตระกูลเถาที่สุด นายท่านรองถูกนายน้อยอี้ฆ่าตายในตำหนักจินหลวน ฮองเฮาไม่ได้อาละวาดในทันทีก็ถือว่าควบคุมตนเองมากแล้ว ฮองเฮาทรงต้องการแก้แค้น เวลานี้ผู้ใดก็มิอาจห้ามได้”
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ทุบกำแพง “ตระกูลเถาทำให้ข้าเดือดร้อน!”
“พระองค์ทรงรวังคำพูดพ่ะย่ะค่ะ!” เหมาเส้าเจี้ยนตักเตือนเสียงเบา
สีหน้าขององค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ดำทะมึน “เสด็จแม่ทรงกระทำการตามใจเกินไป พระองค์ทรงยืนกรานที่จะใช้วิธีลอบสังหาร ในไม่ช้าพระองค์ย่อมต้องถูกเสด็จพ่อตำหนิ ท่านลุงสองตายไปแล้ว อย่างไรสำนักองครักษ์จินอู่ย่อมต้องให้คำอธิบาย แม้ว่าเสด็จแม่กับท่านลุงรองจะมีสนิทกันเพียงใด แต่นางรอสำนักองครักษ์จินอู่สืบให้กระจ่าง แล้วค่อยลงโทษอย่างถูกต้องไม่ได้เลยหรือ จำเป็นต้องทำเรื่องเสี่ยงเชียวหรือ พระองค์ไม่ทรงกลัวถูกตลบหลัง ไม่กังวลว่าจะมีผู้หวังผลประโยชน์หรือ”
เขากระสับกระส่ายจนยากเกินจะสงบ
เขาไม่ชอบความเสี่ยงที่สูงเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นคือเสี่ยงเพื่อตระกูลเถา เขายิ่งไม่เต็มใจอย่างมาก
ตระกูลเถาเป็นตระกูลมารดาของเขาไม่ผิด
แต่ตระกูลเถามีอำนาจมาก กล้ายื่นมือเข้ามาแทรกแซงแม้แต่จวนองค์ชายของเขา
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ไม่พอใจกับเรื่องนี้มานานแล้ว
ด้านหนึ่งเขาต้องการอำนาจของตระกูลเถาเพื่อสนับสนุน อีกด้านต้องการตัดมือของตระกูลเถา
เขารู้สึกขัดแย้ง ดิ้นรน ลังเล…
ดวงตาของเหมาเส้าเจี้ยนเป็นประกาย เขาพูดอย่างเรียบเฉย
“ที่นี่คือพระราชวัง องค์ชายทรงต้องระวังหูบนกำแพง ฮองเฮาทรงเจ็บปวดที่สูญเสียพี่ชาย อาจมีบางเรื่องที่ทำเกินกว่าเหตุ หวังพระองค์จะทรงเห็นพระทัย”
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ตรัสด้วยความจริงใจ
“ขอบคุณเหมาเส้าเจี้ยนตักเตือน ข้าแค่เป็นห่วงเสด็จแม่ วันนี้ ข้าไปถวายบังคมต่อเสด็จพ่อในตอนเช้า แต่เสด็จพ่อไม่ยอมพบข้า”
เหมาเส้าเจี้ยนได้ยินดังนี้ หัวใจจึงเต้นระรัว
เขาทูลถาม “พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ยอมพบท่าน”
“พระองค์ตรัสว่าไม่สบาย แต่ข้าถามแล้ว ไม่ได้มีการเรียกหมอหลวงมาตำหนิงซิงชิ่ง”
เห็นได้ชัดว่าไม่สบายนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง
เหมาเส้าเจี้ยนถามอย่างตรงไปตรงมา “พระองค์ทรงกังวลเรื่องใด”
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ครุ่นคิดพลันตรัสขึ้น
“ข้ากังวลว่าเสด็จพ่อจะทรงโกรธ! ทั้งที่ตระกูลเถาสามารถใช้โอกาสในคราวนี้ในฐานะเจ้าทุกข์ ทำให้เสด็จพ่อทรงรู้สึกผิด บีบเค้นให้เสด็จพ่อสั่งประหารเซียวอี้ แต่เสด็จแม่กับตระกูลเถากลับใช้วิธีการลอบสังหาร จากเจ้าทุกข์กลายเป็นผู้ร้าย อีกทั้งยังก่อการร้ายในสำนักองครักษ์จินอู่ เวลานี้เหตุผลมากเพียงใดก็ไร้ความหมาย สถานการณ์เช่นนี้ ข้าจะไม่กังวลได้อย่างไร”
เหมาเส้าเจี้ยนแอบพยักหน้า องค์ชายสามกังวลได้อย่างมีเหตุผล
แต่ฮองเฮากับตระกูลเถาราวกับเสียสติ เห็นได้ชัดว่าไม่อาจลอบสังหารได้ แต่ยังดันทุรังจะทำ
สำนักองครักษ์จินอู่เปรียบเสมือนนกอินทรีของฮ่องเต้ พื้นที่แห่งนั้นคือพื้นที่ของฮ่องเต้
ลอบสังหารในสำนักองครักษ์จินอู่เท่ากับไม่ให้เกียรติฮ่องเต้
ฮ่องเต้ดีใจคงจะแปลก
ทางด้านฮ่องเต้ยังไม่มีการเคลื่อนไหวชั่วคราวเพราะเห็นแก่ที่ตระกูลเถาเป็นเจ้าทุกข์ เห็นแก่หน้าของเถาฮองเฮาจึงยอมปล่อยไป
หากไม่หยุดลอบสังหาร เมื่อรอจนความอดทนของฮ่องเต้หมดไป เวลานั้นอาจมีความวุ่นวายเกิดขึ้นอีก
ไม่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตระกูลเถาและเถาฮองเฮา
เหมาเส้าเจี้ยนถอนหายใจ พูดต่อองค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ “ข้าเกลี้ยกล่อมฮองเฮาอย่าสุดความสามารถแล้ว เสียดายฮองเฮาทรงเสียพระทัยอย่างยิ่ง พระองค์ทรงไม่ยอมปล่อยมือในเวลานี้”
“เหมากงกงต้องเหนื่อยแล้ว! หวังเพียงเสด็จแม่จะทรงสงบลงโดยเร็ว อย่าให้ผู้อื่นจับผิดได้”
“ทางตระกูลเถา องค์ชายสามมีความคิดเห็นอย่างไร”
“ข้าจะเดินทางไปตระกูลเถาด้วยตนเอง ท่านลุงรองถูกฆ่าตาย ข้าก็เจ็บปวดใจอย่างยิ่ง แต่คนตายไม่อาจฟื้นคืนชีพได้ คนเป็นย่อมสำคัญกว่าคนตาย”
“องค์ชายสามตรัสได้ถูกต้องอย่างยิ่ง! ทางตระกูลเถาคงต้องทรงลำบากองค์ชายสามแล้ว”
“เหมากงกงเกรงใจ!”
…
หลังออกจากพระราชวัง องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ไม่ได้เสด็จไปตระกูลเถาทันที
เขาครุ่นคิดพลันเคาะผนังรถม้า รับสั่งให้รถม้ามุ่งหน้าไปยังจวนองค์ชายสอง
เขาจะไปพบพี่สอง
เรื่องใหญ่เพียงนี้ พี่สองไม่แสดงตัวและไม่มีท่าที ทำให้คนรู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก
องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินกำลังดื่มสมุนไพร
ได้ยินว่าน้องสามมาถึง เขารับสั่งบ่าวรับใช้ “นำองค์ชายสามไปยังห้องตำรา”
พี่น้องพบหน้า บรรยากาศนิ่งงันเล็กน้อย
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้เอ่ยขึ้นก่อน “เสด็จพี่ไม่สงสัยว่าเหตุใดข้าจึงมาหาท่านหรือ”
องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินวางแก้วชาลง
“เจ้าออกจากพระราชวังมาก็มุ่งหน้ามาหาข้าเลย เจ้าได้รับอุปสรรคจากทางเสด็จแม่หรือ”
“ไม่มีเรื่องใดปิดบังพี่รองได้เสียจริง เสด็จแม่กับตระกูลเถายืนกรานจะส่งคนลอบสังหารเซียวอี้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต้องเกิดเรื่องในไม่ช้า พี่รองไม่กังวลแม้แต่น้อยหรือ”
เซียวเฉิงอี้จ้องมองเขาเขม็ง ไม่อยากพลาดสีหน้าใดบนใบหน้าของเขา
เซียวเฉิงเหวินก้มหน้ายิ้ม
“น้องสามกังวลเพียงนี้ เพราะกลัวตนเองจะเดือดร้อน กระทบต่อการสืบทอดตำแหน่งของเจ้าหรือ”
“เสด็จพี่อย่าพูดเหลวไหล”
“น้องสามไม่จำเป็นต้องโกหก เจ้าอย่าบอกข้าว่าเจ้าไม่คิดจะแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท หากเจ้าไม่มีความคิดต่อตำแหน่งนั้นจริง เหตุใดจึงต้องกังวลเพียงนี้”
เซียวเฉิงอี้หอยหายใจ คิดจะโต้แย้ง แต่เมื่อเผชิญกับสายตาที่มองทะลุใจคนของพี่สอง เขากลับพูดไม่ออก
เซียวเฉิงยิ้มอย่างกระจ่าง “เสด็จแม่กับตระกูลเถาราบรื่นมาสิบยี่สิบปี เคยชินกับการที่คนรอบตัวเชื่อฟังเยินยอ เวลานี้มีทหารไร้นามโผล่ออกมา ฆ่าท่านลุงรองในตำหนักจินหลวน เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นการฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต หากแต่เป็นการท้าทายตระกูลเถาและเสด็จแม่
สิบยี่สิบปีนี้ เสด็จแม่กับตระกูลเถาราบรื่นเกินไป จนกระทั่งไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคหรือทนรับความสะเทือนทางจิตใจได้ หากถูกผู้อื่นดูหมิ่นย่อมต้องจู่โจมกลับสิบเท่า เรื่องผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เวลานี้เจ้าเกลี้ยกล่อมให้เสด็จแม่สงบอารมณ์นั้นไม่มีประโยชน์ รออีกหน่อยเถิด รอถึงเดือนสอง เสด็จแม่คงจะทรงเย็นพระทัยลงแล้ว ส่วนทางตระกูลเถา เจ้าไม่ต้องสนใจ นอกเสียจากเจ้าอยากหลอกใช้อำนาจของตระกูลเถา”
พูดจบ เขามองน้องสามด้วยรอยยิ้มมีนัย
เหลือเพียงเขียนไว้บนหน้า “ข้ามองทะลุทุกสิ่งแล้ว”
เซียวเฉิงอี้โกรธเพราะอับอาย
เขาเกลียดสายตาที่มองทะลุทุกสิ่งของพี่สอง มันทำให้เขาอับอาย
เขามักจะครุ่นคิด หากพี่สองไม่ใช่คนป่วย ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังจะตกมาถึงเขาหรือไม่
เขาเอ่ยปากตรัสถาม “วิธีของท่านคือรอหรือ”
องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินถามกลับ “มิฉะนั้นล่ะ เจ้ามีวิธีที่ดีกว่านี้หรือ”
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้พูดไม่ออก
เขาไม่มีวิธีที่ดีกว่าจริง
แต่ไม่เท่ากับ ‘การรอ’ คือวิธีที่ดี
องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินปิดปากกระแอมไอต่อเนื่องกันหลายที ไออย่างทุกข์ทรมาน ทำให้คนที่เห็นรู้สึกทรมานแทน
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ขอตัวลา “วันนี้มารบกวนเป็นเวลานาน เสด็จพี่เหน็ดเหนื่อยแล้ว! เสด็จพี่รักษาพระวรกาย ข้าจะมาเยี่ยมท่านวันอื่น”
เซียวเฉิงเหวินโบกมือ “น้องสามเดินทางดีๆ! ร่างกายของข้าคงส่งเจ้าไม่ได้ เจ้าต้องใจเย็น ต่อจากนี้ข้าและติ้งเถาคงต้องหวังพึ่งเจ้า”
หัวใจของเซียวเฉิงอี้ตื่นเต้นขึ้นมาทันที แต่ใบหน้าของเขาเรียบเฉย
“คำพูดของเสด็จพี่คงเร็วเกินไป แน่นอน หากมีวันนั้น ข้าย่อมดูแลเสด็จพี่กับติ้งเถาให้ดี”
“ข้าขอบใจเจ้า!”
บ่าวรับใช้ส่งองค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้จากไป
องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินหยุดไอในทันที สีหน้าก็ดีขึ้นไม่น้อย
เขายกถ้วยชา ใช้ฝาปิดเขี่ยน้ำชา สีหน้ายิ้มอย่างมีนัย
“เสด็จพ่อทรงอยู่ในยุคที่รุ่งเรือง แต่ละคนรีบร้อนในการกระโดดโลดเต้นขึ้นลง ไม่กลัวเสด็จพ่อทรงจับเข้าคุกด้วยความโกรธหรือ น้องสามนะน้องสาม เจ้าโดดเด่นในทุกด้าน หากแต่ขาดความอดทน วันหนึ่งหากอำนาจของเจ้าสูญสิ้นลง เจ้าอย่าได้เสียสติ ยิ่งอย่าได้เลียนแบบเซียวอี้กระทำการเสี่ยงอย่างนั้น”
เหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง เขาเรียกขันทีที่ปรนนิบัติมา “ทางสำนักองครักษ์จินอู่สถานการณ์เป็นอย่างไร”
ขันทีโน้มตัวทูลตอบ “ทูลองค์ชาย ทางสำนักองครักษ์จินอู่ยังคงคึกคักเหมือนเคย นอกจากตระกูลเถาและฮองเฮาต้องการศีรษะของนายน้อยอี้แล้ว แม้แต่ท่านอ๋องตงผิงก็มีส่วนร่วมในการปิดปาก นายน้อยอี้ผู้นั้นน่าสงสารเสียจริง หลายวันนี้ ไม่มีผู้ใดอ้อนวอนแทนเขา ตระกูลสือในเมืองหลวงก็ไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย”
“ไม่ต้องพูดถึงตระกูลสือในเมืองหลวง พวกเขาเป็นแค่คนขี้ขลาด ตระกูลสือที่ยิ่งใหญ่ มีเพียงท่านโหวผิงอู่สืออุนที่รุ่งเรือง หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด เขายังสามารถรุ่งเรืองได้หลายสิบปี คำนวณเวลา ท่านโหวผิงอู่ สืออุนคงได้ข่าวแล้ว ข้าอยากรู้ยิ่งนัก ท่านโหวผิงอู่ สืออุนจะทำอย่างไร จะออกหน้าปกป้องเซียวอี้หรือไม่”
“พระองค์อยากดูละครย่อมเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่เรียกอวี้สื่อประณามท่านโหวผิงอู่สืออุนเท่านั้น อย่างไรก็ตามนายน้อยอี้เป็นขุนนางภายใต้เขา”
“มีเหตุผล!”